Bloody Wrestling Online
Would you like to react to this message? Create an account in a few clicks or log in to continue.

Bloody Wrestling Online

The Number One Cyber Wrestling Online
 
บ้านPortalLatest imagesสมัครสมาชิก(Register)เข้าสู่ระบบ(Log in)

 

 Cataclysm : Act I

Go down 
ผู้ตั้งข้อความ
Neferpitou
Moderators
Moderators
Neferpitou


จำนวนข้อความ : 552
Join date : 05/12/2012
Age : 27
ที่อยู่ : The Facility of Banned Organizer

Cataclysm : Act I Empty
ตั้งหัวข้อเรื่อง: Cataclysm : Act I   Cataclysm : Act I EmptySun Mar 01, 2015 7:41 am

Cataclysm : Act I 2lcw4tg

''และมัน... ก็ได้ถึงวันโลกาวินาศ เมื่อความมืดแห่งนิรันดร์ได้เข้าครอบงำทั่วทั้งโพรโตเนี่ยน... คาถาแห่งบาปได้ถูกปลดปล่อย ทุกสิ่งทุกอย่างได้เปลี่ยนไป''

ปีศาจแห่งความตาย... มารจอมทำลายล้าง... อสูรกายเพลิงนิรันดร์.... มันคือชื่อแทนของมารไซอาลอท บัดนี้มารตนนี้ได้ปลดปล่อยพลังแห่งบาปขั้นสุดท้ายหวังที่จะกลืนกินดวงดาวโพรโตเนี่ยนให้เข้าสู่กลียุคอีกครั้ง โลกเปลี่ยนไปหลังจากได้รับออร่าแห่งบาปมากเกินขีดจำกัด เกิดหายนะครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์แห่งโพรโตเนี่ยน พลังธาตุหลัก ดิน น้ำ ลม และไฟทั้งสี่ที่คุ้มกัน ปกป้องดวงดาวแห่งนี้มาช้านานได้หวนกลับทำลายดวงดาวนั้นเสียเอง แผ่นดินไหวครั้งใหญ่.... ภูเขาไฟประทุ.... พายุโหมกระหน่ำ.... คลื่นยักษ์กวาดล้างทุกสิ่ง.... มันได้เกิดสิ่งเหล่านี้ขึ้น ครั้งแล้วครั้งเล่าซ้ำไปซ้ำมาอย่างไม่มีสิ้นสุด

เหล่ามวลมนุษย์ที่พยายามจะต่อกรก็จะถึงแก่ความตาย ผู้ที่ขัดขืนจะทนทุกข์ทรมาณยิ่งกว่าโดนห่าฝนเพลิงนับพันเข้าทิ่มที่กลางหัวใจ ผู้ที่ยอมสวามิภักษ์ ผู้ที่กลัวที่จะตายจะได้รับการให้อภัย... แต่ถึงกระนั้นก็จะถูกรับใช้กลายเป็นทาสที่ต้องทนรับกรรมที่หนักหนาเสียยิ่งกว่า เมื่อความมืดปกคลุมทั่วโลกแล้ว หาได้มีแสงใดจะส่องเข้าถึงจิตใจของมวลมนุษย์อีก มันมีเพียงแต่ความสิ้นหวังรออยู่ บ้างก็ยังพยายามจุดแสงแห่งความหวัง ความเชื่อ แสงแห่งเทพเจ้าเพื่อมีชีวิตสู้ไปวัน ๆ บ้างก็ตายอย่างผู้กล้า บ้างก็ตายอย่างอดสู เป็นแบบนี้มาช้านาน

ผู้ที่ยังทนสู้ ทนต่อกรต่อความมืดนี้ก็พยายามหาทางที่จะขจัดพลังชั่วร้ายเหล่านี้และทำให้โลกกลับมาสู่ความสงบสุขอีกครั้ง จนมีชายชราผู้หนึ่งซึ่งอาศัยอยู่ในดินแดนรกร้างหาได้มีใครก้าวย่างถึง ท่านได้บรรลุถึงพลังแห่งบาป มองเห็นแก่นแท้ถึงมันและค้นพบวิธีการขจัดพลังนี้ออกไปจากดวงดาว

ณ ซินโดร่า สครีม.... หอคอยแห่งซินโดร่าซึ่งเป็นศูนย์กลางในการปล่อยพลังชั่วร้ายแพร่ออกไปทั่วโพรโตเนี่ยน มันคือสถานที่แห่งเดียวที่แสงจะสามารถเข้าถึงได้ ชายชราผู้นั้นได้กล่าวเอาไว้ แต่ถึงกระนั้นการที่จะทำให้แสงแห่งธรรมเข้าไปสู่หอคอยแห่งนั้นได้ จำเป็นต้องกำจัดสิ่งใดสิ่งหนึ่งเสียก่อน สิ่งที่ปกป้องไม่ให้แสงทะลุผ่านเข้าไปได้ แต่หาใช่ความมิด หาใช่สิ่งใด ๆ ทั้งสิ้น แต่มันคือเพลิง... เพลิงแห่งบาป พลังชั่วร้ายเพียงสิ่งเดียวที่สาดแสงส่องสว่างทั่วดวงดาวประจักษ์ถึงอำนาจและพลังที่มันถืออยู่...

