แสงแดดยามเช้าลอดผ่านหน้าต่างส่งผลให้เด็กสาวผมสีชมพูหรือที่ตอนนี้ได้นามใหม่ว่า “ซากุระ” ตื่นขึ้นจากที่นอน เมื่อคืนซากุระไม่สามารถข่มตาหลับได้แม้ว่าภายในห้องนอนบ้านของเรย์ หญิงสาวใจดีนั้นจะสะดวกสบายเป็นอย่างยิ่ง เพราะเธอเองยังคงอยากรู้ว่าจริงๆแล้วเธอเป็นใครและมาอยู่ในที่แห่งนี้ได้อย่างไร ส่งผลให้เธอเอาแต่คิดเรื่องนี้ทั้งคืนจนกระทั่งผล็อยหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย
เมื่อซากุระเริ่มตาสว่างเต็มที่ เสียงแรกที่เธอได้ยินคือเสียงแปลกๆจากชั้นล่าง ซากุระเปลี่ยนจากชุดนอนเป็นชุดยูคาตะแบบหลวมๆแล้วเดินลงไปตามที่มาของเสียงนั้น เธอพบว่ามันดังมาจากห้องๆหนึ่ง ซากุระสองจิตสองใจเกรงว่าจะเป็นการเสียมารยาทหากเปิดประตูดังกล่าว แต่สุดท้ายเสียงนั้นก็หยุดลง พร้อมทั้งประตูที่เปิดออก
“อ้าว ตื่นแล้วหรอ” เรย์นั่นเองที่อยู่ในห้อง
“เสียงจักรเย็บผ้าของข้าทำให้เจ้าตื่นหรอ โทษทีนะ” เรย์คงเห็นจากหน้าตาที่ดูอดหลับอดนอนของซากุระจึงคิดเช่นนั้น
“จักรเย็บผ้า?” ซากุระพูดขึ้นด้วยความสงสัย
“อ๋อ ข้าลืมบอกไปว่าข้าน่ะมีอาชีพเป็นช่างตัดเย็บและออกแบบเสื้อผ้าประจำหมู่บ้านน่ะ” เรย์พูดพร้อมเบี่ยงตัว ทำให้ซากุระเห็นภายในห้องอย่างชัดเจน มันเป็นห้องขนาดใหญ่ที่มีจักรเย็บผ้าอยู่กลางห้อง พร้อมทั้งกองผ้าและชุดคละสีและแบบแขวนอยู่เรียงราย
“ชาวบ้านแทบทุกคนต่างก็ใส่เสื้อผ้าฝีมือข้าทั้งนั้นแหละ” เรย์พูดอย่างภาคภูมิใจ
“ชุดที่เจ้าใส่ก็ใช่นะ” เรย์พูดทำให้ซากุระก้มมองชุดยูคาตะของตัวเอง
“ชาวบ้านคนไหนที่ชุดเสียหาย ฉีกขาด ข้าก็เป็นคนซ่อมให้ จะมาแบบไหนข้าก็ซ่อมได้ทั้งนั้น เอ่อ.... แต่ยกเว้นชุดเจ้าที่เจ้าใส่มาตอนแรกนะ” เรย์หัวเราะ แต่พอเห็นซากุระนิ่งเงียบ เธอเลยหยุดหัวเราะแล้วยิ้มแหยๆ ก่อนที่จะเดินเข้าไปในห้อง
“ข้าน่ะมีความฝันว่าจะต้องเป็นช่างตัดเย็บเสื้อผ้าที่เก่งที่สุดในญี่ปุ่นให้ได้ ฟังดูเพ้อฝันใช่ไหมล่ะ” เรย์พูดพลางเดินชมผลงานชุดของตนเองที่แขวนอยู่เต็มห้อง ซากุระที่ยืนอยู่หน้าห้องตอนแรกก็ถือวิสาสะเดินเข้าไปในห้อง จักรเย็บผ้าตรงกลางห้องยังคงมีผ้าที่ยังตัดเย็บไม่เสร็จอยู่ ซากุระมองชุดต่างๆที่อยู่ในห้องไปเรื่อยๆพลันไปเห็นสิ่งที่ดูแตกต่างจากทุกๆอย่างภายในห้องอย่างสิ้นเชิง
มันเป็นรองเท้าที่มีลักษณะประหลาด มันดูไม่เหมือนว่าเป็นรองเท้าด้วยซ้ำ แต่ด้วยองค์ประกอบหลายๆอย่างของมันทำให้รู้ว่ามันใช่ พื้นรองเท้านั้นดูลาดเอียงจนผิดธรรมชาติ อีกทั้งตรงส้นรองเท้านั้นกลายเป็นแท่งยาวๆลักษณะคล้ายเข็มขนาดใหญ่ ทำให้ทรงของรองเท้าดูสูงขึ้นผิดปกติ ซึ่งดูยังไงก็ไม่น่าเป็นรองเท้าที่สามารถใส่ได้เลยซักนิด มันประหลาดจนซากุระต้องหยิบมันขึ้นมาดูใกล้ๆ
“นั่นข้าก็เป็นคนประดิษฐ์ขึ้นมาเอง” เรย์พูดขึ้นเมื่อเห็นซากุระหยิบรองเท้าทรงประหลาดขึ้นมาดู
“ข้าคิดว่าหญิงสาวชาวญี่ปุ่นอย่างเราๆถ้าสูงขึ้นมาอีกซักหน่อยคงจะดูสง่างามขึ้นแน่ๆ ข้าเลยลองประดิษฐ์รองเท้าที่ใส่แล้วทำให้สูงขึ้นดู” เรย์พูดพร้อมหยิบรองเท้าลักษณะเดียวกันอีกข้างหนึ่งขึ้นมา
“ข้าก็ไม่รู้จะเรียกมันว่าอะไรดีนะ รองเท้าที่ส้นรองเท้ามีลักษณะสูงๆแบบนี้ ข้าขอเรียกว่าส้นสูงละกัน” เรย์พูดจบก็วางรองเท้าที่เธอเรียกว่าส้นสูงลงบนที่เดิม
“แล้วก็นะ...” เรย์หยิบกระดาษขึ้นมาแผ่นหนึ่งยื่นให้ซากุระ ซากุระมองดูซักพักก่อนที่จะรับกระดาษนั้นมา บนกระดาษเป็นรูปวาดของมนุษย์เพศหญิงที่สวมเสื้อผ้าลักษณะแปลกๆ ท่อนบนมีเพียงผ้าผืนเล็กๆที่ปิดเฉพาะส่วนหน้าอกเท่านั้น ส่วนท่อนล่างเป็นกางเกงที่ขาสั้นมากจนเผยให้เห็นต้นขา มันเป็นชุดที่เปิดเผยเนื้อหนังมังสามากจนมองเผินๆแทบจะรู้สึกว่าได้เลยมนุษย์เพศหญิงในรูปนั้นเปลือยเปล่า
“นี่เป็นชุดที่ข้าพยายามจะตัดเย็บขึ้นมา ข้าคิดว่าชุดยูคาตะ และกิโมโนที่พวกเราสวมใส่กันอยู่ทุกวันนี้มันทำให้เคลื่อนไหวค่อนข้างลำบาก ข้าคิดว่าการลดจำนวนของผ้าที่ใช้ลง และปิดบังร่างกายเฉพาะส่วนที่ควรปิด มันทำให้การเคลื่อนไหวคล่องแคล่วและสะดวกสบายขึ้น อีกทั้งยังลดการสิ้นเปลืองของผ้า ทำให้ข้าสามารถตัดชุดอื่นๆได้อีกมาก” เรย์ร่ายยาว ในขณะที่ซากุระซึ่งอยู่ภายในห้องอยู่นานแทบไม่ได้เปล่งวาจาใดๆออกมาเลย
“อ๊ะ ข้าขอโทษที่พูดมากไปหน่อย เจ้าคงรำคาญสินะ” เรย์พูดเมื่อเธอสังเกตเห็นว่าซากุระไม่ได้พูดอะไรกับเธอเลยแม้แต่คำเดียว แต่ซากุระส่ายหน้าเบาๆแสดงถึงคำตอบว่าไม่เป็นไร
“เอ่อ... บางทีข้าคิดว่า ชุดที่ข้ากำลังจะตัดเย็บขึ้นมาชุดนี้ ถ้าเจ้าใส่จะต้องสวยแน่ๆ” เรย์ยิ้มให้ซากุระพร้อมกอดอก
“และถ้าใส่กับรองเท้าส้นสูงล่ะก็ มันต้องดูสง่างามมาก” เรย์เดินไปที่จักรเย็บผ้า
“ถ้าชุดเสร็จเมื่อไหร่ ข้าจะให้เจ้าลองสวมใส่เป็นคนแรก ข้าสัญญา” เรย์ยิ้มให้ซากุระอีกครั้ง ซากุระไม่ตอบอะไรอีกเช่นเคย เรย์เริ่มตัดเย็บเสื้อผ้าต่อ ทำให้ซากุระตัดสินใจเดินออกจากห้อง แล้วกลับขึ้นไปบนห้องนอน ซากุระทำเหมือนไม่ค่อยใส่ใจกับเรื่องราวต่างๆที่เรย์พูดนัก เพราะสิ่งเดียวที่เธอยังคงจดจ่ออยู่กับมันตลอดเวลาคืออดีตของเธอที่เธอพยายามเต็มที่เพื่อจะระลึกมันให้ได้
แม้ว่าความหวังจะเรือนลางก็ตาม
---------------------------------------------------------
ซากุระตื่นขึ้นมาภายในห้องนอนอีกครั้งหลังจากที่เธอนอนคิดไปเรื่อยเปื่อยจนเผลอหลับเพราะเธอยังคงอ่อนเพลียไม่หาย เธอได้ยินเสียงแปลกๆดังขึ้นมาจากข้างล่างอีกครั้ง แต่คราวนี้มันไม่ใช่เสียงจักรเย็บผ้า และมันก็ไม่ได้เป็นเสียงที่มาจากภายในบ้าน แต่มันเป็นเสียงที่มาจากนอกบ้าน เหมือนเป็นเสียงของผู้ชายกับผู้หญิงคุยกัน ด้วยความอยากรู้อยากเห็นซากุระจึงชะโงกหน้าออกนอกหน้าต่าง ทำให้เธอเห็นที่มาของเสียงดังกล่าว พบว่ามันเป็นเสียงของเรย์ที่อยู่หน้าบ้านนั่นเอง และเป็นเสียงของชายฉกรรจ์สามคนที่ยืนล้อมเรย์อยู่ ซึ่งแม้ว่าการตัดสินอะไรบางอย่างจากการมองเห็นเพียงครั้งแรกมันไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องนัก แต่จากภาพที่ซากุระเห็นในตอนนี้ดูยังไงๆชายฉกรรจ์ที่ล้อมเรย์อยู่นั้นไม่น่าจะใช่คนดีนัก
“เล่นตัวจังนะสาวน้อย แค่ชวนไปจิบน้ำชาด้วยกันแค่นี้เอง” หนึ่งในชายฉกรรจ์พูดขึ้น
“ก็ข้าไม่อยากไป หลีกทางไปให้พ้นได้แล้ว” เรย์พูดห้วนๆ ซากุระที่ชะโงกหน้ามองจากด้านบนบ้านเพิ่งเคยเห็นเรย์ในอารมณ์ที่ไม่พิสมัยเท่าไหร่นักเป็นครั้งแรก
“อะไรกัน บอกตรงๆนะว่าข้าไม่เคยเห็นสาวน้อยคนไหนกล้าปฏิเสธคำชวนของพวกข้า” ชายฉกรรจ์อีกคนพูด
“ก็รีบเห็นซะสิ” เรย์พูดจาด้วยน้ำเสียงยียวน เล่นเอาชายฉกรรจ์ทั้งสามคนเริ่มจะหงุดหงิด
“นี่เจ้า!! กล้ากวนประสาทพวกข้างั้นรึ” ชายฉกรรจ์อีกคนที่ดูท่าทางจะใจร้อนที่สุดขึ้นเสียง
“แล้วทำไม เจ้าจะทำอะไรข้าล่ะ” เรย์ท้าทายแบบไม่เกรงกลัว ชายฉกรรจ์ทั้งสามทำท่าเหมือนจะทำร้ายเรย์ แต่สุดท้ายก็ถอยห่างออกไป
“หึ!! แล้วเจ้าจะเสียใจในสิ่งที่เจ้าทำกับข้าในวันนี้ คอยดูเถอะ!!” หนึ่งในชายฉกรรจ์พูดด้วยน้ำเสียงโกรธแค้นก่อนที่จะจากไป เรย์ยิ้มแป้นแถมยังโบกมือลาด้วยท่าทีกวนโอ๊ย ทำให้หนึ่งในชายฉกรรจ์หันกลับมามองพร้อมชี้หน้าเรย์ประมาณว่าฝากไว้ก่อนเถอะ
ซากุระที่ชะโงกมองดูเหตุการณ์ทุกอย่างชะโงกหน้ากลับเข้าไปในห้องนอนเหมือนเดิม ในใจพลางคิดชื่นชมเล็กน้อยในความกล้าของเรย์แม้อีกฝ่ายจะเป็นถึงชายฉกรรจ์ท่าทางน่าเกรงขามก็ตาม ในความคิดของซากุระนั้นเรย์เป็นหญิงสาวที่ร่าเริงและพูดเก่งทำให้ซากุระไม่คิดเลยว่าเรย์จะมีอุปนิสัยและท่าทางที่เอาเรื่องและกวนประสาทเช่นนั้น
ซากุระคิดเรื่อยเปื่อยก่อนที่จะเดินลงไปข้างล่างเมื่อได้ยินเสียงเรย์ร้องเรียกให้เธอลงไปทานอาหาร
---------------------------------------------------------
“นังนั่นแสบชะมัด” หนึ่งในชายฉกรรจ์ทั้งสามที่เพิ่งโดนเรย์กวนประสาทพูดขึ้นระหว่างเดิน สังเกตได้เลยว่าชาวบ้านที่มองเห็นชายฉกรรจ์ทั้งสามคนเดินผ่านต่างหลบหน้าด้วยท่าทางที่เกรงกลัว แสดงให้เห็นว่าชายฉกรรจ์ทั้งสามน่าจะเป็นนักเลงโตหรืออะไรซักอย่างที่มีอำนาจทำให้คนอื่นรู้สึกหวั่นเกรง และอำนาจดังกล่าวท่าทางจะเป็นอำนาจในทางที่ไม่ดีนัก
“ใช่ สวยซะเปล่าแต่กวนประสาทชะมัด อีกอย่างข้าก็เพิ่งเคยเห็นคนที่กล้าต่อปากต่อคำกับพวกเราแบบนี้ พวกผู้ชายบางคนมันยังกลัวพวกเราจนหัวหด เจ้าว่าไหมมินาโตะ” หนึ่งในชายฉกรรจ์กล่าว
“นั่นน่ะสิยาสุชิ” ชายฉกรรจ์ที่ถูกเรียกว่ามินาโตะเออออห่อหมกตามชายฉกรรจ์ที่ถูกเรียกว่ายาสุชิ
“แล้วลูกพี่ฮิโรชิคิดว่าไง” ยาสุชิถามชายฉกรรจ์ที่เดินอยู่ข้างหน้าสุด
“หึ!! ข้าก็พูดกับนังนั่นไปแล้วว่านังนั่นจะต้องเสียใจ และข้าก็ไม่ได้พูดส่งๆ” ชายฉรรจ์ที่ถูกเรียกว่าฮิโรชิซึ่งมีท่าทางเหมือนหัวหน้ากลุ่มพูดขึ้น
“ข้าจะกลับไปหานังนั่นอีกครั้ง” ฮิโรชิพูดต่อ
“จะชวนนังนั่นไปจิบน้ำชาอีกหรอ ข้าไม่เอาด้วยหรอกนะ” มินาโตะพูดพร้อมส่ายหน้า
“ใครว่าละ” ฮิโรชิพูดด้วยน้ำเสียงเหี้ยมเกรียม
“มันต้องสนุกกว่านั้นสิ” ฮิโรชิยิ้มอย่างมีเลศนัยพร้อมหัวเราะเบาๆในลำคอ ดูท่าทางเรื่องนี้จะไม่จบลงง่ายๆเป็นแน่...