ป่า "คำชะโนด" ป่าคำชะโนด มีพื้นที่ราว 20 ไร่ เป็นเกาะมีน้ำล้อมรอบ ตั้งอยู่ที่ ต.วังทอง อ.บ้านดุง จ.อุดรธานี สภาพคล้ายเกาะ มีดงต้นปาล์ม ชนิดหนึ่งลักษณะคล้ายต้นตาลผสมต้นมะพร้าวขึ้นอยู่ เรียกว่า ต้นชะโนด คนสมัยก่อนจะเรียกที่นี่ว่า "วังนาคินทร์ คำชะโนด"
เชื่อกันว่าบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่กลางดงเป็นประตูสู่เมืองบาดาล
เป็นที่อยู่อาศัยของพญาสุทโธนาค ที่แปลกคือในป่าชะโนด(เกาะ)มีน้ำซับน้ำซึมอยู่ตลอดเวลาแต่กลับไม่เคยมีน้ำท่วมเลย
ต้น ชะโนด (อยู่ในตระกูลเดียวกับปาล์ม คล้ายๆ ต้นตาล ต้นหมาก หรือไม่ก็ต้นมะพร้าว แต่สูงกว่า) ขึ้นอยู่อย่างหนาแน่น มองไปทางไหนก็เห็น แต่ทิวชะโนดสูงเด่นเป็นสง่า
ปี 2520 ชาวบ้านได้ทำการสำรวจจำนวนต้นชะโนดในป่าแห่งนี้เป็นครั้งแรก มีอยู่ราว 2,000 กว่าต้น ปี 2544 ชาวบ้านสำรวจอีกครั้งพบว่า ต้นชะโนดลดลงเหลือเพียง 1,865 ต้น ถึงกระนั้นที่นี่ยังคงความเย็นชื้น ได้กลิ่นคาวๆคล้ายคาวปลา ขี้ค้างคาวผสมน้ำค้างจะร่วงเปาะแปะตลอดเวลา และพื้นที่ป่ายังคงมีบรรยากาศวังเวงเหมือนเดิม ที่แปลกคือหากพ้นเขตป่าคำชะโนดแห่งนี้ไปจากรัศมีโดยรอบป่า เพียงแค่ไม่ถึง 300 เมตร ก็ไม่มีต้นชะโนดปรากฏให้เห็นแม้แต่ต้นเดียว
"เคยมีคนเอา ต้นชะโนดไปปลูกที่อื่น แต่ไม่นานก็ต้องเอากลับมาคืนที่เดิม เพราะชีวิตการงานไม่ก้าวหน้า ชีวิตครอบครัวมีแต่ความเดือดร้อน ขนาดว่าแค่เอาเมล็ด หรือส่วนใดส่วนหนึ่ง อาจจะเป็นใบแห้งๆ ออกจากป่า สุดท้ายต้องเอามาคืนกันหมด"
ทองอินทร์ ปักเสติ ชาวบ้านโนนเมือง ซึ่งมีบ้านอยู่ใกล้ๆ กับป่าคำชะโนด เล่าให้ฟัง
เรื่อง เกี่ยวกับ ช่องว่าง ทางเดินที่ป่าคำชะโนด คนในพื้นที่พยายามทำทางเชื่อมจากแผ่นดินใหญ่เพื่อ ข้ามน้ำเข้าไปสู่เกาะป่าคำชะโนด แต่ก็แปลกคือ ทุกหน้าน้ำ ทางเดินที่ทำไว้เกิดการแตกตัวหักออกจากกัน สร้างสะพานไม้มันก็แตก เขาก็เลยสร้างใหม่เป็นทางปูน พอเป็นทางปูนแล้ว ทุกหน้าน้ำมันก็จะแตกอีก
ใน ที่สุดก็เลยตัดสินใจกันว่าจะสร้างใหม่โดยเว้นช่องว่างไว้ ไม่ให้ทางเดินนั้นเชื่อมติดกัน ให้มีช่องว่างระหว่างทางเชื่อมนี้ เมื่อเวลาที่น้ำขึ้น-น้ำลง ส่วนที่เชื่อมกับป่าคำชะโนดจะลอยขึ้น-ลง ตามน้ำส่วนที่ติดแผ่นดินอยู่กับที่ ตอนนี้ก็เลยไม่มีปัญหา เรื่องสะพานแตกหักอีก
มีเรื่องน่าประหลาดอีกเรื่องคือ เวลาน้ำแล้งก็จะเห็นว่าดินเชื่อมต่อกันไม่มีอะไร แต่เวลาน้ำท่วม ที่ดินรอบๆ จะท่วมหมด แต่ปรากฏว่าป่าคำชะโนดมีลักษณะเป็นเกาะน้ำไม่ท่วม น้ำขึ้นสูงอย่างไรก็ไม่ท่วม ชาวบ้านจึงเชื่อว่า เกาะนี้ลอยน้ำได้ และเชื่อว่าที่เป็นเช่นนี้เพราะเจ้าที่เป็นผู้ที่บรรดาลไม่ให้ผืนป่าแห่งนี้ จมน้ำ. . .
ป่าคำชะโนดเป็นป่าศักดิ์สิทธิ์ และเชื่อกันว่าเป็นที่ตั้งของเมืองนาคินทร์ และวังพญานาค ต้นตำนานแม่น้ำโขง เป็นป่าที่มีความน่าสนใจในแง่พฤกษศาสตร์ ที่โลกต้องทึ่ง!!! กับต้นคำชะโนดที่มีอายุนับร้อยปีๆและมีอยู่ที่เดียว ณ ป่าคำชะโนดนี้เท่านั้น
ขณะเดียวกัน ป่าคำชะโนด ยังมีเรื่องเล่า เรื่องผีจ้างหนัง ทั้งนี้เรื่อง ผีจ้างหนัง จะจริงหรือไม่ ป่าคำชะโนด เมืองนาคา.กำลังรอให้คุณมาพิสูจน์อยู่
มีข้อห้ามก่อนที่จะเข้าไปเกาะ "ป่าคำชะโนด" ห้ามใส่รองเท้าทั่วทั้งบริเวณป่า หมวก แว่นตา ร่ม เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ บุหรี่ ห้ามเด็ดขาด เพราะสิ่งเหล่านี้คือการดูถูกดูหมิ่นต่อผู้ปกปักรักษาผืนดิน
เรื่องเล่า "ผีจ้างหนังที่คำชะโนด" เมื่อปี พ.ศ.2532 ธงชัย แสงชัย เจ้าของบริษัทหนังเร่ เล่าว่า ตนเองถูกว่าจ้างจากใครคนหนึ่งให้ไปฉายหนังกลางแปลงที่งานวัด ที่หมู่บ้านวังทอง แถวป่าคำชะโนด ด้วยจำนวนเงิน 4,000 บาท แต่มีข้อแม้คือ ต้องฉายหนังให้ จบแค่ตี 4 ของวันใหม่ และต้องกลับออกจากหมู่บ้านก่อนฟ้าสาง โดยห้ามหันหลังกลับมามอง...
"ผีจ้างหนังที่คำชะโนด" (คนอีสานเรียก ผีบังบด หรือเมืองลับแล ไม่สามารถมองเห็นได้ทั่วไป นอกเสียจากว่าจะมีอะไรดลใจให้เห็น)
หลัง จากที่วางเงินมัดจำเสร็จ เจ้าของหนังก็จัดแจงเตรียมของอุปกรณ์สัมภาระ ฟิล์มหนังที่จะนำไปฉาย ไปกับลูกน้องอีก 4 รวมเป็น 5 คน โดยบรรทุกรถ 6 ล้อมีหลังคา ออกจากตัวจังหวัดบ่ายแก่ ๆ เดินทางถึงป่าคำชะโนดก็เริ่มมืด
ระหว่าง ทางตามที่ผู้ว่าจ้างบอกก็ไม่เห็นว่าจะเจอหมู่บ้านหรือคนที่จะมารับ จึงนึกว่าหลงกัน ระหว่างจอดรถว่าจะย้อนกลับไปดีหรือไม่ ก็มีผู้หญิง 2 คนใส่ชุดดำมาร้องเรียกว่าจะนำไปที่วัด คนขับที่เป็นเจ้าของหนังก็รับขึ้นรถ แต่แกก็สงสัยว่า 2 คนนี้โผล่มาจากไหนในที่มืดๆ อย่างนี้ พาหนะอะไรก็ไม่มี
เมื่อ ขับเข้าไปในหมู่บ้านก็ยิ่งให้ชวนสงสัยใหญ่ว่า ทำไมไม่มีเสียงลำโพงออกมาจากงานวัด ไม่มีเสียง หมอลำ หรือการละเล่นอะไรเลย พอไปถึงหมู่บ้านก็มีคนมารับ แต่แปลกว่าทุกคนจะใส่เสื้อสีขาวกับดำ ถ้าเป็นผู้ชายใส่ชุดขาว ผู้หญิงใส่ชุดดำแยกให้เห็นชัดเจนแม้แต่เด็ก แต่ที่แปลกทุกคนจะทาหน้าขาวหมดเหมือนใช้ครีมพอกหน้า
เมื่อถึง ที่แล้วทุกคนก็เริ่มตั้งจอภาพยนตร์ เดินสายไฟ และเปิดเครื่องปั่นไฟ ระหว่างที่กำลังกุลีกุจอติดตั้งก็เริ่มเห็นผู้คนทยอยมานั่งดูหนัง แต่จะแยกชายหญิงชัดเจน ไม่นั่งรวมกัน และปกติของงานวัดจะต้องมีแม่ค้าแม่ขายมาขายน้ำ ขายถั่ว ขายปลาหมึกย่าง แต่ที่นี่กลับไม่มีแม่ค้าสักคน พอติดตั้งเสร็จก็เริ่มฉายหนัง หนังที่เอาไปฉายมี 4 เรื่อง เรื่องแรกเป็นหนังสงคราม เรื่องที่ 2 เป็นหนังตลกแอ็คชั่น เรื่องที่ 3 กับ 4 เป็นหนังผี ระหว่างฉายคนพากย์ก็พยายามพากย์ยิงมุกตลกๆ แต่ไม่มีใครหัวเราะหรือแสดงอารมณ์อย่างใดเลย ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ไปฉายที่ไหน คนก็จะหัวเราะตลอด
จนเริ่มฉายเรื่องที่ 3 ที่เป็นหนังผี สังเกตท่าทางคนที่มาดูเริ่มตั้งใจดู ทั้งที่บรรยากาศตอนนั้นก็เที่ยงคืนดูน่ากลัวมากๆ ระหว่างนั้นทางเจ้าภาพก็จัดข้าวต้มถ้วยเล็กมาให้ทีมงานฉายหนังกินกัน ทางทีมงานเห็นแล้วก็ละเหี่ยใจ มีแต่ข้าวต้มซีดๆ กะเนื้อชิ้นเล็กๆ แต่เพื่อไม่ให้เป็นการเสียน้ำใจ ทางทีมงานก็เลยกินกัน ปรากฎว่าเป็นข้าวต้มที่อร่อยที่สุดที่เคยกินกันมา
หลังจากฉายหนัง จบถึงตี 2 ผู้คนก็แยกย้ายกันกลับ แป๊บเดียวก็สลายไปหมด ไม่มีใครเหลืออยู่เลย ทางทีมงานก็เก็บอุปกรณ์ขึ้นรถ โดยมีผู้หญิงสองคนนั่งรถออกมาส่ง ก่อนจะร่ำลาก็จ่ายค่าจ้างที่เหลือซึ่งเป็นเงินเหรียญทั้งหมด พอออกมาส่งถึงปากซอยผู้หญิงสองคนนั้นลงจากรถ พอรถออกตัวคนขับที่เป็นเจ้าของหนังกลางแปลงหันกลับมาดูก็ไม่เห็นผู้หญิง 2 คนนั้นแล้ว
หลังจากกลับมาถึงบริษัท ธงชัย ก็เกิดความสงสัย จึงเช็คประวัติกับผู้ว่าจ้างที่ถ่ายเอกสารให้ตอนวางมัดจำ ก็พบตัวว่ามีชื่อนี้จริง แต่เจ้าตัวบอกว่าไม่เคยไปว่าจ้างใครไปฉายหนังตามวันและเวลาที่บอก เมื่อสงสัยจัดก็เลยสอบถามไปยังเจ้าอาวาสวัดที่เอาหนังไปฉาย ทางเจ้าอาวาสก็บอกว่าในวันนั้นที่วัดไม่ได้มีการจัดงานแต่อย่างใด แต่เจ้าอาวาสเล่าว่า ในคืนวันที่เจ้าของหนังมาบอกว่ามีการฉายหนัง ที่ป่าคำชะโนดจะมีเสียงซู่ๆ เหมือนกับมีพายุพัดเข้ามา ทั้งๆ ที่คืนนั้นไม่มีลมใหญ่พัดมาจากไหนเลย... (?!?)
จริงไม่จริงยังไงเฮียไม่รู้นะเฮียว่าเชื่อ 50-50 ดีกว่าฟังหูไว้หู