เพลิงแห่งไซอาลอท

ถึงกระนั้นเพียงแค่กำลังของชายชราเพียงผู้เดียวจะหาต่อกรต่อกองทัพความมืดได้ไม่ ท่านจึงรวบรวมผู้กล้าจากทั่วทุกสารทิศ ผู้กล้าที่ไม่ทนต่อการถูกกดขี่ ข่มเหงต่อความมืดอีกต่อไป เมื่อนั้นกองกำลังแห่งมวลมนุษย์ก็ได้ถูกกำเนิดขึ้นมา แสงดวงใหม่ที่สามารถทะลุผ่านความมืดมิดก็ได้ก่อตัวขึ้นมา นับวัน ๆ มันก็ยิ่งเพิ่มพูลความแข็งแกร่งและสาดส่องแสงประจักษ์ในระดับที่สามารถต่อกรกับเพลิงแห่งนิรันดร์ได้ และแล้วการต่อสู้ครั้งสุดท้ายของกองทัพแห่งแสงและเงาก็ถูกเปิดฉากขึ้นมา ณ ดินแดนแห่งนิรันดร์ โพรโตเนี่ยนแห่งนี้ !!

ฟรึบ !!

เสียงลืมตาตื่นจากโลกแห่งจินตนาการดังขึ้น... ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มตื่นขึ้นมาจากภวังค์ บนเตียงนอนที่แสนจะรกรุงรังซึ่งข้าวของวางกระจัดกระจายไปหมดทั้งกระดาษเก่า ๆ หนังสือตำนานความรู้ ที่ข้างเตียงของชายผู้นั้นมีกระดาษเก่าวางเป็นชุด ที่ใบหน้าสุดของกระดาษยู่ยี่ใบนั้นมีตัวหนังสือเขียนไว้เพียงว่า....

''มีแต่ไฟที่สามารถชะล้างไฟได้''


เขาลุกขึ้นมาจากเตียงนอน เดินผ่านจากห้องนอนตัวเองไปและครุ่นคิดถึงอะไรบางอย่างตลอดเวลา เห็นได้ชัดว่าตัวเขารู้สึกไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่นัก ขอบตาของเขาดำเหมือนกับไม่ได้หลับนอนเป็นเวลานานซึ่งก็น่าจะเป็นอีกเหตุผลเหมือนกันที่เขาดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่ในวันนี้

หลังจากนั้นเขาแต่งตัวด้วยชุดที่แสนจะธรรมดาทั่วไป ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจนักสำหรับชายผู้อาศัยอยู่ในบ้านเล็ก ๆ ห่างไกลจากเมืองกรุง ในกล่องใส่เสื้อผ้าของเขามีเพียงชุด ๆ เดียวที่ดูแปลกตาไป มันเหมือนเป็นชุดทางการไว้ใส่ในงานฉลองยังไงยังงั้น เขาปิดกล่องใส่เสื้อผ้า เดินไปหยิบพวกกระดาษเก่า ๆ หนังสือ ขนนกและขวดหมึกดำออกไปข้างนอกบ้าน เขาวางสิ่งของพวกนั้นลงที่โต๊ะเล็ก ๆ และนั่งลง ดูเหมือนเขาจะยังคงครุ่นคิดอยู่เหมือนเดิมกับเรื่องอะไรสักอย่าง พลางกับเปิดหนังสือเล่มหนึ่งที่ฝุ่นเกาะเขรอะไปหมด ระหว่างเปิดหนังสือไป ฝุ่นที่ล่องลอยไปตามอากาศกระทบกับแสงแดดเกิดเป็นเงาเล็ก ๆ ที่ดูน่ารำคาญตาที่หนังสือเล่มนั้น เขาปิดหนังสือ หย่อนตัวลงจากเก้าอี้ด้วยความเหนื่อยล้า และมองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่แสนว่างเปล่า วันนี้อากาศค่อนข้างปลอดโปร่งเลยทีเดียว แถมแดดก็แรงจนทำให้แสบตาไปหมด

''มีแต่ไฟที่สามารถชะล้างไฟ.... งั้นหรอ ?'' เขาพร่ำบ่นขึ้นมาและยังคงมองขึ้นไปบนท้องฟ้าอยู่ ''ไม่เห็นจะเข้าใจเลย''

พวกนักคิดโดยมากมักจะมองไปรอบ ๆ สภาพแวดล้อมเพื่อหาไอเดียหรือข้อสงสัยที่อยู่ในหัวตน มันมักจะได้ผลเสมอแต่สำหรับชายคนนี้เหมือนกับจะไม่ได้เป็นอย่างนั้น แทนที่จะบอกว่าเขากำลังจดจ้องกับความคิดกลับกลายเป็นว่าเขาถูกมนต์สะกดจากท้องฟ้าที่แสนว่างเปล่าไปเลยยังไงยังงั้น เขาดูเหม่อลอย ไม่คิดอะไร ไม่นานนักเขาก็สะบัดหน้าคืนสติกลับมา เขาวางหน้ากระดาษที่ว่างเปล่าลงบนกลางโต๊ะ เปิดหนังสือวางไว้ด้านของซ้ายของกระดาษ เปิดฝาขวดหมึก จุ่มปลายแทงแหลมของขนนกทันใดและเริ่มทำการเขียนลงบนกระดาษ เหมือนกับเป็นการคัดลอกเนื้อหาบางอย่างจากหนังสือเล่มนั้นอยู่

''พลังแห่งธาตุทั้งสี่... เกิดจากสิ่งมหัศจรรย์ที่ไม่สามารถประเมินค่าได้สร้างขึ้นมา พลังธาตุแต่ละชนิดสามารถบ่งบอกถึงอารมณ์ของตัวบุคคลได้เป็นอย่างดี ขึ้นอยู่กับจำนวนธาตุของบุคคลนั้น ๆ มีอยู่ ทั้งนี้ก็มิได้หมายความว่าพลังธาตุจะมีอำนาจในการควบคุมจิตใจ อารมณ์และการกระทำเสมอไป'' นั่นคือสิ่งที่ชายคนนั้นกำลังเขียนอย่างใจจดใจจ่อ

''เพรสตัน''

ชายหนุ่มคนนั้นยังคงเขียนต่อไป แต่แล้วเขาหยุดชะงักตัวลง วางขนนกลงบนกระดาษจนปลายขนปล่อยน้ำหมึกซึมลงไปใส่กระดาษเป็นจุดใหญ่ เขานึกขึ้นได้ว่าเหตุใดตัวเขาจึงหยุดที่จะเขียนมัน เขาเผลอเขียนคำ ๆ หนึ่งตามมา

''เฮ้ !! เพรสตัน...'' เสียงของใครสักคนดังขึ้นมาจากที่ไหนสักแห่ง มันเหมือนจะเป็นการเรียกใครสักคน แต่เรียกใครล่ะ ?

''วัน ๆ เอาแต่นั่งอ่านตำนานที่ไม่รู้ว่ามันเป็นจริงหรือเปล่าแบบนี้มันจะดีเรอะ ? บางทีแกน่าจะควรหาเวลาพักผ่อนบ้างนะ เพรสตัน'' เสียงของชายคนนั้นดังเข้ามาใกล้ ๆ เขาเดินเข้ามาหาเพรสตัน เห็นได้ชัดว่านั่นเป็นชื่อเรียกของชายผมสีน้ำตาลคนนั้น อีกทั้งเขายังใช้เวลาโดยมากกับชีวิตในการศึกษาตำนานอีกด้วย แต่นั่นก็เป็นคำทักทายที่ดูจะไม่ค่อยสบอารมณ์แก่ผู้รับนัก ยิ่งกับพวกที่ศึกษาประวัติศาสตร์ค่อนข้างลึกแบบเขาด้วย

''บางทีแกก็น่าจะหาเวลาเหมาะ ๆ ในการมาเยี่ยมเยือนฉันบ้างนะ ฟลาบิลัส'' เขาตอบกลับแก่ชายคนนั้น ชายคนนั้นดูค่อนข้างรูปงามเลยทีเดียว เขาดูสดใสร่าเริง อีกทั้งผมสีขาวสลวยที่ยาวหยั่งกะผมผู้หญิง แตกต่างจากเพรสตันที่ดูเหมือนจะเป็นพวกทำให้ร่างกายทรุดโทรมจากงามหนัก ๆ

''เวลาเหมาะ ๆ งั้นหรอ ?... หัดดูเวลาบ้างสิว่านี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว''

เพรสตันหันไปจ้องดูเข็มนาฬิกา เวลามันประมาณบ่ายสองกว่า ๆ เขาทำท่าเหมือนงุนงงเล็กน้อย แต่ถึงแบบนั้นมันก็ไม่แปลกหรอกที่แดดจะมาแรงในเวลาแบบนี้ สำหรับหนุ่มผมสีน้ำตาลแล้ว เขาอาจจะไม่ได้ให้ความสำคัญกับเวลาเสียด้วยซ้ำ เขายังนั่งนิ่งอยู่กับเก้าอี้อยู่ เหม่อลอยกับเวลาที่เดินไปเรื่อย ๆ อย่างรวดเร็ว

''แกโอเคนะ ?'' ฟลาบิลัสถาม

นั่นทำให้เขารู้สึกตัวกลับมาอีกครั้ง เขาสะดุ้งขึ้นจากการเรียกของเพื่อนของเขา ''ใช่ ๆ !! ฉันสบายดี... แค่กำลังคิดอะไรอยู่น่ะ'' เขาเริ่มหันไปมองหนุ่มผมยาวสีขาวคนนั้น ''โทษทีนะ วันนี้ฉันไม่ว่างน่ะ''

เหมือนในช่วงเวลาของวันนี้พวกเขาจะมีงานหรือกิจกรรมอะไรสักอย่างที่จะต้องทำ นั่นเพราะเพรสตันตอบกลับไปเต็มว่าตนเองไม่ว่างทั้ง ๆ ที่เพื่อนของเขายังไม่ได้พูดถึงเรื่องอื่นนอกจากเวลาเลย และแน่นอนว่าคำปฏิเสธจากชายหนุ่มคนนี้ก็ทำให้เพื่อนของเขาค่อนข้างหัวเสียอยู่เหมือนกัน โชคดีที่ชายคนนี้ค่อนข้างเก็บอารมณ์เก่ง เขารู้ตัวว่าเขาแสดงอาการไม่พอใจออกมา แต่ก็ชะงักมันลงก่อนที่อีกฝ่ายจะรู้ตัว

''ไม่เอาน่า... เพรสตัน'' เขาพูดขึ้น ''อย่ามัวแต่หมกมุ่นกับงานอยู่ตรงหน้าสิ... นี่มันวันเสาร์นะ''

''ใช่ฉันรู้... แต่ฉันต้องทำงานนี้ให้เสร็จนะ''

''ฉันเข้าใจว่านายพยายามเร่งตัวเองในการทำงานนี้... แต่อย่าหมกมุ่นกับมันมากสิ !!'' เพื่อนของเขาบอก ''เข้าใจว่านี่คืองานที่แกรับช่วงต่อจากปู่ของนายที่เสียไปแล้ว แต่อย่าทำเป็นเมินกับสิ่งที่พวกเราเคยทำมาก่อน... แค่ชั่วโมงสองชั่วโมงเอง'' ด้วยคำพูดของฟลาบิลัส มันทำให้ดูเหมือนว่าทุก ๆ วันเสาร์ในเวลาบ่ายสองนี้ พวกเขามักจะทำกิจกรรมหรืออะไรสักอย่างมานานมากแล้ว ท่าทางของชายผมยาวดูยังไม่ย่อท้อที่จะชักชวนเพื่อนที่ดูแสนจะเหนื่อยหน่ายคนนี้ให้ได้

''เฮ้อ... ก็ได้ ๆ'' เพรสตันถอนหายใจก่อนที่พูดตอบตกลง ''งั้นฉันรีบไปเอาอุปกรณ์ก่อน'' พอพูดจบเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินเข้าไปในบ้านด้วยโดยหลังยังคล่อมลงเหมือนคนที่อดหลับอดนอน ไม่นานนักเขาก็เดินออกมาพร้อมกับกระเป๋าย่ามเล็ก ๆ ที่ใส่อะไรสักอย่างไว้ ระหว่างที่เขาเดินไปหาชายรูปงาม มันก็ได้มีเสียงกระทบของเหล็กหรืออะไรสักอย่างดังมาจากกระเป๋าของเขาตลอดแถมกระเป๋านั้นยังหย่อนลงไปเหมือนกับภายในมีของหนัก ๆ สักอย่างอยู่

ว่าแล้วทั้งคู่ก็เดินออกจากบ้านไม้หลังเล็ก ๆ และมุ่งตรงเข้าไปยังป่าดงพงไพรที่ดูไม่ไกลจากบ้านหลังนั้นสักเท่าไหร่ มันค่อนข้างที่จะเงียบสำหรับป่าใหญ่แห่งนี้เว้นแต่เสียงของนกที่ร้องจิ๊บ ๆ แล้วสิ่งเดียวเปล่งเสียงออกมาก็มีแต่การก้าวเดินของชายหนุ่มทั้งสองเท่านั้น เมื่อเดินได้สักพักชายหนุ่มผมยาวที่นำหน้าเพื่อนของเขาก็หยุดลง ทันทีที่เพรสตันเห็นท่าทีของเพื่อนที่ชะงักตัวลงเขาก็หยุดตาม ไม่นานนักหนุ่มแสนเหนื่อยหน่ายก็ดูทีท่าว่าจะเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด เขาดึงมีดสั้นสองเล่มออกมาจากกระเป๋าย่ามเล็ก ๆ และวางกระเป๋าลงเบา ๆ ราวกับไม่อยากให้เพื่อนของเขารับรู้ในสิ่งที่เขากำลังจะทำต่อจากนี้

ไม่ทันไรฝ่ายชายหนุ่มผมขาวได้หันกลับมาพร้อมกับดึงศรธนูสุดแรงและยิงมันออกไปทันที ศรมันถูกปลกคลุมด้วยออร่าสีทองเข้มข้น มันพุ่งไปยังเพรสตันอย่างรวดเร็วจนไม่สามารถมองทันด้วยตาเปล่า ศรได้เฉียด ๆ หัวไปของเพรสตันอย่างหวุดหวิดไม่ทันไร ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลก็หมุนตัวเปิดฉากตอบโต้กลับไปด้วยมีดสั้นทั้งสองเป็นดั่งพายุในระยะสั้น ๆ ชายถือธนูถอยกลับไปตั้งฉากทันที โดยสถานที่รอบ ๆ มันถูกปลกคลุมไปด้วยออร่าสีฟ้าจนก่อเป็นหิมะเล็ก ๆ ล่องลอยตามอากาศจนชัดเจน ไม่ทันไรที่รอบข้างของชายหนุ่มถือมีดนั้นได้มีลูกศรสีทองจำนวนสามคันพุ่งเข้าไปหาตัวเขาทันที เขาดีดตัวถอยออกไปแต่ศรยังพุ่งตามไปเรื่อย ๆ อย่างรวดเร็ว มันติดตามหยั่งกับมิซไซล์ตามล่าไม่มีผิด ถึงความเร็วในตอนนี้ชายหนุ่มจะยังเหนือกว่าเพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่การตามล่าของมันไม่ได้มีความเร็วที่ดูลดลงไปเลย แต่ต่างจากเพรสตันผู้นี้ที่ต้องใช้เวลาตั้งหลักทุกครั้งที่หลบหลีก จนทำให้ดูเหมือนระยะมันเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ ไม่นานนักชายหนุ่มได้ตัดสินใจทิ้งมีดสั้นทั้งสองลงไปกับพื้นและตบมือกระทบกับพื้นอย่างแรงก่อเป็นผลึกน้ำแข็งสีดำขนาดใหญ่ป้องกันศรได้อย่างสมบูรณ์

เพียงชั่วพริบตาชายหนุ่มผมขาวได้อยู่ที่หลังของเพรสตันเสียแล้ว เขาใช้มีดสั้นที่ตนเองมีหมายปองจะคร่าชีวิตของเพรสตัน แต่ที่มีดสั้นทั้งสองเล่มของเพรสตันก็ได้ก่อเกิดเป็นออร่าปลกคลุมทั่วมีดและเกิดเป็นมีดน้ำแข็งที่มีความยาวพอ ๆ กับดาบคาตานะ เขาฟาดฟันดาบหิมะเฉือนร่างของฟลาบิลัสจนขาดสะบั้น แต่ไร้ซึ่งเลือดที่กระสาดกระเซ็นออกมา กลับกันร่างของชายผู้นั้นได้หายไปหลังจากกระทบกับดาบน้ำแข็งนี้ ไม่นานนักที่ข้างบนเหนือหัวของเพรสตันก็มีลูกธนูเพลิงร่วงลงมาด้วยกันสามคันและระเบิดออกเป็นพลังเพลิงรุนแรงราวกับทีเอ็นทีที่ใช้ในการเปิดปากถ้ำ ร่างของชายหนุ่มผมน้ำตาลปลิวออกไปกระแทกต้นไม้ล้มลง ทั่วร่างของเขาติดเพลิงไหม้ที่ลุกไหม้อย่างรวดเร็วที่เสื้อผ้าของเขา เพรสตันใช้มือทั้งสองข้างปัดไฟที่อยู่รอบตัวเพียงหยิบมือก็ทำให้เพลิงนั้นสลายหายไปทันที เขามองไปรอบ ๆ เพื่อหามือธนูผู้นั้น เขามองเห็นชายผมขาวยืนอยู่เหนือต้นไม้ที่อาจจะเป็นต้นที่สูงที่สุดกำลังยิงลูกศรธนูรัว ๆ อย่างรวดเร็วราวกับปีนกลที่มีกระสุนอยู่เต็มตลับ

ทันใดนั้นเขาก็ตั้งหลักที่บนกิ่งต้นไม้ขนาดใหญ่และดีดตัวด้วยแรงเท้าอย่างแรงจนพุ่งขึ้นไปราวกับการยิงจรวดที่ใช้กำลังมหาศาล ระหว่างการพุ่งตัวไปอย่างรวดเร็วของเพรสตันนั้น เขาได้รวมตัวกับมีดสั้นทั้งสองก่อเป็นออร่าที่มีทั้งสองข้าง กลายเป็นกรงเล็บน้ำแข็งที่ดูแหลมคมและทรงพลัง ที่เบื้องหน้าของชายหัตถ์หิมะนั้นได้มีศรพุ่งเข้ามานับร้อย ศรทุกคันหาได้เป็นศรจริงที่ปลกคลุมไปด้วยออร่า แต่เป็นลูกศรที่เป็นพลังออร่าเต็มตัวเสียมากกว่า ถึงแม้ความเร็วของลูกศรที่พุ่งเข้าไปหาเพรสตันจะดูรวดเร็วยิ่งกว่าแรงถีบของเขา แต่ศรพวกนั้นก็หาใช่อุปสรรคอันใหญ่หลวงเลยเมื่อตัวเขาสามารถฟาดฟันมันด้วยหัตถ์ที่มีเล็บแห่งน้ำแข็งที่แสนจะคมกริบ เขาสะบั้นพลังออร่าสีทองทุกอันโดยที่ไม่พลาดเลยแม้แต่น้อย ราวกับหมอที่ชำนาญการผ่าตัดที่ผ่าแผลได้อย่างสวยงาม เฉกเช่นด้วยกับการสะบั้นลูกศรที่ดูสมบูรณ์ ไร้ที่ติ

ถึงแม้จะเป็นลูกศรที่เกิดจากการรวมพลังออร่าไว้ที่คันศรก็ตามที แต่หากไม่ทำการรวบรวมพลังอย่างเสถียรและมั่นคงก็จะทำให้การยิงศรออกไปทำได้โดยยาก ลูกศรที่ถูกยิงออกไปเริ่มถูกลดจำนวนลงอย่างเห็นได้ชัด แสดงได้ถึงจิตใจของฟลาบิลัสที่ดูเริ่มไม่มั่นคง เกิดความกลัวอยู่เบื้องหน้าหรือตื่นตนกกันแน่ เขาพยายามที่จะถอยกลับไปตั้งหลักแต่มันก็สายเกินไปแล้ว กรงเล็บแห่งความเยือกเย็นได้พุ่งเข้ามาใกล้ตัวของเขาแล้ว มือธนูเบี่ยงตัวหลบไปอย่างหวุดหวิดแต่ยังถูกคมของน้ำแข็งบาดเป็นรอบแผลที่แขนขวาตน ชายผมสีขาวร่วงลงมาจากต้นไม้ ตั้งหลักที่ผืนดินในขณะที่ห่าฝนมนุษย์ที่มีปลายห่าเป็นกรงเล็บแห่งน้ำแข็งพุ่งลงมาอย่างรวดเร็ว มือธนูเอามืออีกข้างหนึ่งแตะแผลของตนเกิดเป็นออร่าสีทองเปล่งประกายสวยงาม ไม่ทันไรแผลเขาก็หายเป็นปลิดทิ้ง เขาแหงนหน้ามองมนุษย์น้ำแข็งที่พุ่งตัวลงมา มือธนูหยิบมีดสั้นของตนทั้งสองเล่มแล้วแทงขึ้นไปเหนือหัว เป้าหมายคือเพรสตันผู้นั้น

บรึมมมมมม !!

เกิดระเบิดอย่างรุนแรงจนผืนป่าโดยรอบรัศมีกว่าร้อยเมตรหายไปเป็นแค่พื้นที่ว่างเปล่า ไว้ซึ่งสิ่งมี ชีวิตพืชใบเขียวหรือใด ๆ ทั้งสิ้นเว้นแต่ชายทั้งสองที่ยืนอยู่ในบริเวณนั้นเท่านั้น เพรสตันยื่นมีดสั้นของตนจ่อใส่คอของฟลาบิลัส ทุกอย่างหยุดชะงักอยู่เพียงเท่านั้น เว้นเสียแต่การกลืนน้ำลายของมือธนูที่ถูกจ่อด้วยของแหลมคมและหยาดเหงื่อของเขาที่ไหลลงมาจากใบหน้าของเขาแสดงถึงความกลัวภายในแบบลึก ๆ

''รู้สึกว่าครั้งนี้ฉันจะชนะแกนะ... ฟลาบิลัส'' คำพูดแรกของเพรสตันถูกเปล่งออกมาหลังจากการต่อสู้สิ้นสุดลง ถือเป็นสัญญาณชัยแก่ผู้ใช้มีดสั้นผู้นี้

''อ๊ะ ๆ !! แกลองมองไปรอบ ๆ ตัวแกสิ'' ฟลาบิลัสตอบกลับ

ที่รอบตัวของมือมีดผู้นี้เต็มไปด้วยศรสีทองที่ลอยอยู่รอบตัวเขาหมายที่จะพุ่งเข้าไปทะลุกายหยาบได้ทุกเมื่อ ''ก็ได้ ๆ... ถือว่าเสมอกันก็แล้วกัน'' ผู้ใช้ออร่าน้ำแข็งเอ่ยแล้วลดมีดสั้นลง ฟลาบิลัสปลดคาถาของตนและศรออร่าสีทองก็ค่อย ๆ สลายไปกับอากาศ ชายผู้ถือมีดสั้นทั้งสองเล่มทิ้งมีดที่ออร่าสีฟ้าปนดำอ่อน ๆ ลงไปกับพื้น ที่น่าประหลาดใจคือมีดที่ชายผู้นั้นใช้หาใช่มีดที่ใช้ในการประกอบศึก กลับกันเลย... มันเป็นมีดที่ใช้ประกอบอาหากแทนเสียอย่างงั้น ถ้าพูดตามภาษาพื้น ๆ เราล่ะก็มันก็คือมีดทำครัวดี ๆ นี่ล่ะ

''เห... นี่ขนาดครั้งนี้แกใช้มีดทำกับข้าวสู้กับฉันยังทำได้ขนาดนี้เลย ถ้าใช้มีดประจำตัวของแกจะไม่ชนะฉันไปตั้งนานแล้วรึไงเนี่ย ?'' มือธนูรูปงามเอ่ยขึ้น ''เหมือนกับโดนหยามเลยแฮะ''

''ไม่หรอกน่า...'' เพรสตันตอบกลับไป ''อันที่จริงฉันก็ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าถือมีดทำกับข้าวมา... สงสัยตาจะลายไปหน่อยล่ะนะ''

''คงเพราะแกทำงานหนักทั้งวี่ทั้งวันกับหนังสือตำนานพวกนั้นนั่นล่ะ''

''คงแบบนั้นล่ะ'' เพรสตันตอบกลับ ''จะว่าไปฉันก็มีเรื่องจะบอกแกอยู่อย่างนึงล่ะนะ''

''เรื่องอะไรล่ะ ?''

''สัปดาห์หน้าคงมาซ้อมต่อสู้กับแกไม่ได้จริง ๆ ล่ะนะ...'' เพรสตันพูดขึ้นและนั่งลงกับพื้น ลูบคมมีดที่ปักกับมีดเบา ๆ เขาทำแบบนี้ทุกครั้งเมื่อการต่อสู้จบลง ทิ้งมีด นั่งลงยามคุยกับเพื่อนของเขาและลูบมีดเล่นราวกับของเล่นที่ไม่เป็นอันตรายอะไร

''ไม่เอาน่า... หวังว่าคงจะไม่ไปหมกมุ่นอะไรกับเรื่องราวที่ไม่รู้จะเป็นจริงหรือเปล่าอีกเนี่ยนะ'' ฟลาบิลัสพูดเหมือนไม่ค่อยจะพึงพอใจกับเพรสตันที่บอกกับเขาแบบนั้น

''ก็คงจะประมาณนั้นล่ะ... พอดีตอนนี้ฉันกำลังสนใจเกี่ยวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อสี่สิบปีก่อน ฉันเพิ่งนั่งอ่านตำราตำนานพวกนั้นเมื่อวานจนครบทุกเล่ม... ไม่สิ !! ทุกเล่มที่ฉันมีเสียมากกว่า เพราะดูเหมือนเรื่องมันจะหยุดลงโดยที่คำตอบสุดท้ายหายไปน่ะสิ และที่แน่ ๆ ฉันคิดว่าเรื่องนี้มันเกิดขึ้นจริง ๆ ด้วย'' เพรสตันอธิบายให้กับเพื่อนของเขา

''สี่สิบปีก่อน... เรื่องอะไรงั้นหรอ ?'' ฟลาบิลัสถามด้วยความสงสัย

''วันโลกาวินาศไงล่ะ... บางทีแกน่าจะเคยได้ยินชื่อของมารเพลิงตนนึงนามไซอาลอท ไฟร์วอร์กเกอร์สินะ''

''แกอ่านมันงั้นหรอ ? แต่ตัวตนของมารตัวนั้นมัน..''

''ใช่ !! มันไม่เป็นที่แน่ชัดว่ามีจริงหรือเปล่าน่ะสิ'' เพรสตันพูดขัดชายผมยาวขึ้นมา

''จะว่าไป... แล้วมันเกี่ยวอะไรกับที่แกว่าจะมาซ้อมการต่อสู้ไม่ได้ล่ะ ?'' ฟลาบิลัสถาม

''ฉันจะเดินทางไปยังเมืองหลวงของทวีปเอสซิโอนิกน่ะ...''

''สตอร์มโฮล์มงั้นหรอ ?''

''ใช่ !!''

''แล้วไปที่นั่นแล้วจะได้อะไรล่ะ ?''

''บางทีที่นั่นอาจจะมีหนังสืออีกสักเล่มเป็นเรื่องราวต่อจากนั้นก็ได้ล่ะมั้ง... ฉันอยากจะรู้คำตอบของจุดจบเรื่องนี้น่ะ อันที่จริงคุณปู่ของฉันฝากฝังเกี่ยวกับตำนานเรื่องนี้มานานแล้วล่ะ แต่ฉันเพิ่งสนใจกับมันได้ไม่นานเอง'' เพรสตันเอ่ย

''งั้นเอายังงี้สิ !! ไหน ๆ แกก็จะไปสตอร์มโฮล์มใช่ไหมล่ะ.. งั้นฉันก็จะไปกับแกด้วยล่ะกัน พอดีช่วงนี้มันเบื่อ ๆ กับหมู่บ้านเล็ก ๆ นี่ล่ะนะ อีกอย่างแกจะได้มีคู่ซ้อมด้วยเป็นไง ?'' ฟลาบิลัสพูดในเชิงขอร่วมเดินทางกึ่งยื่นข้อเสนอตน

''แกแน่ใจหรอ ?'' เพรสตันถาม แต่ดูท่าทางเจาจะแสดงอาการที่เหมือนจะไม่อยากให้ฟลาบิลัสไปด้วย โชคดีที่ฟลาบิลัสมองไม่ออกว่าเพรสตัวแสดงอาการออกมา หรือเห็นมันจนชินแล้วซะมากกว่า ฟลาบิลัสจึงไม่ได้แสดงอาการแปลก ๆ ออกมาเลย

''เออสิ !! เดินทางด้วยท้าไม่กี่ชั่วโมงก็ถึงแล้วจริงไหม... เราอยู่แค่รอบนอกของป่าไวร์ดวินด์เองนะ''

ชายผมสีน้ำตาลครุ่นคิดอยู่สักพัก ส่วนตัวแล้วเขาอยากจะเดินทางไปคนเดียวเสียมากกว่า เขารู้สึกว่าการมีเพื่อนหรือใครช่างตามเขามาจะทำให้เกิดเรื่อง หรือเป็นที่น่ารำคาญที่สุด ด้วยนิสัยที่แสนจะเฉื่อย ๆ ของเพรสตันบวกกับขี้รำคาญได้โดยง่ายจึงทำให้การตัดสินใจของเขาค่อนข้างนาน

''บางทีมันอาจจะไม่ได้เลยร้ายขนาดนั้นก็ได้มั้ง....'' เขาพูดกับตัวเองเบา ๆ หวังว่าฟลาบิลัสคงจะไม่ได้ยินในสิ่งที่เขาพูด ถึงแม้พวกเขาจะอยู่ห่างกันระยะหนึ่งก็เถอะ แต่บางทีเจ้าเพื่อนคนนี้อาจจะหูดีได้ยินเข้าก็ได้

''ก็ได้'' เพรสตันพูดขึ้นและแหงนหน้าขึ้นไปมองเพื่อนตัวเอง ''เราจะเดินทางกันพรุ่งนี้สิบโมงเช้า... เจอกันที่โรงเหล้าเจนกินส์ล่ะกัน'' ชายหนุ่มผมน้ำตาลพูดจบก็ดึงมีดขึ้นมาจากผืนดิน ถือมันไว้เพราะกระเป๋าย่ามที่วางไว้ก่อนจะทำการต่อสู้ได้ไหม้เป็นตอนตะโกไปเสียแล้ว

''งั้นฉันขอตัวกลับก่อนล่ะกัน... จะรีบเตรียมข้าวของไว้ล่วงหน้าล่ะนะ'' เพรสตันเอ่ยขึ้น หันกลับไปที่ผืนป่าที่ยังหลงเหลืออยู่ ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือเขาหันกลับบ้านตนเองเสียมากกว่า จากนั้นก็ยกมือขึ้นและโบกมือลาโดยที่ไม่หันกลับไป ''ลาล่ะ'' นั่นคือคำพูดเดียวที่เขาเอ่ยบอกลาแล้วก็เดินมุ่งตรงไปที่บ้านของตนทันที

-----------------------------------

ใช้เวลาไม่นานนัก โดยประมาณยี่สิบนาทีเห็นจะได้ที่เขาเดินทางกลับมาถึงบ้านเก่า ๆ ของตนเอง วางมีดสั้นทั้งสองลงกับโต๊ะภายในบ้าน นั่งที่เก้าอี้ตัวหนึ่งที่ดูผุพังรอวันที่จะแตกหัก แต่ยังโชคดีที่พอรับน้ำหนักของร่างชายหนุ่มปกติไว้ได้ ยิ่งกว่านั้นเขาไม่ได้ทิ้งตัวลงไปเหมือนกับปกติที่มักจะทำตัวเหนื่อยหน่ายและทิ้งตัวลงไป อาจจะเป็นเพราะเขารู้ตัวดีว่าเก้าอี้ตัวนี้ใกล้ถึงเวลาแล้ว จึงพยายามถนอมมันให้ได้มากที่สุด ไม่แปลกล่ะนะสำหรับคนที่อาศัยที่บ้านเก่าหลังเล็ก ๆ ที่จะทำตัวแบบนี้

ไม่ทันไรเขาก็หยิบผลไม้มาจากชามที่อยู่บนโต๊ะ ถึงผลไม้บนชามจะดูเริ่มแก่ก็ตามที อย่างน้อยมันก็พอที่จะกินได้อยู่ แอปเปิ้ลผลสีแดงแก่ ๆ ขนาดพอหยิบมือได้ถูกกัดกินโดยชายผมสีน้ำตาลผู้นี้ หลังจากที่เขากัดเพียงแค่คำเดียว เขาก็ยังหันไปมองกระดาษเปล่าที่อยู่บนโต๊ะนั้น

''มีแต่ไฟที่สามารถชะล้างไฟได้'' มันคือกระดาษแผ่นนั้น

''ไม่เข้าใจเลยจริง ๆ ล่ะนะ'' เพรสตันพร่ำบ่นขึ้นมา ''แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเรื่องราวล่ะ''

หลังจากที่รับประทานแอปเปิ้ลผลนั้นแล้ว เขาลุกขึ้น มุ่งตรงไปที่กล่องเสื้อผ้าและเปิดกล่องนั้นออก เขาเอามือล้วงลงไปจนสุดกล่อง ขยับมือไปด้านขวาล่างและหยิบกล่องเล็ก ๆ ที่พอจะได้อะไรได้ออกมา ถึงจะดูไม่ใหญ่นัก แต่น้ำหนักมันดูต่างจากรูปลักษณ์ไปเลย กล่องมันดูต่างจากสภาพบ้านอย่างเห็นได้ชัด มันถูกดีไซน์ออกมาอย่างดีราวกับกล่องที่พวกคนมีฐานะมักจะใช้เลย เพรสตันวางมันบนฝากล่องเสื้อผ้าที่ตนเพิ่งจะปิด ทันใดนั้นเขาก็เปิดกล่อง ๆ นั้นออกมาภายในมีมีดสั้นประหลาดอยู่สองเล่ม วางอยู่เหนือผ้าที่แดงเหมือนกับว่ามันได้ถูกเก็บเป็นอย่างดีรอวันใช้งานยังไงยังงั้น

มีดเล่มแรกมันเป็นสีน้ำเงินปนม่วงแก่ ๆ ประดับอยู่ เหลือแผ่นเหล็กบางส่วนที่ไม่ได้ถูกลงสี มันถูกออกแบบมาอย่างประหลาดไม่เหมือนมีดทั่วไปที่ยื่นคมดาบออกเป็นลักษณะตรง มันมีการขดงอ ที่กลางมีดถูกประดับด้วยอัญมณีชนิดหนึ่งส่องแสงสีน้ำเงินเข้ม เมื่อมองมันแล้วราวกับว่ากำลังจมลงไปในมหาสมุทร แต่ถึงแบบนั้นมีดเล่มนี้ก็ดูทรงพลัง ราวกับว่าออร่าได้ไหลออกมาตลอดเวลา

มีดเล่มที่สองมีสีที่คล้ายคลึงกัน แต่ลักษณะของมีดยิ่งดูแปลกตาไปจากอันแรกอย่างเห็นได้ชัด มีดเล่มนี้มีสองคมมีดที่แยกออกจากกันดั่งเช่นกล้ามปู มีดเล่มนี้เหมือนถูกออกแบบมาให้เข้าล็อคกับการแทงเพื่อเฉือนต้นคอของศัตรูโดยเฉพาะ

มีดที่แสนประหลาดทั้งสองเล่มนี้ ดูจากภายนอกแล้วมันก็เป็นแค่มีดธรรมดาที่ถูกดีไซน์ไปมั่ว ๆ เท่านั้น แต่หากผู้รู้มีวิชาหรือผู้ใช้พลังธาตุที่แข็งแกร่งก็จะสามารถมองเห็นพลังออร่าที่เอ่อล้นออกมาอย่างเห็นได้ชัด เหมือนถูกทำจากสุดยอดช่างตีเหล็กเลยยังงั้น

เพรสตันหยิบมันเพื่อมาลองทดสอบดู เขาถือมันทั้งสองข้าง สะบัดมีดทั้งสองไปมาเพื่อทดสอบน้ำหนักของมันราวกับไม่ได้ใช้มาสักพักแล้ว หลังจากนั้นก็ออกวิชาศิลปะการต่อสู้ของตนฝึกมันได้สักพักและก็หยุดลง วางมีดทั้งสองเล่มไว้ที่เดิมและก็ปิดกล่องนั้น

''ได้เวลาใช้งานพวกแกอย่างจริงจังแล้วสินะ... ฟรอทส์ฟูรี่... ไอซ์คราวน์ คลอว์''
ขึ้นไปข้างบน Go down
https://www.facebook.com/BillAlfenolf
 
Cataclysm : Act I
ขึ้นไปข้างบน 
หน้า 1 จาก 1
 Similar topics
-
» Cataclysm : Act II
» Cataclysm : Act III
» Cataclysm : Act IV
» Cataclysm : Act V
» Cataclysm : Act VI

Permissions in this forum:คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
Bloody Wrestling Online :: BWO : Special Event :: BWO Novel-
ไปที่: