Bloody Wrestling Online
Would you like to react to this message? Create an account in a few clicks or log in to continue.

Bloody Wrestling Online

The Number One Cyber Wrestling Online
 
บ้านPortalLatest imagesสมัครสมาชิก(Register)เข้าสู่ระบบ(Log in)

 

 Ghost Hunter : Chapter 7 "Beach and Blood"

Go down 
ผู้ตั้งข้อความ
ฟ้ามืด
Superstar Grade B
Superstar Grade B
ฟ้ามืด


จำนวนข้อความ : 504
Join date : 30/04/2013
Age : 31
ที่อยู่ : μ's

Ghost Hunter : Chapter 7 "Beach and Blood" Empty
ตั้งหัวข้อเรื่อง: Ghost Hunter : Chapter 7 "Beach and Blood"   Ghost Hunter : Chapter 7 "Beach and Blood" EmptyFri Nov 07, 2014 11:20 pm



----------------------------------------------------

“เข้าไปหลบในบ้านพักก่อน!!” มิสะตะโกนขึ้น หลังจากเกิดการปรากฏตัวของซากศพเดินได้หรือที่เหล่าเจ้าหน้าที่โกสท์ฮันเตอร์เรียกมันว่า “มาริออนเน็ต” ซากศพที่ถูกโพลเทอร์ไกสท์เข้าควบคุม ซึ่งมันเป็นเหตุการณ์ที่ไม่มีใครได้คาดคิดว่ามันจะเกิดขึ้นในระหว่างการพักผ่อนของเหล่าเจ้าหน้าที่

หลังจากสิ้นเสียงของมิสะ เจ้าหน้าที่ทุกคนต่างวิ่งหนีเข้าไปในบ้านพัก ทุกคนต่างไร้อาวุธจึงไม่สามารถตอบโต้ศัตรูที่อยู่ตรงหน้าได้ในตอนนี้ ทว่ามาโมรุเป็นคนเดียวที่ไม่วิ่งหนีแต่กลับวิ่งลุยเข้าไปในกลุ่มซากศพ และใช้มือเปล่าจัดการกับพวกมันโดยที่ไม่สนว่าตัวเองจะเกิดอันตราย ทำให้มิสะต้องรีบวิ่งเข้าไปดึงมือเธอออกมา

“มาโมรุ!! กลับบ้านพักไปตั้งหลักก่อน!! ใช้มือเปล่าต่อสู้กับพวกมันไม่ไหวหรอก” มิสะพูดพร้อมพยายามฉุดมาโมรุออกมาจากพื้นที่อันตราย แต่มาโมรุกลับสะบัดมือเธอออกแล้วพยายามจะวิ่งกลับไป

“มาโมรุ!! มาโมรุ!! มองตาชั้นนี่!!” มิสะจับใบหน้าของมาโมรุให้เธอหันมาจ้องมองตน

“ตั้งสติก่อน ชั้นรู้ว่าเธอแค้นพวกมัน ใช่... เราจะจัดการกับพวกมัน แต่ไม่ใช่ตอนนี้” มิสะพยายามเกลี้ยกล่อมจนมาโมรุดูใจเย็นลง สุดท้ายมาโมรุก็ตัดสินใจตามมิสะกลับไปตั้งหลักยังบ้านพักโดยที่เหล่าซากศพตามพวกเธอไปติดๆ แต่ด้วยความเชื่องช้าของพวกมันทำให้มิสะและมาโมรุไปถึงบ้านพักได้อย่างปลอดภัย

“ปิดประตู!! หาอะไรมากั้นไว้!!” สิ้นเสียงสั่งการของมิสะ เหล่าเจ้าหน้าที่ทุกคนที่หลบอยู่ในบ้านพักก็พยายามจะหาของหนักๆมากั้นประตูไว้ โดยเริ่มที่ท่อนไม้แข็งๆมาขัดมือจับประตูไว้ หลังจากนั้นเพียงไม่นานหน้าประตูก็ถูกขวางด้วยตู้วางของ โซฟา และเตียงนอน ซึ่งคงเพียงพอที่จะต้านทานการบุกเข้ามาของศัตรูได้ชั่วขณะหนึ่ง และน่าจะพอช่วยซื้อเวลาสำหรับการวางแผนกันจัดการกับสถานการณ์วุ่นวายในตอนนี้ได้อยู่บ้าง

“บ้าเอ้ย...” มิสะสบถ หลังจากทุกๆคนอยู่ในสถานการณ์ปลอดภัย แต่ก็คงปลอดภัยได้แค่ตอนนี้

“เอาล่ะ มีใครในนี้พกอาวุธมาบ้าง” มิสะถามขึ้น

“มาพักผ่อนกัน ใครพกมาคงจะบ้า” มิคาโดะพูดกัดมิสะ

“เอาเป็นว่าไม่มี” มิสะทำเป็นไม่สนใจ ทำเอามิคาโดะหน้ามุ่ย

“ชั้นเอามา” มาโมรุยกมือขึ้นแล้วพูด

“สรุปว่าชั้นบ้าใช่ไหม? มิคาโดะ” มาโมรุหันไปกัดมิคาโดะบ้าง พร้อมยิ้มให้แบบกวนๆ ก่อนที่จะเดินไปหยิบแบล็คแจ็ค ปืนพกคู่อาวุธประจำตัวของเธอออกมาจากกระเป๋า ถ้าหากใครเห็นสีหน้าของมิสะในตอนนี้จะรู้ว่าเธอยิ้มมุมปากนิดๆที่มิคาโดะถูกกวนประสาทซะบ้าง

“มีใครพกอาวุธมาอีกไหม” มิสะถามพร้อมเงียบซักพักเพื่อรอคำตอบ

“ไม่มีแล้วสินะ” มิสะสรุปเมื่อทุกคนต่างเงียบ

“ลำพังแค่มาโมรุคนเดียวคงสู้กับเจ้าพวกบ้านั่นไม่ไหวแน่” มิสะกล่าว

“ชั้นไหว จะให้มามากกว่านี้ก็ยังได้ แม่จะยิงมันให้พรุน” มาโมรุพูดอย่างมั่นใจ

“ชั้นว่าเธอจะพรุนซะเองนะ” มิคาโดะพยายามจะพูดกัดมาโมรุเอาคืน แต่ดูเหมือนจะไม่สำเร็จเพราะมาโมรุไม่สนใจซะอย่างนั้น

“ถ้าชั้นเอาเซเว่นมาด้วยล่ะก็จะระเบิดพวกมันให้กระจุยเลย” โนบุฮิเดะ หรือเจ้าหน้าที่ร่างยักษ์ผู้ชำนาญด้านระเบิดแห่งหน่วยชาร์ลีที่เคยช่วยพวกมิสะในภารกิจที่อาคารร้างพูดขึ้น

โนโดกะที่ยังคงรู้สึกคลื่นไส้เล็กน้อยกับการปรากฏตัวของซากศพเดินได้ สังเกตเห็นว่าท่าทีโซระที่นั่งกอดเข่าอยู่ใกล้ๆดูไม่โอเคเท่าไหร่ เธอตัวสั่น พร้อมสะอื้นเล็กน้อยบ่งบอกว่าเธอกำลังร้องไห้อยู่ โนโดกะจึงขยับตัวเข้าไปใกล้

“คุณโซระเป็นอะไรหรือเปล่าคะ?” โนโดกะถามด้วยความเป็นห่วง

“ความผิดโซระเอง...” โซระพึมพำด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา แต่โนโดกะก็ได้ยินมัน

“หมายความว่าไงคะ?” โนโดกะถาม โซระไม่ตอบได้แต่นั่งสะอื้นอยู่แบบนั้น เจ้าหน้าที่คนอื่นๆที่เห็นท่าทีของโซระที่ดูแปลกๆก็เริ่มสงสัยเช่นเดียวกับโนโดกะ โซระก็ยังคงไม่พูดอะไรจนมิสะเดินเข้ามา

“มีอะไรงั้นหรอโซระ?” มิสะถาม สีหน้าเธอดูสงสัยเช่นเดียวกับเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ

“ทุกคนคะ... นี่เป็นความผิดโซระเอง เรื่องพวกนี้เกิดขึ้นเพราะโซระ!!” โซระลุกขึ้นพรวดพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ สีหน้าของเธอดูแย่เอามากๆ

“นี่เธอกำลังจะบอกว่าเธอเป็นคนปลุกผีบ้าพวกนั้นมาหรือยังไง?” มิคาโดะพูดขึ้นเสียง แต่น้ำเสียงเขาดูเหมือนล้อเล่นซะมากกว่า

“หุบปากน่ามิคาโดะ...” มิสะพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆแต่จริงจัง มิคาโดะถึงกับเงียบกริบ เรียกได้ว่าวันนี้มิคาโดะโดนคำพูดเจ็บๆไปหลายรอบเลยทีเดียว

“เธอหมายความว่ายังไง? ที่เธอบอกว่าเป็นความผิดเธอน่ะ” มิสะหันหน้ากลับไปถามโซระ

“เพราะโซระบกพร่องในหน้าที่...” โซระพยายามเปล่งคำพูดออกมาภายใต้เสียงสะอื้น

“โซระละเลยต่อข้อมูลที่ได้รับ... โซระเคยทราบมาว่ามีโบสถ์เก่าแก่แห่งหนึ่งถูกทุบทิ้งเมื่อไม่กี่วันมานี้ ซึ่งโบสถ์แห่งนั้นอยู่ติดกับทะเล” โซระเริ่มเล่า

“พื้นที่นั้นจึงถูกซื้อเพื่อนำมาสร้างเป็นรีสอร์ท... รีสอร์ทนั้นก็คือรีสอร์ทที่พวกเราอยู่ในตอนนี้”

“และหาดทรายตรงนั้น ก็คงเคยเป็นสุสานมาก่อนสินะ ถึงมีพวกมาริออนเน็ตโผล่มาเยอะแยะแบบนี้” มิสะคาดเดา โซระพยักหน้าช้าๆ

“โซระน่าจะนึกได้ตั้งแต่แรก... ว่าที่นี่เคยเป็นอะไรมาก่อน โซระเอาแต่ห่วงแต่จะเที่ยวเล่นจนเกิดเรื่องร้ายๆขึ้นกับทุกคน เพราะโซระแท้ๆ” โซระเริ่มร้องไห้ออกมาแบบไม่อายใคร

“เลิกโทษตัวเองได้แล้วโซระ ไม่มีใครเค้าโทษเธอเลยนะ” มิสะเดินมาจับไหล่โซระ

“เธออยากให้ทุกคนได้พักผ่อน ทุกคนเข้าใจดี สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดไม่ใช่ความผิดใครทั้งนั้น ถ้าจะผิด ก็ผิดที่เจ้าพวกผีบ้านั่นมาทำลายการพักผ่อนของพวกเรา”

“แล้วก็เจ้าของรีสอร์ทบ้านั่นด้วยที่สร้างรีสอร์ทขึ้นมาไม่ดูตาม้าตาเรือ” มาโมรุพูดเสริม

“ดังนั้นเลิกโทษตัวเองเถอะ แล้วมาหาทางที่จะกำจัดพวกมันที่มาทำลายความสุขของพวกเราดีกว่า” มิสะยิ้มให้โซระ โซระมองหน้ามิสะซักพัก ก่อนที่เธอจะสูดหายใจเข้าลึกๆ ปาดน้ำตาแล้วพยักหน้า

ทันใดนั้นประตูและสิ่งกีดขวางที่อยู่ตรงหน้าประตูก็เริ่มสั่นสะเทือนเมื่อถูกพวกซากศพที่พยายามจะพังเข้ามา เจ้าหน้าที่บางคนพยายามหาสิ่งกีดขวางต่างๆไปวางเพิ่มเติมเพื่อหวังที่จะถ่วงเวลาได้อีกนิด

“บ้าชิบ... ต้องรีบทำอะไรซักอย่าง” มิสะพูดกับตัวเอง

“เจ้าพวกมาริออนเน็ตต้องใช้จีสโคป...”

“จีสโคปหรอครับ!!” คิจภัค นักวิทยาศาสตร์เพี้ยนชื่อแปลกแห่งองค์กรโกสท์ฮันเตอร์โพล่งขึ้นมา

“เหมือนผมจะเอามาด้วยนะครับ จีสโคปอุปกรณ์ที่ทำให้มองเห็นพวกโพลเทอร์ไกสท์ที่ควบคุมร่างของมาริออนเน็ต เพื่อที่จะได้กำจัดเจ้าพวกโพลเทอร์ไกสท์ที่ควบคุมซากศพอยู่ได้อย่างง่ายดายขึ้น ซึ่งจะทำให้มาริออนเน็ตตัวนั้นๆหมดพิษสงในทันที วิธีใช้คือ...”

“รีบไปเอามาสิ!!” มิสะตวาดเมื่อเห็นคิจภัคเอาแต่พล่ามไม่หยุด คิจภัคสะดุ้งโหยงก่อนที่จะไปค้นกระเป๋าสัมภาระของตัวเอง

“อ๊ะ!! เหมือนผมจะเอาจีสเปรย์มาด้วยนะ” คิจภัคพูดขึ้นพลางหยิบอุปกรณ์ที่มีลักษณะคล้ายกับกล้องมองกลางคืนแบบตาเดียวขึ้นมาแล้วโยนให้มิสะ ตามมาด้วยขวดสเปรย์ทรงกระบอกขนาดเล็กสีดำ มิสะรับสิ่งของสองอย่างนั้นด้วยมือซ้ายและขวา

“จีสโคปกับจีสเปรย์... ไม่เลวนี่” มิสะกล่าว

“ทุกคน ชั้นคิดอะไรออกแล้วล่ะ” มิสะพูดขึ้น ทำให้เจ้าหน้าที่ทุกคนต่างหันมาทางมิสะกันหมด

“มาโมรุ เธอเป็นคนเดียวที่มีอาวุธ ชั้นจะให้เธอเป็นคนใส่จีสโคป แล้วจัดการกับพวกโพลเทอร์ไกสท์ที่อยู่ในตัวซากศพให้หมด” มิสะอธิบายแผนการ

“ส่วนทุกคนหาอาวุธอะไรก็ได้ที่พอจะใช้ป้องกันตัวได้มาฉีดจีสเปรย์ แล้วคอยสนับสนุนมาโมรุ ถ้าสามารถจัดการกับพวกโพลเทอร์ไกสท์ได้ ก็พยายามจัดการให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ จงอย่าลืมว่าจีสเปรย์มีผลแค่ประมาณครึ่งชั่วโมงเท่านั้น ดังนั้นแผนการนี้ต้องทำด้วยความรวดเร็ว”

“ไม่มีใครสงสัยใช่ไหม?” มิสะถาม ทุกคนต่างเงียบ แสดงให้เห็นว่าไม่มีใครสงสัย หรือไม่ก็ไม่มีเวลาให้มาสงสัยกับในสถานการณ์ตอนนี้

“เอาล่ะ เริ่มแผนการได้”

----------------------------------------------------

หลังจากวางแผนกันเสร็จเรียบร้อยภายในเวลาที่ค่อนข้างจำกัดและบีบคั้น เจ้าหน้าที่ทุกคนต่างพยายามค้นหาสิ่งของที่พอจะเป็นอาวุธได้ บางคนก็เป็นมีดทำครัว บางคนก็เป็นร่ม บางคนก็ดึงเอาขาโต๊ะมาใช้เป็นอาวุธ แม้อาวุธบางอย่างจะดูไร้ประสิทธิภาพ แต่ในสถานการณ์คับขันแบบนี้คงไม่มีทางเลือกอะไรมากนัก เมื่อทุกคนได้อาวุธกันครบแล้วก็ต่างทยอยกันใช้จีสเปรย์ฉีดใส่อาวุธของตัวเอง สำหรับจีสเปรย์นั้นก็คือจีเอเนอร์จี้ที่ถูกสกัดให้อยู่ในรูปแบบของสเปรย์ สามารถทำให้สิ่งของทุกชนิดสามารถสัมผัสกับวิญญาณได้ แต่สเปรย์ดังกล่าวสามารถยึดเกาะกับสิ่งของเหล่านั้นได้แค่ประมาณครึ่งชั่วโมงเท่านั้น ถึงกระนั้นจีสเปรย์ก็ถือว่ามีประโยชน์เป็นอย่างมากในยามคับขันเช่นตอนนี้

ด้านมาโมรุซึ่งเป็นคนเดียวที่มีอาวุธได้เตรียมพร้อมด้วยการสวมจีสโคปที่ตาข้างซ้าย ทางมิสะบังเอิญพกมีดพับมาด้วยจึงใช้มันเป็นอาวุธ ส่วนโนโดกะเลือกที่จะถอดด้ามไม้ถูพื้นออกมาเป็นอาวุธ เจ้าหน้าที่ทุกคนต่างมีอาวุธกันครบมือแล้ว เกลและเรียวสองเจ้าหน้าที่ในหน่วยอัลฟ่าอาสาที่จะเป็นผู้เคลียร์สิ่งกีดขวางที่วางอยู่หน้าประตูให้ ส่วนเจ้าหน้าที่คนอื่นๆต่างอยู่ในท่าเตรียมพร้อมโดยมีมาโมรุซึ่งมีอาวุธครบมืออยู่ข้างหน้าสุด

ไม่นานนักประตูที่เคยมีสิ่งกีดขวางในตอนนี้ก็ถูกเคลื่อนย้ายสิ่งกีดขวางออกจนหมด เหลือเพียงประตูที่ถูกขัดไว้ด้วยไม้แข็งๆท่อนหนึ่งซึ่งแน่นอนว่ามันไม่เพียงพอที่จะป้องกันเหล่าผู้บุกรุกอันมากมายข้างนอกได้นานๆแน่ เจ้าหน้าที่ทุกคนกำอาวุธในมือไว้แน่น เกลและเรียวมองหน้าเจ้าหน้าที่ทุกคนโดยที่มือของเรียวจับท่อนไม้ที่ขัดประตูเตรียมจะเอาออก เรียวพยักหน้าเป็นจังหวะสื่อถึงการให้สัญญาณนับหนึ่งถึงสาม

เมื่อเรียวพยักหน้าครบสามครั้ง ท่อนไม้ที่ถูกขัดประตูเอาไว้ก็ถูกเอาออก แรงผลักอันมหาศาลจากภายนอกส่งผลให้ประตูบานคู่ของบ้านพักถูกเปิดเข้ามาอย่างรุนแรง เสียงประตูกระทบกับกำแพงเสียงดังสนั่น พร้อมกับเหล่าซากศพเดินได้หรือมาริออนเน็ตที่กรูเข้ามาภายในบ้านพัก

ซากศพตัวแรกถูกกระสุนเพชฌฆาตจากมาโมรุยิงเข้าใส่แทบจะในทันที ด้วยจีสโคปที่มาโมรุสวมอยู่ทำให้กระสุนนัดนั้นทะลุร่างของมาริออนเน็ตรวมทั้งยังทะลวงถูกกลุ่มก้อนพลังงานโพลเทอร์ไกสท์ที่ควบคุมร่างของมาริออนเน็ตอยู่ ส่งผลให้ซากศพตัวนั้นหมดพิษสงในทันทีรวมทั้งโพลเทอร์ไกสท์ก็ถูกทำลายไปพร้อมๆกัน ส่วนซากศพตัวอื่นๆก็ถูกเหล่าเจ้าหน้าที่ใช้อาวุธในมือโจมตีใส่จนพวกมันเสียหลักล้มลงไป เจ้าหน้าที่ทุกคนต่างมีความคิดเดียวกันว่าภายในบ้านพักคงจะเป็นสมรภูมิรบที่ดูไม่เหมาะสมนัก พวกเขาจึงตัดสินใจออกจากบ้านพักเพื่อที่จะปะทะกับศัตรูข้างนอก

มาโมรุออกมาจากบ้านพักพร้อมฝากกระสุนทะลวงร่างของศัตรูอย่างแม่นยำเหมือนจับวาง เพียงแค่มาโมรุคนเดียวก็สามารถจัดการกับศัตรูไปได้หลายตัว เรียกได้ว่าสิ่งที่มาโมรุคุยโวในตอนแรกนั้นเธอได้แสดงให้เห็นแล้วว่าเธอสามารถทำได้จริง

มาริออนเน็ตตัวหนึ่งโถมร่างกายเข้ามาหามิสะ มิสะจัดการใช้มีดพับแทงเข้าที่ศีรษะของมันอย่างแม่นยำ แต่นั่นไม่เพียงพอที่จะทำให้ศัตรูหมดพิษสง มิสะจึงดึงมีดออกจากศีรษะของศัตรู แล้วใช้มีดอันเดิมแทงเข้าที่ลำตัวมาริออนเน็ตจนมิดด้าม มิสะเฉือนมีดที่ปักอยู่ตรงลำตัวของมันไปทางด้านข้าง ผ่าร่างของซากศพออกเป็นสองส่วน เมื่อมาริออนเน็ตหมดซึ่งพิษสงแล้ว โพลเทอร์ไกสท์ที่ควบคุมมันอยู่ก็ออกมาจากร่างเพื่อหวังจะหาร่างใหม่ แต่มิสะก็จัดการใช้มีดพกในมือตวัดฟันกลุ่มก้อนพลังงานดังกล่าวจนมันสลายไปเสียก่อน

มิคาโดะซึ่งมีพื้นฐานเรื่องการต่อสู้มือเปล่าอยู่แล้วนั้นมีท่อนไม้ที่ถูกดึงมาจากขาโต๊ะไว้เป็นอาวุธพอให้อุ่นใจเท่านั้น เพราะเขาใช้มือเปล่าต่อสู้ซะเป็นส่วนมาก เขาจัดการทุ่มมาริออนเน็ตลงกับพื้น แล้วจัดการหักคอมันด้วยมือเปล่า ก่อนที่จะใช้เท้าของเขากระทืบที่ศีรษะของมันจนแตกกระจุย กลุ่มก้อนพลังงานโพลเทอร์ไกสท์จึงออกมาจากซากศพทันที และก็ถูกมิคาโดะใช้ท่อนไม้ในมือหวดใส่กลุ่มก้อนพลังงานราวกับหวดลูกเบสบอลจนมันสลายไป

เจ้าหน้าที่คนอื่นๆก็ต่างใช้ทักษะที่ตัวเองมีต่อสู้กับพวกมาริออนเน็ต ทั้งโนบุฮิเดะที่มีร่างกายอันสูงใหญ่กำยำก็ได้ใช้สรีระตัวเองให้เป็นประโยชน์ หรือเกลที่มีทักษะทางด้านเพลงดาบก็ประยุกต์เพลงดาบมาใช้กับมีดทำครัวที่เขาตัดสินใจเลือกมันมาเป็นอาวุธป้องกันตัว

โนโดกะเองยังคงดูเก้ๆกังๆเพราะเธอได้รับการฝึกแต่อาวุธปืนเท่านั้น เธอยังไม่เคยฝึกการใช้อาวุธระยะประชิดมาก่อน รวมทั้งเธอก็ไม่มีความสามารถด้านศิลปะการป้องกันตัวใดๆเลย เธอได้แต่มองซ้ายขวา เห็นพวกมาริออนเน็ตถูกเจ้าหน้าที่คนอื่นจัดการอย่างง่ายดาย ในใจเธอแอบคิดว่าตัวเองเหมือนตัวถ่วงเพราะเธอแทบจะไม่ได้ช่วยอะไรใครเลยตั้งแต่ที่เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น ทันใดนั้นมาริออนเน็ตตัวหนึ่งได้พุ่งเข้ามาหาโนโดกะ โนโดกะใช้ด้ามไม้ถูพื้นในมือฟาดใส่ซากศพที่อยู่ตรงหน้าทันทีตามสัญชาตญาณ แต่ทว่าด้ามไม้ถูพื้นกลับหัก ทำให้ซากศพโถมเข้าหาตัวโนโดกะจนล้มลงไปกองกับพื้น โนโดกะพยายามใช้แรงทั้งหมดที่มีผลักซากศพที่พยายามจะทับตัวเธอออกไป ใบหน้าของซากศพที่เน่าเฟะพร้อมทั้งมีหนอนชอนไชตามใบหน้ายื่นเข้ามาใกล้ๆกับโนโดกะ ทำให้เธอรู้สึกสะอิดสะเอียนคลื่นไส้จนอยากจะขย้อนของเก่าออกมาซะตรงนี้ แต่ว่าการเอาชีวิตรอดนั้นสำคัญกว่า

เจ้าหน้าที่คนอื่นๆก็ต่างต่อสู้กับศัตรูของตนเองจนไม่ทันได้สังเกตโนโดกะที่กำลังเพลี่ยงพล้ำ เรี่ยวแรงของเธอเริ่มจะหมดลงทุกที โนโดกะพยายามร้องตะโกนให้ช่วย ทันใดนั้นซากศพที่พยายามจะทำร้ายเธอก็ดูอ่อนแรงลง ทำให้โนโดกะผลักมันออกมาให้ห่างตัวได้สำเร็จ ตรงหน้าของเธอเป็นเด็กสาวผมสีแดงอ่อนนามโซระนั่นเองที่เป็นผู้ช่วยเหลือเธอไว้ ในมือของเธอถืออิฐบล็อคตัวหนอน เมื่อโนโดกะมองไปยังซากศพก็พบว่าศีรษะของมันยุบจนผิดรูป ซึ่งอิฐก้อนดังกล่าวที่โซระถืออยู่น่าจะเป็นอาวุธที่ใช้จัดการกับมัน

“ขอบคุณค่ะ” โนโดกะกล่าวขอบคุณ โซระยิ้มตอบ โพลเทอร์ไกสท์เริ่มออกมาจากซากศพตัวเมื่อซักครู่ที่เพิ่งถูกจัดการ ทำให้โซระใช้อิฐบล็อกตัวหนอนในมือปาใส่กลุ่มพลังงานจนสลายไปอย่างรวดเร็ว

ความสามารถและการร่วมมือกันของเจ้าหน้าที่โกสท์ฮันเตอร์ทำให้มาริออนเน็ตและโพลเทอร์ไกสท์ที่ปรากฏตัวขึ้นมาทำลายความสุขในวันพักผ่อนถูกกำจัดจนหมดในที่สุด โดยเกือบทั้งหมดมาจากฝีมือของมาโมรุที่มีอาวุธทรงประสิทธิภาพอย่างแบล็คแจ็ค เจ้าหน้าที่ทุกคนต่างทิ้งอาวุธในมือด้วยความโล่งใจ รวมทั้งโนโดกะที่ถอนหายใจอย่างโล่งอก

แต่ทว่าเรื่องราวกลับไม่ได้จบง่ายแบบนั้น เมื่อซากศพที่นอนเรียงรายอยู่ท่ามกลางหาดทรายกลับลอยขึ้นมาเหนือพื้นราวกับอยู่ในสภาพที่ไร้ซึ่งแรงโน้มถ่วง ก่อนที่ซากศพเหล่านั้นจะลอยสูงขึ้นฟ้า และเริ่มหมุนวนจนเกิดเป็นพายุขนาดย่อมๆ เหล่าเจ้าหน้าที่ต่างยกแขนขึ้นเพื่อต่อต้านแรงลมอันมหาศาล เพียงไม่นานพายุนั้นก็สงบลงพร้อมการหายไปของซากศพเหล่านั้นอย่างน่าประหลาด ก่อนที่จะปรากฏบางสิ่งบางอย่างในบริเวณที่เคยเป็นใจกลางของพายุลูกนั้น

เป็นร่างของชายหนุ่มผู้หนึ่งลอยเหนือพื้น ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเขาไม่ใช่มนุษย์ ถึงแม้บางทีเขาอาจจะเคยเป็นมาก่อนก็ตาม เขาอยู่ในชุดสูทสีดำสนิทพร้อมผูกหูกระต่ายสีเดียวกัน และหน้าอกเสื้อด้านซ้ายของเขามีดอกไม้ที่เหี่ยวเฉาติดอยู่ ชุดนั้นอาจจะทำให้เขาดูสง่างามถ้าหากมันไม่ขาดวิ่นเป็นจุดๆและมีร่องรอยของคราบเลือด รวมทั้งใบหน้าของเขาซึ่งเต็มไปด้วยบาดแผลพร้อมทั้งเลือดที่ไหลออกจากปาก มันทำให้เขาดูน่าสยดสยองเสียมากกว่า

“พวกเวนเดททร้าอยู่เบื้องหลังอีกแล้วงั้นรึ...” มิสะพูดกับตัวเอง

“คืนมา... เอาคืนมา....” เวนเดททร้าชายหนุ่มพูดด้วยเสียงยานคางดังกึกก้อง ก่อนที่จะยกมือขึ้นไปที่เจ้าหน้าที่มิโนริซึ่งอยู่ใกล้ที่สุด มิโนริรู้สึกถึงแรงผลักอันมหาศาลทำให้เธอถึงกับกระเด็นไปไกลหลายเมตร เจ้าหน้าที่ที่เห็นภาพดังกล่าวรู้สึกตื่นตะลึงไปชั่วขณะ มิคาโดะเป็นอีกคนที่อยู่ใกล้กับวิญญาณชายหนุ่มพุ่งเข้าไปทันทีด้วยความมั่นใจ แต่ก็ถูกพลังแบบเดียวกันที่มิโนริโดนกระแทกจนกระเด็นเช่นเดียวกัน

มาโมรุซึ่งมีคนเดียวที่มีอาวุธจู่โจมในระยะไกล ก็ใช้ปืนลูกโม่ในมือซ้ายยิงใส่เวนเดททร้าชายหนุ่ม แต่กระสุนกลับถูกมันปัดทิ้งอย่างน่าเหลือเชื่อ มาโมรุเองก็แทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง แต่ก็ใช้ปืนลูกโม่กระบอกเดิมยิงใส่มันอีกครั้ง ปรากฏว่าผลออกมาเหมือนเดิมเมื่อกระสุนถูกปัดทิ้งออกไป

เมื่ออาวุธของมาโมรุก็ไม่ได้ผล มิสะตัดสินใจใช้ความเร็วพุ่งเข้าหาเวนเดททร้าชายหนุ่ม มันยกมือขึ้นมาทางมิสะ เธอรู้ดีว่านั่นเป็นสัญญาณของอันตรายที่เธอจะต้องเผชิญ ทำให้เธอใช้ความคล่องแคล่วกลิ้งหลบไปด้านข้าง แรงกระแทกมหาศาลไปโดนพื้นทรายแทน เป็นผลทำให้พื้นทรายตรงจุดนั้นแตกกระจายเหมือนถูกระเบิด มิสะหันมองพื้นทรายตรงจุดนั้น สายตาของเธอสื่อออกมาเป็นคำพูดประมาณว่า “เกือบไปแล้ว” ก่อนที่จะพุ่งเข้าหาเวนเดททร้าชายหนุ่มพร้อมมีดพับในมือ

มิสะตวัดมีดพับเข้าไปที่บริเวณใบหน้าของวิญญาณชายหนุ่ม แต่มันใช้แขนป้องกันการโจมตีนั้นได้อย่างรวดเร็ว มิสะตัดสินใจใช้ขาเตะเข้าไปที่ลำตัวของมัน แต่ทว่าก็ถูกมันจับขาไว้แล้วเหวี่ยงไปด้านข้าง มิสะลอยคว้างอยู่กลางอากาศแต่ก็ยังตีลังกาลงมายืนได้ เธอไม่รอช้าพุ่งเข้าใส่เวนเดททร้าชายหนุ่มอีกครั้ง ด้วยความที่มันเพิ่งจะเหวี่ยงมิสะไปเมื่อสักครู่ ทำให้มันมีช่องโหว่อยู่เล็กน้อย มิสะจึงไม่รอช้าใช้โอกาสนี้เข้าจู่โจม เธอใช้มีดพับแทงเข้าไปที่ใบหน้าของมันอย่างแม่นยำ เธอมั่นใจเต็มร้อยว่าการจู่โจมครั้งนี้เธอเป็นฝ่ายชนะ แต่เธอกลับต้องตาเบิกโพลงด้วยความตกใจเมื่อมีดพับเล่มนั้นกลับไปปักที่ฝ่ามือของมันที่ยกขึ้นมาแทน พร้อมๆกับแรงกระแทกอันมหาศาลที่ผลักมิสะจนกระเด็นออกไปกระแทกกับพื้นอย่างรุนแรง

เมื่อสองนักล่าผีฝีมือระดับแนวหน้ายังไม่สามารถต่อสู้กับมันได้ ก็ไม่มีเจ้าหน้าที่คนใดกล้าที่จะเสี่ยงชีวิตเข้าไปแลกกับมัน อีกทั้งในสภาพที่มีแต่อาวุธไร้ประสิทธิภาพนั้นคงจะต่อสู้กับมันไม่ไหวแน่นอน ในใจของเจ้าหน้าที่บางคนเริ่มคิดว่าศึกครั้งนี้พวกเขาต้องแพ้แน่ๆ แต่บางคนก็ยังมีใจฮึดสู้เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะสู้ไปในทิศทางใดในสภาพที่ไร้เขี้ยวเล็บเช่นตอนนี้

“คืนมา... เอาคืนมา...” เวนเดททร้าชายหนุ่มพูดคำเดิมอีกครั้ง พร้อมทั้งซัดแรงกระแทกใส่มาโมรุซึ่งพยายามจะเล็งปืนไปที่มัน โชคดีที่มาโมรุกระโดดหลบได้อย่างเฉียดฉิว

“พูดแต่คำซ้ำๆอยู่นั่นแหละ แกต้องการอะไรคืนก็บอกมาสิวะ!!” โนบุฮิเดะซึ่งปกติเป็นคนพูดเสียงดังอยู่แล้ว ตะโกนถามด้วยเสียงที่ดังลั่นกว่าที่เขาพูดตามปกติ ทำให้วิญญาณชายหนุ่มตนนั้นเหมือนจะรำคาญเลยจัดการซัดพลังใส่โนบุฮิเดะ แต่ด้วยความที่เขามีร่างกายสูงใหญ่กำยำ ทำให้เขาถูกแรงกระแทกจนถอยไปเล็กน้อยเท่านั้น แต่ถ้าเขาโดนอีกทีแบบติดๆเขาก็อาจจะล้มลงได้เช่นกัน

“เหมือนเวนเดททร้าตัวนั้นจะต้องการขอของอะไรบางอย่างคืนนะคะ” โซระตั้งข้อสันนิษฐาน

“อาจจะเป็นของสำคัญตอนที่เขามีชีวิตอยู่ ต้องหามันให้เจอ”

“แล้วมันคืออะไรกันล่ะ?” เวอร์ดี้ เจ้าหน้าที่สาวลุคทอมบอยเอ่ยถามขึ้นเหมือนเป็นตัวแทนให้กับเจ้าหน้าที่คนอื่นๆที่คงอยากจะถามคำถามนี้เหมือนๆกับเธอ

“ขอโซระนึกก่อนนะคะ ว่าที่ตรงนี้เคยเกิดอะไรขึ้นมาก่อน” โซระกล่าว เธอตระหนักว่าคงมีเวลาคิดไม่มากนักเพราะเจ้าวิญญาณร้ายนั่นเตรียมที่จะจู่โจมทุกคนได้ตลอด โซระคงได้แต่ภาวนาให้เจ้าหน้าที่สายจู่โจมคนอื่นๆช่วยถ่วงเวลาให้ได้มากที่สุดเพื่อเพิ่มเวลาให้เธอได้คิดมากขึ้น

ในระหว่างนั้นเวนเดททร้าชายหนุ่มก็ได้เปิดฉากโจมตีอีกครั้ง คราวนี้มันพุ่งเป้าไปที่เรียว ซึ่งด้วยไหวพริบของเรียวก็ยังทำให้เขาสามารถหลบได้ทัน ในใจของเขาพลางคิดว่าถ้ามีปืนสักกระบอกที่เป็นอาวุธถนัดของเขาในตอนนี้ล่ะก็การต่อสู้ครั้งนี้เขาคงจะพอรับมือไหวแน่ๆ

เวนเดททร้าชายหนุ่มก็ยังคงเปิดฉากจู่โจมเจ้าหน้าที่โกสท์ฮันเตอร์อยู่เรื่อยๆ แอชลีย์ เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ซึ่งไม่ถนัดเรื่องการต่อสู้ซักเท่าไหร่ก็พยายามหลบอยู่หลังเชน เจ้าหน้าที่อาวุโสผู้ถนัดใช้ปืนซุ่มยิงระยะไกล ซึ่งเขาเองก็แทบจะช่วยอะไรไม่ได้เลยเช่นกันในสภาพที่ไร้อาวุธ แต่อย่างน้อยเขาน่าจะพอปกป้องแอชลีย์ได้อยู่บ้าง ส่วนคุณหมอจุนนั้นก็ได้พาผู้บาดเจ็บสองคนอย่างเวอร์ดี้ และมิคาโดะกลับไปที่บ้านพักเพื่อปฐมพยาบาลเบื้องต้น มิสะเองที่บาดเจ็บเช่นกันแต่กลับปฏิเสธการช่วยเหลือจากจุนและตัดสินใจที่จะยืนหยัดสู้ต่อ

เจ้าหน้าที่ทุกคนพยายามจะถ่วงเวลาศัตรูให้ได้มากที่สุดเพื่อเปิดโอกาสให้โซระได้ระดมความคิดทั้งหมดที่มีอยู่ในสมองเพื่อหวังที่จะหาสาเหตุของเรื่องที่เกิดขึ้น ปกติเธอจะมีสมุดโน๊ตและแท็บเล็ตส่วนตัวซึ่งเต็มไปด้วยข้อมูลบางอย่างที่เธอไม่สามารถจำได้ทั้งหมดอยู่ในนั้น แต่เธอกลับไม่ได้เอามันมา บางทีสาเหตุของเรื่องนี้อาจจะอยู่ในสมุดโน๊ตหรือแท็บเล็ตของเธอก็เป็นได้...

“ชุดสูท... หูกระต่าย... ดอกไม้” เสียงพึมพำของโนโดกะทำให้โซระหันไปมอง เห็นโนโดกะมีสีหน้าครุ่นคิดอะไรบางอย่าง

“ชุดสูท... หูกระต่าย.... ดอกไม้... หรือจะเป็นชุดเจ้าบ่าว??” โนโดกะยังคงพึมพำต่อไปโดยที่โซระก็ยังคงจ้องมองเธออยู่

“เจ้าบ่าว... แต่งงาน...” โนโดกะหยุดนิ่งซักพัก เธอหลับตาลงเหมือนพยายามนึกอะไรบางอย่าง

“หรือจะเป็นแหวนแต่งงาน??” คำพูดนั้นของโนโดกะทำให้โซระรู้สึกเหมือนมีเรื่องราวบางอย่างพรั่งพรูเข้าใส่สมองอย่างรวดเร็ว ด้วยทักษะการคิดและวิเคราะห์ที่เหนือกว่าคนทั่วไปอย่างเธอนั้นทำให้สมองของเธอคัดกรองเรื่องราวต่างๆได้แทบจะในทันที ดวงตาของเธอเปล่งประกายเหมือนกับว่าเธอจะรู้สาเหตุทุกอย่างของเรื่องราวที่เกิดขึ้นแล้ว

“โซระรู้แล้วค่ะ!!” โซระตะโกนขึ้น

“นอกจากที่นี่จะเป็นโบสถ์เก่าแล้ว ที่นี่ยังเคยเกิดโศกนาฏกรรมเพดานโบสถ์หล่นทับทำให้ผู้ที่อยู่ในโบสถ์เสียชีวิตไปหลายคน และตอนนั้นกำลังมีการประกอบพิธีแต่งงานกันอยู่ ทำให้คู่บ่าวสาวในงานนั้นเสียชีวิตก่อนที่จะเสร็จสิ้นพิธี”

“วิญญาณร้ายตนนี้ก็คือเจ้าบ่าวที่เสียชีวิตในพิธีแต่งงานนั้น และสิ่งที่เขาต้องการนำมันกลับคืนมาก็คือแหวนแต่งงานนั่นเองค่ะ” โซระสรุป

“โซระคิดว่าเขาคงกำลังจะสวมแหวนแต่งงานวงนั้นให้กับเจ้าสาว แต่กลับเกิดเรื่องน่าเศร้าขึ้นซะก่อน ทำให้เขาเกิดความอาลัยอาวรณ์และไม่ยอมไปสู่สุขคติ ถ้าหาแหวนวงนั้นเจอแล้วเอาไปคืนล่ะก็ต้องทำให้เขาไปสู่สุขคติได้แน่ๆค่ะ”

“แล้วเราจะหาแหวนวงนั้นเจอได้ยังไง?” มิสะถาม

“ทุกสิ่งทุกอย่างในตอนนั้นต่างถูกทับถมอยู่ภายใต้ซากปรักหักพัง ดังนั้นโซระคิดว่าแหวนวงนั้นต้องอยู่บริเวณนี้แหละค่ะ” โซระคาดเดา การคาดเดานั้นทำให้โนโดกะนึกถึงเรื่องราวบางอย่างที่เกิดขึ้นก่อนที่จะถูกจู่โจมโดยวิญญาณร้าย

ในช่วงที่โนโดกะกำลังนั่งอยู่ในร่มและมองดูเจ้าหน้าที่คนอื่นๆเล่นกันอย่างสนุกสนานอยู่นั้น มือของเธอได้ไปสัมผัสกับอะไรบางอย่างที่ฝังอยู่ในพื้นทราย เมื่อเธอหยิบมันขึ้นมาก็พบว่ามันเป็นแหวนวงหนึ่ง เธอเองคิดว่าคงมีใครทำตกไว้จึงเก็บไว้กับตัวและจะส่งให้กับพนักงานในรีสอร์ทเพื่อหาเจ้าของในภายหลัง หลังจากที่เธอเก็บแหวนวงนั้นไว้เพียงไม่นานก็เกิดเหตุการณ์การบุกจู่โจมของมาริออนเน็ตขึ้น หรือแหวนวงนั้นจะคือแหวนที่วิญญาณเจ้าบ่าวตนนี้กำลังตามหา?

โนโดกะล้วงไปที่กระเป๋าเสื้อที่คลุมชุดว่ายน้ำของเธอ พบว่าแหวนวงนั้นยังคงอยู่ในกระเป๋า

“แหวนวงนี้สินะ” โนโดกะพูดขึ้นพร้อมชูแหวนขึ้นมา

“คุณไปเจอมาได้ไง??” โซระถามด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ

“ค่อยอธิบายทีหลังแล้วกันค่ะ ตอนนี้ชั้นต้องนำมันไปคืนเจ้าของ ชั้นจะเป็นคนไปคืนให้เอง” โนโดกะพูดจบก็วิ่งพรวดไปทันที

“เดี๋ยว!!” มิสะร้องห้าม เพราะเธอที่อยู่ใกล้ชิดกับโนโดกะมากที่สุดรู้ดีว่าฝีมือของเธอคงยังไม่สูงพอที่จะทำเรื่องอะไรแบบนี้แน่ เธออาจจะถูกเวนเดททร้าตัวนั้นซัดพลังใส่จนบาดเจ็บสาหัสก็เป็นได้ ทำให้มิสะตัดสินใจวิ่งตามเธอไป

แต่ดูเหมือนจะสายไปซะแล้ว...

เมื่อเวนเดททร้าชายหนุ่มยกมือขึ้นมาที่โนโดกะซึ่งกำลังวิ่งไปหา แรงกระแทกมหาศาลถูกซัดเข้าไปที่โนโดกะ ถ้าพลังนั้นโดนโนโดกะเต็มๆล่ะก็...

แต่โนโดกะยังสามารถกระโดดหลบได้ทัน พลังดังกล่าวจึงถูกซัดไปโดนพื้นทรายแทน ส่วนโนโดกะที่กระโดดหลบนั้นลงพื้นด้วยท่าที่ไม่สวยงามนัก เธอลงไปนอนกับพื้นโดยที่มิสะวิ่งตามเธอมาทัน แล้วพยายามจะพยุงเธอให้ลุกขึ้น

“ชั้นทำเอง เธอไม่ต้อง” มิสะพูด แต่โนโดกะกลับผละตัวออกมาจากมิสะ

“ไม่ต้องหรอกค่ะ จริงๆแล้วเรื่องนี้ชั้นต่างหากที่เป็นคนผิด ชั้นเป็นต้นเหตุของเรื่องพวกนี้ ถ้าชั้นไม่เก็บแหวนนั่นขึ้นมาเรื่องคงไม่เกิดขึ้น” โนโดกะพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“ดังนั้นชั้นขอรับผิดชอบเอง” โนโดกะพูดด้วยสีหน้ามุ่งมั่น พร้อมทั้งก้าวขาไปข้างหน้า โดยมีเป้าหมายอยู่ที่ศัตรูตรงหน้า มิสะที่ได้ยินคำพูดนั้นก็เหมือนมีมนต์สะกดทำให้เธอปล่อยให้โนโดกะทำในสิ่งที่ตั้งใจไว้ต่อไป

อีกเพียงไม่กี่เมตรโนโดกะก็จะสามารถเข้าประชิดตัวเวนเดททร้าชายหนุ่มได้ โนโดกะถูกขัดขวางด้วยการซัดแรงกระแทกของมันอีกครั้ง เธอกระโดดหลบจนลงไปกองกับพื้นเหมือนทุกที แต่คราวนี้เธอลุกขึ้นเดินต่ออย่างรวดเร็วโดยไม่มีใครช่วย จนกระทั่งเธออยู่ในระยะเพียงไม่ถึงเอื้อมมือกับศัตรูเท่านั้น ศัตรูตรงหน้ายกมือขึ้นมาทางโนโดกะในระยะประชิด ถ้าพลังนั่นถูกซัดออกมาในตอนนี้ โนโดกะคงถูกแรงกระแทกในระยะเผาขน

ซึ่งร่างของเธอจะต้องแตกกระจายเป็นแน่...

เจ้าหน้าที่ทุกคนที่มองดูเหตุการณ์ต่างหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ โดยเฉพาะมิสะที่ได้ตัดสินใจปล่อยเธอให้ไปเสี่ยงอันตรายคนเดียว

เสี้ยววินาทีนั้นโนโดกะยกแหวนแต่งงานขึ้นมา หลังจากที่เวนเดททร้าชายหนุ่มได้เห็นแหวนแต่งงานวงนั้นอย่างชัดเจนแล้ว ใบหน้าของเขาที่ดูโกรธเกรี้ยวของเขาก็เปลี่ยนไป

“นี่ของคุณ” โนโดกะกล่าว พร้อมยื่นแหวนแต่งงานให้กับศัตรูตรงหน้า

มือของเวนเดททร้าชายหนุ่มที่ยกขึ้นมาได้ลดลงเปลี่ยนเป็นแบมือ โนโดกะหย่อนแหวนแต่งงานลงบนฝ่ามือของเขา

----------------------------------------------------


แก้ไขล่าสุดโดย ฟ้ามืด เมื่อ Thu Dec 04, 2014 1:41 pm, ทั้งหมด 3 ครั้ง
ขึ้นไปข้างบน Go down
ฟ้ามืด
Superstar Grade B
Superstar Grade B
ฟ้ามืด


จำนวนข้อความ : 504
Join date : 30/04/2013
Age : 31
ที่อยู่ : μ's

Ghost Hunter : Chapter 7 "Beach and Blood" Empty
ตั้งหัวข้อเรื่อง: Re: Ghost Hunter : Chapter 7 "Beach and Blood"   Ghost Hunter : Chapter 7 "Beach and Blood" EmptyFri Nov 07, 2014 11:23 pm

พิธีวิวาห์แบบคาทอลิคใกล้จะจบลงแล้ว เหลือเพียงขั้นตอนการกล่าวคำปฏิญาณและการแลกแหวนของคู่บ่าวสาวซึ่งกำลังจะเป็นสามีภรรยาที่จะสร้างครอบครัวอันอบอุ่นกันอย่างเป็นทางการในอนาคต ต่อหน้าสักขีพยานหลายสิบคนรวมทั้งบาทหลวงผู้ประกอบพิธีตรงหน้าพวกเขาและเธอ

“ลูกจะรับ ซากากิ มิยู เป็นภรรยา ไม่ว่าจะยามสุขหรือยามทุกข์ มั่งมีหรือยากจน สบายดีหรือเจ็บป่วย และสัญญาว่าจะรัก เคารพ เชิดชู ดูแลกันและกัน ตราบจนกว่าทั้งคู่จะตายจากกันไปหรือไม่?”

“รับครับ”

“ลูกจะรับ ฮิมุโระ โคทาโร่ เป็นสามี ไม่ว่าจะยามสุขหรือยามทุกข์ มั่งมีหรือยากจน สบายดีหรือเจ็บป่วย และสัญญาว่าจะรัก เคารพ เชิดชู ดูแลกันและกัน ตราบจนกว่าทั้งคู่จะตายจากกันไปหรือไม่?”

“รับค่ะ”

“ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า โปรดเสกแหวนสองวงนี้ในนามของพระองค์ เพื่อให้ผู้ที่สวมใส่นั้น...”

คำพูดของบาทหลวงในพิธีต้องเป็นอันสะดุดลง เขาเงยหน้ามองไปที่เพดาน ผู้ร่วมพิธีรวมทั้งคู่บ่าวสาวก็ต่างทำแบบบาทหลวงเช่นเดียวกัน เมื่อพบว่าเพดานโบสถ์เกิดสิ่งผิดปกติขึ้น

มันมีเสียงเหมือนสิ่งก่อสร้างที่กำลังแตกร้าว... และแล้วต้นเหตุของเสียงนั้นเริ่มปรากฏขึ้นเป็นรอยร้าวที่เพดานโบสถ์...

ทุกสิ่งทุกอย่างมันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เร็วเกินกว่าที่ทุกๆคนจะตั้งตัวทัน... เพดานพังถล่มลงมาทับผู้เคราะห์ร้ายกลุ่มแรกซึ่งนั่งอยู่บริเวณม้านั่งแถวกลางของโบสถ์ ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องและการวิ่งหนีเอาตัวรอดของทุกๆคนที่อยู่ในพิธี ด้วยความตื่นตระหนกและสัญชาตญาณทำให้พวกเขาทำทุกวิถีทางเพื่อเอาตัวรอด จึงเกิดความชุลมุนและไม่เป็นระเบียบขึ้น ทุกๆคนต่างวิ่งกรูไปที่ประตูโบสถ์ บางคนก็เสียหลักล้มลง ก่อนที่จะถูกผู้คนที่วิ่งตามมาเหยียบซ้ำแบบไม่สนใจอะไรนอกจากการหนีเอาชีวิตรอด แต่สุดท้ายพวกเขาก็ไม่สามารถหนีพ้นเมื่อเพดานอีกส่วนถล่มลงมาทับพวกเขาทั้งหมด

ก่อนที่ภาพตรงหน้าจะเหลือเพียงแต่ภาพของกองของเศษคอนกรีตที่ทับถมผู้เคราะห์ร้ายอยู่ภายใน...

คู่บ่าวสาวต่างทำอะไรไม่ถูกเมื่อเห็นภาพของความสูญเสียอันร้ายแรงตรงหน้า จนกระทั่งบาทหลวงซึ่งอยู่ใกล้กับคู่บ่าวสาวที่สุดจูงมือเขาและเธอทั้งสองที่กำลังยืนนิ่ง เพื่อที่จะหนีเอาตัวรอดจากบริเวณนี้โดยเร็วที่สุด

แต่ดูเหมือนจะสายไปเสียแล้ว...

เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างสงบลง เศษฝุ่นที่ฟุ้งกระจายเริ่มลอยหายไปในอากาศ เหล่าผู้คนในพิธีต่างนอนแน่นิ่งภายใต้เศษคอนกรีตที่พังถล่มลงมา บางคนพอจะมีลมหายใจหลงเหลืออยู่ก็เปล่งเสียง “ช่วยด้วย” ออกมาอย่างยากเย็น บางคนก็หมดลมหายใจไปตั้งแต่ถูกผู้คนที่วิ่งหนีตายเหยียบย่ำซ้ำๆ บางคนก็ถูกเศษคอนกรีตทับตามร่างกายจนอวัยวะบางส่วนผิดรูปอย่างน่าสยดสยอง

“มิยู... มิยู” เจ้าบ่าวเรียกชื่อเจ้าสาวของเขาที่ช่วงล่างของร่างกายถูกทับด้วยกองคอนกรีต ทั้งใบหน้าและชุดวิวาห์สีขาวสนิทของเธอถูกอาบด้วยเลือดสีแดงสด เธอลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆเห็นสภาพของเจ้าบ่าวซึ่งอยู่ในสภาพที่เลวร้ายไม่แพ้กันเมื่อเศษคอนกรีตขนาดใหญ่ทับร่างกายของเขาตั้งแต่ช่วงหน้าอกลงมา แขนซ้ายของเขาเองก็อยู่ภายใต้กองคอนกรีตนั่นเช่นกัน มือเพียงมือขวาของเขาที่ยื่นออกมาข้างหน้า

“ร... เราจะไม่เป็นไร...” เจ้าบ่าวพยายามให้กำลังใจเจ้าสาวของเขา และเป็นการให้กำลังใจตัวเองเช่นกัน ทั้งๆที่ในใจของเขาไม่ได้คิดเช่นนั้นเลยซักนิด

“โคทาโร่...” เจ้าสาวเรียกชื่อเจ้าบ่าว เธอพยายามฉีกยิ้มให้เขา

“ชั้น... ชั้น...”

“ชู่ววว...” โคทาโร่ส่งสัญญาณให้เจ้าสาวของเขาหยุดพูด

“เราสองคนต้องรอดไปได้... ไปสร้างครอบครัวที่อบอุ่น... รักและดูแลคุณตลอดไป เหมือนที่ผมได้ปฏิญาณตนเอาไว้...” พลันโคท่าโร่หันไปเห็นแหวนแต่งงานที่ตกอยู่บนพื้น เขาพยายามเอื้อมมือขางขวาของเขาไปหยิบมัน พลางคิดว่าพิธีวิวาห์ของเขาและมิยูยังไม่จบ ยังเหลืออีกเพียงหนึ่งขั้นตอนเท่านั้น...

“ผมยังไม่ได้สวมแหวนให้คุณเลย...” โคทาโร่พูด เอื้อมมือที่ถือแหวนไปหามือของเจ้าสาวของเขาที่อยู่ตรงหน้าตรงหน้าอย่างยากเย็น

“ผมรักคุณ...”

“ชั้นก็รัก...”

โครม!!!

ก้อนคอนกรีตหล่นลงมาทับบริเวณศีรษะของมิยู เลือดสาดกระจายไปทั่ว เลือดบางส่วนกระเด็นมาเลอะหน้าของโคทาโร่ที่มีใบหน้าตกใจอย่างสุดขีด

มือของโคทาโร่อ่อนแรงลงทันใดเมื่อเห็นภาพตรงหน้า แหวนแต่งงานวงนั้นหล่นลงจากมือของเขา

นิ้วนางของมิยูขยับเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะแน่นิ่งไปตลอดกาล...

“ม่ายยยยยยยยยยยยยยยยย!!!!!!!!!”

----------------------------------------------------

ภาพในอดีตหวนกลับมาฉายตรงหน้าของเจ้าบ่าวผู้วายชนม์หรือฮิมุโระ โคทาโร่ หนึ่งในผู้เคราะห์ร้ายในเหตุการณ์เพดานโบสถ์ถล่มลงมาทับเสียชีวิตในพิธีวิวาห์พร้อมๆกับเจ้าสาวของเขา น้ำตาของเขาเริ่มไหลรินอาบแก้ม พลางกำแหวนแต่งงานในมือแน่น

“มิยู...”

ทันใดนั้นก็เกิดแสงสว่างจ้าขึ้น เมื่อแสงนั้นหายไป ก็ปรากฏร่างของหญิงสาวในชุดวิวาห์สีขาวสนิท พร้อมดอกไม้ช่อใหญ่ในมือ ใบหน้าของเธอถูกแต่งแต้มด้วยบรัชออนสีชมพูระเรื่อซึ่งดูเข้ากันดีกับผิวขาวอมชมพูของเธอและลิปสติกสีแดงสด

เธอดูสวยมาก...

“โคทาโร่...” เธอเรียกชื่อเจ้าบ่าวของเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“มิยู!!” โคทาโร่เรียกชื่อเจ้าสาวของเขา

“คุณยังไม่สวมแหวนให้ชั้นเลยนะ” มิยูยิ้ม โคทาโร่แบมือออก เผยให้เห็นแหวนแต่งงานสีทองในมือของเขา

โคทาโร่เดินเข้าไปใกล้ๆเจ้าสาวของเขา เขายิ้มให้กับเธอ พลางจับมือของเธอขึ้นมา แหวนในมือของเขาถูกสอดลงเข้าที่นิ้วนางของมิยูอย่างแผ่วเบา เขามองหน้าเธอ เธอยิ้มทั้งน้ำตาแห่งความปลื้มปิติ

“ผมรักคุณ” โคทาโร่พูดประโยคนั้นอีกครั้ง ชุดเจ้าบ่าวของเขาที่ฉีกขาดเริ่มซ่อมแซมตัวเองจนเหมือนใหม่ รวมทั้งใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยแผลและคราบเลือดก็เริ่มหายไป เหลือเพียงใบหน้าอันหล่อเหลาของเขา

“ชั้นก็รักคุณค่ะ”

ทั้งสองจุมพิตกันอย่างดูดดื่มด้วยความรักทั้งหมดที่มีให้กัน แม้เขาและเธอจะไม่มีโอกาสได้สร้างครอบครัวอย่างอบอุ่นอย่างที่หวังไว้อีกต่อไปแล้ว... แต่ความรักของทั้งคู่ก็ยังคงอยู่ตลอดกาล

รักและดูแลตราบจนกว่าทั้งคู่จะตายจากกันไป... ดั่งเช่นคำปฏิญาณของพวกเขา...

ทั้งสองจับมือกัน และเดินไปด้วยกันท่ามกลางหาดทรายและผืนทะเล ทั้งคู่หันกลับมาทางโนโดกะและเจ้าหน้าที่ทุกๆคนพร้อมยิ้มขอบคุณให้กับพวกเขา ก่อนที่ทั้งคู่จะเริ่มจางหายไปพร้อมบรรยากาศโดยรอบที่กลับมาเงียบสงบเหมือนเดิมอีกครั้ง

โนโดกะทรุดลงกับพื้นด้วยความโล่งอก เจ้าหน้าที่คนอื่นๆก็ต่างโล่งอกเช่นเดียวกันที่ภารกิจจบลงอย่างสมบูรณ์และสวยงาม

“ไม่เลวนี่นาโนโดกะ” มิสะเอื้อมมือมาจับไหล่ของโนโดกะที่ทรุดอยู่บนพื้น

“ชั้นว่าชั้นคงต้องมองเธอใหม่แล้วล่ะ”

“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ ชั้นแค่รับผิดชอบในสิ่งที่ทำผิดพลาดไป” โนโดกะพูดจาถ่อมตัว

“บางทีเธอก็น่าจะได้เลื่อนระดับจากเจ้าหน้าที่ฝึกหัดได้แล้ว และชั้นว่าชั้นกำลังจะหาสังกัดดีๆให้เธออยู่” มิสะกล่าว โนโดกะเริ่มลุกขึ้น เธอหันไปทางมิสะที่ยืนมือออกมา

“ยินดีต้อนรับสู่หน่วยอัลฟ่า” มิสะยิ้มด้วยรอยยิ้มที่จริงใจ โนโดกะมองหน้ามิสะสลับกับมือของมิสะที่ยื่นออกมาซักพัก ก่อนที่โนโดกะจะยื่นมือของเธอไปจับเช่นกัน

“ค่ะ”

----------------------------------------------------


----------------------------------------------------

Ghost Hunter Archives

Item Data #2 G-Scope
จีสโคป เป็นอุปกรณ์เฉพาะทางที่ใช้สแกนหาโพลเทอร์ไกสท์ที่กำลังควบคุมซากศพอยู่ ซึ่งพวกมันจะซ่อนตัวอยู่ในร่างกายของซากศพทำให้ไม่สามารถมองเห็นได้ ต้องใช้อุปกรณ์ชิ้นนี้ในการสแกนหา อุปกรณ์มีลักษณะคล้ายกล้องมองกลางคืนแต่เป็นแบบตาเดียว ใช้ติดตั้งตรงตาขวาหรือตาซ้ายก็ได้ อุปกรณ์นี้เป็นตัวช่วยให้สามารถกำจัดโพลเทอร์ไกสท์ที่ควบคุมซากศพได้ทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลามาก

Item Data #3 G-Spray
จีสเปรย์ คือจีเอเนอร์จี้ที่ถูกสกัดให้อยู่ในรูปแบบของสเปรย์ ใช้สำหรับฉีดใส่สิ่งของที่ต้องการให้เชื่อมต่อกับวิญญาณได้เป็นการชั่วคราว เช่น ฉีดใส่ท่อนไม้ที่ตกอยู่ตามพื้น ท่อนไม้นั้นก็จะกลายเป็นอาวุธที่สามารถต่อสู้กับวิญญาณได้ทันที โดยสเปรย์ดังกล่าวจะถูกเคลือบไว้กับสิ่งของนั้นๆได้ประมาณครึ่งชั่วโมง จีสเปรย์เหมาะสำหรับใช้ในยามฉุกเฉินเป็นอย่างมาก เช่นในยามที่ไม่มีอาวุธ ก็สามารถใช้จีสเปรย์ฉีดใส่สิ่งของที่อยู่บริเวณนั้น แล้วหยิบมาใช้เป็นอาวุธในยามคับขัน
ขึ้นไปข้างบน Go down
 
Ghost Hunter : Chapter 7 "Beach and Blood"
ขึ้นไปข้างบน 
หน้า 1 จาก 1
 Similar topics
-
» Ghost Hunter : Chapter 2 "Operation Ghost Hunter"
» Ghost Hunter : Chapter 5 "In Trouble"
» Ghost Hunter : Chapter 8 "Unexpected Encounter"
» Ghost Hunter : Chapter 9 "Family Reunion"
» Ghost Hunter : Chapter 10 "Bloody Banquet"

Permissions in this forum:คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
Bloody Wrestling Online :: BWO : Special Event :: BWO Novel-
ไปที่: