(รายละเอียดคร่าวๆของเรื่องนี้ผมแจ้งไว้ในกลุ่มแล้วนะครับ)
เด็กสาวผมสีชมพูตื่นขึ้นมาท่ามกลางสายฝนที่ตกลงมาอย่างไม่ขาดสาย ราวกับเหล่าเทพบนสวรรค์ต่างพร้อมใจกันหลั่งน้ำตาหลังอ่านโศกนาฏกรรมโรเมโอแอนด์จูเลียตของเช็คสเปียร์ เด็กสาวไม่อาจรู้ได้ว่าเธออยู่ที่ไหนและมาทำอะไรที่นี่
และแม้กระทั่งเธอเองก็ไม่อาจรู้ด้วยซ้ำว่าเธอเป็นใคร...
เด็กสาวได้แต่มองไปรอบกาย มันเป็นสถานที่ที่เธอไม่คุ้นตา และไม่ได้อยู่ในความทรงจำของเธอเลย เธอนอนอยู่บนพื้นดินที่ร่วนซุยเพราะโดนสายฝนตกกระทบ ส่งผลให้ร่างกายของเธอเปื้อนไปด้วยดินโคลน เธอสำรวจร่างกายตัวเองพบว่าเธออยู่ในชุดที่ดูไม่ออกว่ามันเคยเป็นชุดอะไร เพราะสภาพชุดที่สกปรกและมีรอยฉีกขาดมากมาย มันควรจะเป็นผ้าขี้ริ้วเสียมากกว่า เธอไม่ได้สวมรองเท้ารวมทั้งไม่มีเครื่องประดับใดๆ พูดง่ายๆคือทั้งเนื้อทั้งตัวเธอมีเพียงชุดขาดๆที่ปกคลุมร่างเธออยู่เท่านั้น
เด็กสาวตระหนักได้ว่าการนั่งระลึกชาติอยู่เฉยๆคงไม่ได้อะไรขึ้นมา เธอตัดสินใจลุกขึ้น ก่อนที่จะทรุดลงไปด้วยความอ่อนแรง เหมือนเธอไม่ได้ยืนด้วยสองเท้ามาเป็นระยะเวลานาน เธอพยายามลุกขึ้นและทรงตัวได้สำเร็จ ก่อนที่จะเดินเท้าเปล่าออกจากบริเวณนั้นอย่างไร้จุดหมายปลายทาง
แม้เด็กสาวไม่อาจรู้ได้ว่าจุดหมายของเธออยู่ที่ใด แต่เธอหวังเพียงแต่ว่าจะได้เจอใครซักคนเพื่อจะขอความช่วยเหลือ หรือช่วยบอกเธอทีว่าเธอเป็นใคร แต่มันอาจจะเป็นความหวังที่สูงเกินไปเพราะถ้าตัวเธอเองยังไม่รู้ว่าเธอเป็นใครแล้วใครจะไปรู้ หลังจากเธอเดินอย่างไร้จุดหมายมาซักพักจนฝนเริ่มซาลง เธอก็เริ่มใจชื้นเมื่อเห็นหมู่บ้านเล็กๆอยู่ตรงหน้า ก่อนที่ฝีเท้าของเธอจะก้าวจ้ำๆด้วยความเร็วมากขึ้นเพื่อให้ถึงเป้าหมายของเธอที่อยู่ห่างเพียงแค่เอื้อม
ภายในหมู่บ้านเต็มไปด้วยชาวบ้านหลากหลายเพศและวัยเดินกันขวักไขว่ ทำให้เด็กสาวรู้สึกใจเบิกบานขึ้นมาทันที เธอตัดสินใจเดินเข้าไปหาหญิงสาวที่อยู่ใกล้ที่สุดเพื่อหวังจะขอความช่วยเหลือ
“เอ่อ...”
ยังไม่ทันที่เด็กสาวจะเปล่งวาจา หญิงสาวที่เธอคาดหวังว่าจะเป็นนางฟ้าผู้นำทางเธอไปสู่แสงสว่างกลับกลายเป็นนางมารร้ายทันทีเมื่อหญิงสาวเดินถอยหนีจากเธอด้วยท่าทีรังเกียจ
“ไปให้พ้นนะ ข้าไม่มีเงินให้เจ้าหรอก” หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่เป็นมิตรอย่างสิ้นเชิง
“ไม่ใช่นะ คือ..”
“บอกว่าให้ไปไม่ได้ยินหรือไง!! ไม่งั้นข้าจะเรียกสามีของข้ามาจัดการ” หญิงสาวไม่สนใจคำพูดของเด็กสาว คงเพราะสภาพอันมอมแมมของเธอคงทำให้เธอมีสภาพเหมือนขอทาน ทำให้หญิงสาวเอ่ยปากไล่เธอไปแบบนั้น เด็กสาวตัดสินใจเลิกล้มความคิดที่จะอธิบายและเดินจากไปโดยดี
เด็กสาวเดินเข้าไปภายในหมู่บ้านเรื่อยๆ ท่ามกลางสายตาของชาวบ้านที่ดูรังเกียจเธอเป็นอย่างมากหลังเห็นสภาพอันดูไม่จืดของเธอ ทำให้เธอไม่อาจกล้าที่จะขอความช่วยเหลือจากใคร ความหวังอันมากมายของเธอหลังพบเจอหมู่บ้านแห่งนี้แปรเปลี่ยนเป็นความสิ้นหวัง จนกระทั่งเธอตัดสินใจนั่งกอดเข่าอย่างหมดอาลัยตายอยากอยู่หน้าบ้านของใครบางคน พ่อค้าหาบเร่ที่ตั้งรกรากขายของอยู่บริเวณนั้นเมื่อเห็นเธอทรุดตัวลงนั่งก็เก็บข้าวของแล้วจากไปอย่างรวดเร็ว ชาวบ้านที่เดินผ่านไปมาก็พยายามเดินเลี่ยงให้ห่างจากเธอ แต่เด็กสาวก้มหน้าซุกลงบนหัวเข่าตนเองโดยไม่สนใจสิ่งรอบข้าง
ในหัวของเธอมีแต่คำถามเดิมๆซ้ำไปมา เธอเป็นใครกันนะ มันเป็นคำถามที่ง่ายเหลือเกินแต่เธอกลับไม่อาจให้คำตอบกับมันได้ อีกทั้งการปฏิบัติต่อเธอของชาวบ้านมันยิ่งทำให้เธอรู้สึกหดหู่ จนกระทั่งเกิดความคิดชั่ววูบที่อยากจะตายไปให้พ้นๆซะตั้งแต่ตอนนี้
“นี่เจ้า...”
เสียงหญิงสาวคนหนึ่งทำให้เด็กสาวตื่นจากภวังค์ เด็กสาวเงยหน้าขึ้นมาเห็นหญิงสาวหน้าตาสะสวยในชุดกิโมโนสีเขียว ดูจากหน้าตาแล้วน่าจะยังอยู่ในวัยสาวแรกรุ่น เด็กสาวเห็นดังนั้นถึงกับสะดุ้งเฮือกและพยายามจะตะเกียกตะกายเพื่อจะลุกขึ้น
“ขอโทษ... จะไปเดี๋ยวนี้แหละ” เด็กสาวพูดขึ้นเพราะคิดว่าเธอคงจะโดนไล่ให้ไปนั่งที่อื่นเป็นแน่ จึงรีบตัดบทพูดก่อนเพื่อที่จะได้ไม่มีปัญหา
“ช้าก่อน!!” หญิงสาววัยแรกรุ่นคว้าข้อมือของเธอไว้ เด็กสาวหันกลับไปมองพบว่าหญิงสาวยิ้มให้เธออย่างอ่อนโยน ต่างจากชาวบ้านคนอื่นๆที่เธอเจอ
“ทำไมเจ้ามาอยู่ตรงนี้ได้ล่ะ แล้วนี่เจ้าไปโดนอะไรมา ทำไมเสื้อผ้าถึงได้ฉีกขาดแบบนี้” หญิงสาวพูดพร้อมกวาดสายตามองเด็กสาวตั้งแต่หัวจรดเท้า
“ถูกใครทำร้ายมาหรือเปล่า มีบาดแผลตรงไหนไหม” หญิงสาวยังคงยิงคำถามมาเป็นชุด เด็กสาวไม่ได้ตอบอะไรได้แต่ยืนเงียบจนหญิงสาวเริ่มขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
“เอาเป็นว่าเข้ามาในบ้านข้าก่อน แล้วก็อาบน้ำซะนะ เดี๋ยวข้าเตรียมเสื้อผ้าให้ใหม่ละกัน แล้วค่อยว่ากันอีกที” พูดจบหญิงสาวก็จูงมือเด็กสาวเข้าไปในบ้านทันที บ้านของเธอก็คือบ้านที่เด็กสาวนั่งกอดเข่าอยู่ตรงนั้นนั่นเอง
---------------------------------------------------------
เด็กสาวชำระล้างร่างกายจนสะอาด เผยให้เห็นว่าเธอมีผิวที่ขาวเนียนสวย ผมสีชมพูที่ยุ่งเหยิงในตอนแรกก็ถูกหวีจนเป็นทรง เผยให้เห็นว่าเธอมีเส้นผมที่ยาวสลวย ชุดของเธอถูกเปลี่ยนเป็นชุดกิโมโนสีชมพูอ่อนที่ดูเข้ากับเธอไม่น้อย หลังจากที่เด็กสาวนั่งรอหญิงสาวใจดีที่ช่วยเหลือเธอในห้องรับแขกซักพัก หญิงสาวคนดังกล่าวก็เลื่อนบานประตูเข้ามานั่งตรงข้ามเด็กสาว
“เอาล่ะ ทีนี้เจ้าจะบอกข้าได้หรือยังว่าเจ้าชื่ออะไร” หญิงสาววัยแรกรุ่นถามคำถามแรก
นั่นสิ เธอชื่ออะไรกันล่ะ??
เด็กสาวก้มหน้าเงียบจนหญิงสาวเอียงคอสงสัย
“อ๋อ... ขอโทษที ข้าต้องแนะนำตัวก่อนสินะ ข้าชื่อเซย์โกะ เรย์” หญิงสาวแนะนำตัวก่อนที่จะรอคำตอบจากเด็กสาว แต่ทว่าเธอยังคงนั่งเงียบจนหญิงสาวหัวเราะแห้งๆด้วยความเคอะเขิน
“คงไม่ใช่คนช่างพูดสินะ ไม่เป็นไร ไว้เจ้าพร้อมจะบอกข้าค่อยบอก เอาเป็นว่าเจ้าพักที่นี่ไปก่อนได้เลย ข้าอนุญาต ข้ามีห้องนอนว่างๆอยู่ห้องนึง” เรย์พูดเสร็จก็ลุกขึ้น
“ไม่ต้องเกรงใจหรอกนะ ข้าอยู่คนเดียว” เรย์พูดทิ้งท้ายแล้วยิ้มให้อีกครั้ง ก่อนที่เลื่อนบานประตูเตรียมออกจากห้อง
“เอ่อ... เดี๋ยวค่ะ!!” เด็กสาวตัดสินใจร้องเรียกเรย์ที่กำลังจะเดินออกจากห้อง ทำให้เรย์หยุดชะงักแล้วหันมาทางเด็กสาว
“คือ...อาจจะฟังดูแปลก แต่คือว่า...ดิชั้น จำอะไรไม่ได้...” เด็กสาวพูด
“แม้แต่ชื่อดิชั้นก็จำไม่ได้ มาอยู่ที่นี่ได้ยังไงก็ไม่รู้ คือดิชั้นไม่รู้อะไรเลย...” เด็กสาวพยายามกลั่นกรองคำพูดให้ออกมาเข้าใจง่ายที่สุด แต่เธอคิดว่ามันก็ยังคงเข้าใจยาก และคงทำให้เรย์ยิ่งฉงนกับเธอมากอีกเป็นทวีคูณ
แต่เรย์กลับพยักหน้า
“อืม... ข้าเข้าใจล่ะ” เรย์เข้าใจง่ายกว่าที่คิด ก่อนที่จะปิดบานประตูลงแล้วเดินมานั่งตรงข้ามเด็กสาวอีกครั้ง
“ถ้าเป็นเช่นนั้น ข้าก็คงต้องตั้งชื่อให้เจ้าใหม่สินะ” เรย์พูดพร้อมเอามือลูบคาง ทำหน้าครุ่นคิด โดยที่สายตาของเธอจ้องมองเด็กสาวตาไม่กะพริบ
“ใช่แล้ว!!” เรย์ดีดนิ้วดังเป๊าะ
“ข้าจะตั้งชื่อเจ้าว่า ซากุระ” เรย์พูดพร้อมยิ้มกว้าง
“ข้าชอบผมยาวสลวยสีชมพูของเจ้าจริงๆ มันงดงามราวกับดอกซากุระ หวังว่าเจ้าคงไม่ขัดข้องนะ” เรย์พูดจบก็ยิ้มให้เด็กสาวอีกครั้ง เด็กสาวที่ไร้รอยยิ้มมาตั้งแต่แรกเริ่มยิ้มออกเล็กน้อย
“ค่ะ” เด็กสาวตอบสั้นๆเป็นอันยอมรับชื่อใหม่ของเธอ แต่ถึงกระนั้น เธอก็ยังไม่รู้ว่าเธอเป็นใครอยู่ดี
หลังจากนี้ เธอจะได้รู้หรือเปล่านะ...