Bloody Wrestling Online
Would you like to react to this message? Create an account in a few clicks or log in to continue.

Bloody Wrestling Online

The Number One Cyber Wrestling Online
 
บ้านPortalLatest imagesสมัครสมาชิก(Register)เข้าสู่ระบบ(Log in)

 

 Cataclysm : Act II

Go down 
ผู้ตั้งข้อความ
Neferpitou
Moderators
Moderators
Neferpitou


จำนวนข้อความ : 552
Join date : 05/12/2012
Age : 27
ที่อยู่ : The Facility of Banned Organizer

Cataclysm : Act II Empty
ตั้งหัวข้อเรื่อง: Cataclysm : Act II   Cataclysm : Act II EmptyMon Mar 23, 2015 3:05 pm

Cataclysm : Act II Xgjozl

''สงครามครั้งสุดท้าย... การเสียสละครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดของเหล่าทัพมนุษย์แห่งแสงสว่าง เพื่อต่อกรกับพลังแห่งบาป พวกเขาจึงจำต้องทำศึกนี้อย่างหลีกเลี่ยงมิได้''


ไลท์ไมล์... เดิมทีเส้นทางนี้หาได้มีอยู่ในพรมแดนของทวีปเอสซิโอนิกแต่อย่างใด มันเป็นเพียงแค่พื้นที่ขนาดเล็กที่เป็นดั่งเส้นบรรทัดที่ขีดขนานอยู่กลางทวีป เหมือนกับเส้นแบ่งกั้นอาณานิคม เพื่อง่ายต่อการควบคุมจำนวนประชากรที่อยู่ในเอสซิโอนิกโดยแบ่งแยกทวีปเป็นสองเขต เขตแดนทางตอนเหนืออยู่ในการควบคุมของเหล่ากองทัพหลวงแห่งแสง สตอร์ม ครูเซส และทางด้านตอนใต้ก็ได้อยู่ในการควบคุมจากเหล่าชาวพื้นเมืองที่อยู่อาศัยในเอสซิโอนิคมานานแสนนาน พวกเขาเหล่านั้นถูกเรียกว่าชนเผ่า ''คาดาล'' ผู้ทรงปรัชญา มีความรู้ของสัจธรรมทั่วโลก ว่ากันว่าคนเหล่านี้คือผู้คิดค้นทฤษฏีตารางพลังธาตุทั้งสิบหน้าชนิดทั่วโลก หนึ่งในนั้นคือชายชราผู้มองเห็นแก่นแท้ของพลังบาป ผู้นำทัพสงครามต่อกรกับเหล่ากองทัพหมอผีแห่งบาปที่เป็นที่รู้จักกันในช่วง ''มหาศึกสงครามแห่งอสูรกาย''

อีกทั้งเส้นทางไลท์ไมล์แห่งนี้เดิมก็เป็นเส้นทางที่เหล่าพ่อค้าจากต่างทวีปใช้เป็นเส้นทางการส่งสินค้าไปทั่วทวีปเอสซิโอนิก มันคือเส้นทางเดินที่ง่ายที่สุดในการเดินทางไปทั่วทวีปนี้ แต่เมื่อเข้าสู่กลียุค ยุคที่ไซอาลอทก่อพลังแห่งบาปเพื่อทำลายล้างโลก ทวีปแห่งเอสซิโอนิกได้ถูกแบ่งเป็นสองส่วนอย่างสมบูรณ์แบบนั่นคือทางตอนเหนือและใต้อย่างที่กล่าวในข้างต้น แต่เหล่ากองทัพหลวงสตอร์ม ครูเซสคือผู้ที่เสียดินแดนส่วนบนให้กับกองทัพปีศาจจนต้องล่าถอยลงทางใต้เพื่อร่วมมือกับชนเผ่าคาดาลในการทำศึกนี้ แต่ว่าในช่วงกาลเวลานั้น ซินโดล่า สครีม ดินแดนเดียวในทางตอนใต้กลับถูกรุกรานโดยเหล่ากองทัพปีศาจหวังที่จะใช้พลังบาปขั้นสุดท้ายกลืนกินดวงดาวโพรโตเนี่ยน มันจึงได้เกิดสงครามระหว่างทางตอนเหนือและตอนใต้ที่จุดศูนย์กลางของเอสซิโอนิก เป็นที่มาของ ''สมรภูมิไมล์ไลน์'' ศึกแห่งมวลมนุษย์และปีศาจ...

แน่นอนว่าช่วงเวลามหาศึกสงครามแห่งอสูรกายได้เกิดขึ้นเมื่อสี่สิบปีก่อน... ว่ากันว่าในช่วงเวลานั้นหาได้มีแสงตะวันที่สามารถส่องผ่านเข้ามากระทบกับพื้นผิวเอสซิโอนิกได้เลย ทั่วฟ้ามีเพียงเมฆครึ้มสีแดงฉานปกคลุมทั่วดินแดน ไม่รู้กระทั่งว่าเมื่อใดจะเป็นกลางวัน กลางคืน ตำนานได้ว่ากันว่าเหตุที่ท้องฟ้ากลายเป็นสีแดนฉานราวกับเลือดก็เนื่องมาจากภายในดินแดนถูกปกคลุมไปด้วยเลือดจากสงครามมากเกินไป เมื่อเลือดระเหยขึ้นไปบนฟ้าจึงทำปฏิกริยากับพลังตามธรรมชาติจนเกิดเป็นปรากฏการณ์ ''สวรรค์โลหิต'' ขึ้น... เวลาค่อย ๆ ผ่านไป... สงครามยังคงดำเนินต่อไป... ผู้คนก็ทยอยตายไป... ปีศาจต่างก็สิ้นลมจากคมดาบ วนเวียนไปมาแบบนี้เป็นเวลานาน ในสงครามนี้ได้ทำให้พื้นที่ของไลท์ไมล์ถูกขยายออกเป็นวงกว้างเนื่องจากได้รับความเสียหายจากสงคราม จนยากที่จะอยู่อาศัยได้ในช่วงเวลานั้น

แต่ถึงกระนั้นแม้นแต่แสงจากเทพแห่งสุริยายังหาได้เข้าถึงดินแดนสงครามแห่งนี้ แล้วเหตุฉะไหนแสงความหวังที่ว่าแรงกล้าของมวลมนุษย์จะสามารถต่อกรกับความมืดมิดที่ไร้ซึ่งจิตใจของเหล่าปีศาจได้ล่ะ... แน่นอนว่าแม้แต่เหล่าชนเผ่าคาดาลผู้รอบรู้ก็ยังพ่ายต่อพลังที่ไร้ซึ่งความปราณีของเหล่าทัพอสูรได้ นับวัน ๆ มนุษย์เริ่มเสียดินแดนให้กับสิ่งมีชีวิตที่ถูกปกคลุมไปด้วยออร่าแห่งบาปมากขึ้น จนท้ายที่สุดพวกเขาเหล่านั้นเหลือถิ่นฐานแดนสุดท้ายของพวกเขา มันเป็นแค่ดินแดนรกร้างขนาดใหญ่ ไม่มีแม้กระทั่งชื่อ พื้นที่เหล่านั้นถูกปกคลุมไปด้วยหินผาและภูเขา อีกทั้งยังมีสถาปัตยกรรมหินแก่ทั่วดินแดน มันคือสถานที่ ๆ ดีที่สุดต่อมวลมนุษย์ซึ่งพวกเขาสามารถหลบซ่อนและซุ่มโจมตีได้ง่าย เหล่าชาวคาดาลและกองทัพหลวงที่เหลือรอดได้รวมตัวอยู่ในดินแดนนี้....

โดยต่อมาพวกเขาถูกเรียกว่า ''กองทัพแห่งโคล์ ริม''


พรึบ !!

เสียงของหนังสือที่ถูกปิดลงจากที่อ่านได้เพียงครึ่งเล่มเท่านั้น... มันเป็นหนังสือที่ดูเก่าแก่มากหากเทียบกับรูปลักษณ์ของผู้อ่านซึ่งยังดูหนุ่มอยู่ ทั้งสองอย่างนี้มันแสดงถึงความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด หนังสือที่ดูสกปรก ไม่ได้รับการดูแลมานาน แต่ผู้ถือกลับแต่งตัวที่ดูเป็นคนมีบารมี ชายผู้นี้สวมผ้าคลุมสีขวาโดยที่ขอบของผ้าจะมีเส้นลวดลายสีแดงตัดกับผ้าเป็นขนาดที่ค่อนข้างใหญ่ ชุดด้านในของเขาเป็นชุดสีดำสนิท รอบตัวถูกประดับด้วยทองและเหล็กราคาแพงราวกับเขาคนนั้นเป็นคนที่มาจากชนชั้นสูงไม่มีผิด อีกทั้งยังมีผมสีทองสลวย แต่ที่น่าแปลกใจคือสถานที่ ๆ เขากำลังยืนอยู่นี้มันไม่เหมือนกับว่าจะเป็นแหล่งที่คนผู้ดีจะมายืนอยู่สักเท่าไหร่ ทั้งสกปรก มืดมิด ดูพิศวง อีกทั้งรอบ ๆ ยังมีแต่สถาปัตยกรรมเก่าแก่ที่ไม่ทราบที่มาเสียด้วยซ้ำ เหมือนกับเขากำลังยืนอยู่ในห้องโถงโบราณของราชวงศ์ในอดีต แต่เขามาทำอะไรที่นี่ล่ะ.... หากเป็นผู้รอบรู้ก็มักจะมาเพื่อสิ่งเดียวเท่านั้น

''ประวัติศาสตร์'' ยังงั้นหรอ ?

เขาสำรวจรอบ ๆ ของห้องโถงนั้น... ลูบคลำหินเก่าในรูปร่างมนุษย์ มันทั้งหยาบ ขรุขระและสกปรก ถึงแม้ว่าถุงมือของชายผู้นี้จะเป็นสีดำสนิทเฉกเช่นเดียวกับชุดของเขา แต่มันก็ยังไม่สามารถพรางตาฝุ่นที่เกาะแน่นอยู่ปลายนิ้วที่เขาในลูบวัตถุได้ ที่เบื้องหน้าของเขามีประตูขนาดใหญ่ผิดสังเกต เหมือนกับไม่ใช่ประตูที่ใช้สำหรับการเข้าผ่านของมนุษย์เลย มันถือว่าไม่แปลกสำหรับสถานที่แห่งนี้เสียเท่าไหร่ เพราะแม้แต่ห้องโถงมันก็ใหญ่จนเกินจะเป็นที่อาศัยสำหรับมนุษย์ด้วยซ้ำ แต่ใครล่ะที่สร้างที่นี่... ใครกันที่อาศัยอยู่ในที่นี่ เหมือนเขาจะครุ่นคิดอยู่กับคำถามเหล่านี้ แต่คำถามที่น่าสงสัยที่สุดคือ ชายคนนี้มาทำอะไรที่นี่ตะหาก

เขาใช้มือทั้งสองข้างสัมผัสกับประตูนั้น มันเป็นท่าของคนที่กำลังจะใช้แรงผลักวัตถุ... กดกำลังเข้าไปทั่วฝ่ามือ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ประตูนั้นขยับเลยแม้แต่น้อย ชายผู้นั้นยังคงอยู่ในรูปแบบท่าเดิมของเขา ไม่ขยับแม้แต่น้อย... เหมือนกับครุ่นคิด หรือสัมผัสอะไรได้สักอย่าง ไม่นานนักเขาดึงมือกลับเขาหาตัว พลิกฝ่ามือทั้งสองข้างขึ้นและพบว่าถุงมือด้านที่ใช้สัมผัสกับประตูนั้นมีรอยขาดเล็ก ๆ ที่เกิดจากคมมีดเลยยังไงยังงั้น มันทำให้เขาสงสัย... แต่เมื่อมาลองคิดดูดี ๆ แล้วสถานที่นี้ก็เต็มไปด้วยสิ่งที่น่าประหลาดใจแทบทั้งหมด ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ที่ประตูนั้นก็อาจจะมีอะไรสักอย่างที่ไม่ได้เกิดจากฝีมือของมนุษย์เช่นกัน หลังจากนั้นเขาใช้มือข้างขวาเพียงข้างเดียวดันกับประตูอีกครั้งหนึ่ง แต่คราวนี้มันต่างออกไปจากครั้งก่อน ที่จุดศูนย์กลางระหว่างประตูและฝ่ามือได้เกิดสะเก็ดไฟประหลาด พร้อมกับเสียงของอะไรที่กำลังกระทบขีดข่วนกันอยู่ เขาดึงมือข้างนั้นกลับมาและทำแบบเดิมอย่างครั้งแรก พลิกฝ่ามือตัวเองอีกครั้งเพื่อดูสิ่งที่เปลี่ยนไป ครั้งนี้มันไม่มีอะไรที่ดูเปลี่ยนไปเลยแม้แต่นิด ไม่มีรอยข่วน

''ออร่า... ยังงั้นหรอ ?'' เขาพูดขึ้นและชะโงกหน้าขึ้นไปมองประตูบานนั้น

เขาดึงมือทั้งสองข้างกลับไปข้างหลัง ตั้งท่าเตรียมจะดันประตูนั้นให้แรงที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ รอบข้างของเขาเริ่มมีพายุลนอยู่รอบตัว เสียงของลมดังเป็นเสียงแหลมแสบแก้วหู ขนาดที่สามารถทำให้แก้ว ๆ หนึ่งแตกเป็นเสี่ยง ๆ ได้โดยง่าย ทั่วฝ่ามือทั้งสองข้างถูกปกคลุมด้วยออร่าที่คาดว่าจะเป็นคุณสมบัติธาตุเสียง เพียงชั่วพริบตาฝ่ามือของเขาทั้งสองข้างประกบเข้ากับผิวประตู ความรวดเร็วเทียบเท่ากับเสียงเลยไม่ผิดเพี้ยน.... ณ เวลาเดียวกันประตูได้ถูกผลักจะเปิดออก เหมือนกับถูกดันอย่างแรง.... ภายในห้อง ๆ นั้นดูแตกต่างไปจากห้องอื่น ๆ เล็กน้อย มันมีเพียงเก้าอี้บัลลังก์หินเท่านั้น ที่หลังของเก้าอี้เป็นเหมือนกับชายชรา ใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดยาวลงมาจนถึงอกที่กำลังแทงดาบลงไปกับพื้นดินในท่ายืนตรง ดาบนั้นที่เป็นรูปปั้นหินเช่นกันถูกปักลงพื้นในสภาพตรงขนานกับร่างกายของชายชรารูปหิน รอบห้องถูกปกคลุมไปด้วยความมืดมิด แทบมองอะไรไม่เห็นเส้นเสียแต่เก้าอี้บัลลังก์ตัวนั้น

ไม่รอช้าชายหนุ่มผมสีทองผู้นั้นเริ่มเดินตรงเข้าไปยังบัลลังก์ทันที ภายในนั้นเงียบสงัดไร้แม้แต่เสียงของมดปลวกที่มักจะอยู่ตามที่สกปรก มีเพียงเสียงไม่กี่เสียงเท่านั้นที่ก่อเกิดจากตัวหนุ่มผู้นั้นเท่านั้น ลมหายใจ ฝีก้าว การเคลื่อนไหว ท่าทางของชายคนนั้นค่อนข้างจะระแวงรอบข้างตัวเขา เหมือนกับกำลังรู้สึกถึงอะไรแปลก ๆ ภายในความมืดที่ตนกำลังมุ่งเข้าไปหา ซึ่งรู้ทั้งรู้ว่าบางทีมันอาจจะเป็นแค่ภาพลวงตา หรือคิดไปเองเสียเท่านั้น แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นมาสักนิด เขาเริ่มชักอาวุธตนออกมา... น่าแปลกคือภายนอกของอาวุธดูเหมือนจะเป็นแค่เพียงแส้หนามธรรมดาเสียเท่านั้น เขาเริ่มก้าวเดินช้าลง ช้าลงและก็ช้าลงเรื่อย ๆ จนในที่สุดเขาหยุดลงไปกลางห้องนั้น หันไปมองรอบ ๆ และตั้งท่าเตรียมต่อสู้ทันที

จากห้องที่มืดและเงียบสงัดกลับได้ยินเสียงฝีเท้าของมนุษย์ดังขึ้นมารัว ๆ ไม่สามารถที่จะนับจำนวนได้อย่างชัดเจน ภายใต้ความมืดที่ปกคลุมห้องโถง ได้มีเงาของสิ่งมีชีวิตรูปร่างมนุษย์ย่างก้าวออกมา... ไม่สิ !! มันไม่ใช่มนุษย์ที่มีเนื้อหนัง กายหยาบอย่างคนปกติ แต่นั่นคือรูปปั้นหินในร่างมนุษย์เสียมากกว่า ถ้าพูดให้ถูก... นั่นไม่ใช่สิ่งมีชีวิตแต่กำลังมีอะไรสักอย่างขับเคลื่อนมันให้ขยับเข้ามาหาชายคนนั้นอยู่ เข้ามาใกล้เรื่อย ๆ ใกล้เข้า... ใกล้เข้า... ชายคนนั้นยังยืนนิ่งและได้แต่จ้องมองอยู่เท่านั้น รูปปั้นจำนวนห้าตัวได้เข้าล้อมรอบชายผู้นี้และหยุดนิ่งโดยมีระยะห่างประมาณไม่กี่เมตรเท่านั้น สถานการณ์ตึงเครียดถูกดึงเข้ามาทันที ภายในห้องเริ่มไร้เสียงอย่างสมบูรณ์...

มิทันไร... เสียงของลมที่ตัดกับพื้นได้เริ่มก่อตัวขึ้นมาเป็นออร่าปกคลุมไปทั่วชายหนุ่มคนนั้น ซึ่งในเวลาเดียวกันเหล่ารูปปั้นทั้งหมดก็เปิดฉากจู่โจมทันที ชายผู้นั้นหลบการโจมตีพวกนั้นด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ เพียงไม่กี่ชั่วพริบตารูปปั้นตัวหนึ่งเกิดแตกเป็นสองเสี่ยงยังกะถูกฟันด้วยของมีความขนาดใหญ่ มันสิ้นสภาพทันทีหลังจากได้รับการโจมตีประหลาดนั้น ชายผู้นั้นเริ่มทำการตอบโต้โดยฟาดฟันแส้หนามของตนใส่เหล่ารูปปั้น แต่ถูกรูปปั้นตนหนึ่งจับแส้นั้นไว้แน่นแล้วจากนั้นเขารูปปั้นตนนั้นก็เหวี่ยงแส้ที่ตนจับเอาไว้พร้อมกับชายผู้นั้น เขาถูกฟาดใส่กำแพงอย่างแรงจนเกิดเป็นหลุมขนาดเทียบเท่ากับร่างกายตน เขากำลังจะลุกขึ้นมาตอบโต้อีกครั้งแต่รูปปั้นอีกสองตนก็พุ่งหมัดเข้าซัดที่ชายคนนั้นเต็ม ๆ ราวกับใช้ค้อนหินฟาดลงใส่กำแพงหวังที่จะให้แตกสลายไปเลย ไม่กี่ชั่ววูบรูปปั้นตนเดิมกระชากแส้ของชายผู้นั้นกลับมาพร้อมกับกายหยาบของหนุ่มผมสีทอง ชายหนุ่มพุ่งมาด้วยความเร็วตรงไปหามนุษย์หินและถูกอัดด้วยหมัดภูผาอีกข้างหนึ่งเต็ม ๆ ชายผู้นั้นร่วงลงไปนอนกับพื้น ทุกอย่างหยุดลง... ไร้ซึ่งเสียงใด ๆ

เว้นเสียแต่ว่ามันยังมีเสียงลมหายใจของมนุษย์อยู่... เพียงแต่เสียงลมหายใจดังขึ้นในมาช่วงเวลานั้น ร่างของมนุษย์หินผู้กำแส้หนามไว้ในมือก็แตกเป็นเสี่ยง ๆ และร่างของชายหนุ่มผู้นั้นก็หายไปทันที เหล่ารูปปั้นที่เหลืออยู่นั้นมองไปรอบ ๆ เพื่อหาเป้าหมายที่คาดว่ายังไม่สิ้นลม ก็ได้มีแรงลมหมาศาลผุดขึ้นมาจากที่ไหนสักแห่ง ร่างของสิ่งไร้ชีวิตในรูปหินสองตนได้มีรอยแตกเป็นตัวเอ็กซ์ที่หน้าอกและระเบิดออกจากภายในร่างทันที เศษหินเล็ก ๆ ที่กระจัดกระจายนั้นหาได้ตกลงไปกระทบกับพื้นเลยแม้แต่น้อย แต่มันถูกลมซัดขึ้นมาลอยอยู่กลางอากาศ และแล้วหุ่นตนสุดท้ายได้พุ่งเข้าในที่ไหนสักแห่งในความมืดพร้อมกับโจมตีด้วยหมัดของตนอีกครั้ง ชายหนุ่มผมสีทองกระโดดหลบออกมาจากความมืด ก้มลงนั่งลงกับพื้น ใช้แส้ตนรัดหุ่นหินตนสุดท้ายไว้กลางอากาศและกระชากแส้ตนจนร่างหุ่นแตกเป็นชิ้นส่วนตามที่ถูกรัดเอาไว้ หากดูเผิน ๆ มันก็เหมือนกับแส้ธรรมดาเท่านั้น แต่การโจมตีเหล่านี้กลับแสดงให้เห็นว่าแส้ชิ้นนี้มีความน่ากลัวมากกว่าที่ตาเห็น ว่าแล้วชายหนุ่มผู้นั้นค่อย ๆ ลุกขึ้นมา หยิบผ้าสีขาวที่ดูสะอาดตามาเช็ดคราบสกปรกของแส้ที่เกิดจากการต่อสู้เมื่อครู่ เมื่อเช็ดเสร็จตนก็ทิ้งผ้าผืนนั้นลงกับพื้น

ที่เบื้องหน้าชายหนุ่มมีฐานะผู้นี้คือบัลลังก์หินเก่าแก่... เขาเพียงแค่มองมันอย่างใจจดใจจ่อ เหมือนกับกำลังรออะไรสักอย่างอยู่ แต่ในห้องที่ไร้ซึ่งกระทั่งสิ่งมีชีวิตเลยมันจะมีอะไรที่เขาสามารถรอได้ล่ะ แต่แน่นอนว่าในสถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยความแปลกประหลาดที่ยากจะเกิดขึ้นด้วยฝีมือของมนุษย์ธรรมดา ก็ย่อมมีปริศนาอะไรสักอย่างรอชายผู้นี้อยู่แน่ เมื่อนั้นที่เบื้องหน้าตนได้มีพลังออร่าจับตัวรวมกันจนเป็นร่างมนุษย์ ใบหน้าของมันเป็นใบหน้าที่คล้ายคลึงกับรูปปั้นที่อยู่หลังเก้าอี้บัลลังก์นั้นไม่ผิดเพี้ยน มนุษย์ผู้ก่อขึ้นจากออร่านั้นเป็นร่างชายชรา นั่งลงอยู่กับเก้าอี้ตัวนั้น จ้องมองชายหนุ่มผู้นั้นเช่นเดียวกับที่ชายหนุ่มผู้นั้นกำลังจดจ้องอยู่ เขาแสดงสีหน้าที่พึงพอใจต่อผู้เยาว์ ก่อนที่จะทำตัวเองให้สบายโดยนั่งเหยียดหลังลงกับเก้าอี้

''เจ้ายังทำได้ดีเหมือนเคยเลยนะ... แม้นเวลาจะผ่านไปนานแล้วก็ตาม ปาสกวาล'' นั่นคือสิ่งที่ชายชราร่างเทียมเอ่ยขึ้นมา

-----------------------------------

เสียงควบม้าดังขึ้นตลอดทางจากเหล่าชายหนุ่มนอกเมืองกรุงที่กำลังมุ่งตรงขึ้นเหนือขึ้นเขาไปยังเมืองสตอร์มโฮล์มที่ตั้งอยู่บนยอดเขานั้น ถือว่าใช้เวลาไม่นานนักจากหมู่บ้านคนเองที่จะมาที่นี่ สำหรับฟลาบิลัสแล้ว เขารู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูกเมื่อได้มายังเมืองกรุงของเอสซิโอนิกแห่งนี้ แต่สำหรับชายผู้มากความรู้เพรสตันกลับรู้สึกไม่ได้ตื่นเต้นสักเท่าไหร่นัก อันที่จริงกลับแสดงอาการที่ดูเหมือนคนผิดหวังเกี่ยวกับเรื่องอะไรสักอย่างออกมาเสียมากกว่า

''ให้ตายสิ !! เจ้าลุงเจงกิ้นส์เนี่ยเก็บค่าม้าแพงชะมัดเลย'' เพรสตันบ่นด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างไม่พอใจตลอดการเดินทางขึ้นถูเขาลูกนี้ ''แล้วอีแบบนี้ฉันจะเหลือเงินอยู่ได้อีกกี่วันล่ะเนี่ย...''

''ปล่อย ๆ มันไปเถอะน่าเพรสตัน... ก็รู้อยู่แล้วไม่ใช่หรอว่าลุงแกค่อนข้างเคี่ยวอยู่แล้ว'' ฟลาบิลัสตอบกลับ

''ก็ได้ ๆ.. แค่รู้สึกหงุดหงิดนิดหน่อยเท่านั้นเอง'' เขาพูดตอบกลับเพื่อนผมสีทองของเขา

ไม่นานนักพวกเขาก็ถึงเมืองหลวงแห่งเอสซิโอนิก สตอร์โฮล์ม... เมืองที่ขึ้นชื่อเรื่องการค้าขายมากที่สุดในแถบซีกโลกตะวันออก มันถือว่าต่างออกไปเลยทีเดียวจากหมู่บ้านที่แสนจะเล็กที่พวกเขาคุ้นตา มาสู่ดินแดนที่ไม่เคยได้ประจักษ์มาก่อนในชีวิต ถึงแม้ว่าพวกเขาจะอาศัยอยู่ไม่ไกลนักจากสตอร์มโฮล์ม แต่ด้วยความจนของพวกเขาจึงทำให้ไม่เคยได้มีโอกาสมาเหยียบย่ำในเมืองของผู้มีฐานะเลยสักครั้งเดียว ถือว่าไม่ใช่เรื่องน่าแปลกนักหากพวกเขาทั้งสองคนกลายเป็นจุดสนใจของชาวเมือง ด้วยการแต่งตัวที่ดูแปลกไปจากพวกเขา แถมยังแสดงอาการคนที่ดูตื่นเมืองกรุงอย่างชัดเจนอีกตะหาก ชายผู้อ่อนต่อโลกทั้งสองยังคงควบม้าไปตามทางเดินใหญ่เรื่อย ๆ... ฟลาบิลัสหันไปจดจ้องกับกระดาษใบปลิวที่ติดอยู่เต็มเมือง ถึงแม้มันจะอยู่ไกลสักนิดแต่ก็ใช่ว่าเขาจะมองไม่เห็นหรืออ่านมันไม่ออกแต่อย่างใด

''แชนเดรีย... ดิ โลเกียร์.... โจรเดี่ยวจากดินแดนเงาจันทรา... ค่าหัวหนึ่งแสนเวนย์เลย'' เขาพรางอ่านไปโดยที่ไม่มองทางข้างหน้าเลยสักนิด

''ฟลาส'' ''เฮ้... ฟลาส'' ''ฟลาส !!'' เสียงเรียกจากเพื่อนหนุ่มผมสีน้ำตาลของเขา กำลังเรียกเพื่อนตัวเองอยู่

''เดี๋ยว ๆ... เพรสตัน ขอเวลาสักประเดี๋ยว'' ฟลาบิลัสพยายามจะให้ความสนใจกับใบค่าหัวนั้นอยู่

''เฮ้ !!''

''อะไร ๆ ?''

''ฉันจะไปห้องสมุดจักรวาล... โอเค ? ส่วนนายก็ไปรอฉันอยู่ที่ร้านเหล้าตรงนั้นก็แล้วกัน'' เพรสตันพูดขึ้น

''ได้ ๆ..''

เมื่อทั้งคู่ถึงหน้าโรงสุราแล้ว... เพรสตันก็แยกตัวออกไปเพื่อที่จะตามหาสมุดเล่มหนึ่งที่เขากำลังศึกษาเกี่ยวกับมันอยู่ ส่วนชายหนุ่มผมยาวผู้นี้ก็ลงจากม้าสีน้ำตาลและผูกเชือกม้าตัวนั้นเพื่อไม่ให้มันหนีไปเดินเล่นเพ่นพล่านที่ไหนได้แถว ๆ คอกม้าที่อยู่ใกล้ ๆ เขามุ่งตรงไปยังโรงเหล้านั้น เปิดประตูออก เสียงกระหึ่มจากเหล่าผู้ดื่มสรุาภายในที่กำลังสนทนากันอย่างสนุกสนานก็ดังขึ้นมา ทั้งยังมีเสียงเพลงที่ชวนให้ลุกขึ้นไปเต้นตลอดเวลาอีกตะหาก ฟลาบิลัสเริ่มก้าวเดินเข้าไปในร้านนั้น ตรงไปยังบาร์เมนเดอร์เพื่อทำการสั่งเครื่องดื่ม ระหว่างที่เขากำลังเดินไปอย่างช้า ๆ ก็เกิดสะดุดกับการสนทนาหนึ่งที่ชวนให้เขาอยากที่จะรับฟังมันอย่างใจจดใจจ่อ

''เฮ้ ๆ !! เห็นเจ้าหนุ่มที่มีดาบคาตานะนั่งอยู่ที่บาร์นั่นหรือเปล่าล่ะ... ว่ากันว่าเจ้านั่นเดินทางผ่านเส้นทางเจนเนอร์ซิสด้วยเท้าได้ภายในเวลาเพียงแค่สามวันเชียวนะ'' ชายคนแรกเอ่ยกระซิบขึ้นให้เหล่าคนในวงตนเองรับทราบ

''ใช่ ๆ ฉันก็ได้ยินมาเหมือนกัน... ฉายาคมดาบปีศาจเชียวนะ ลือกันว่าวิชาธาตุลมของเขาสามารถสะบั้นได้แม้กระทั้งเทือกเขาอัลราทิคเลยนะ'' ชายอีกคนกล่าวขึ้นมาเบา ๆ เช่นกัน

''บ้าน่า... ถึงจะเก่งขนาดไหนก็เหอะ แต่การที่สามารถฟันเทือกเขาที่แกร่งและใหญ่ที่สุดในเอสซิโอนิกก็ดูจะเว่อร์เกินไปนะ'' ชายคนที่สามพูดขัดขึ้นมาเหมือนไม่เชื่อกับสิ่งที่ตนเองได้รับฟัง

''อย่าบอกนะว่าแกไม่รู้จริง ๆ ว่าตัวตนของเจ้านั่นคือใครน่ะ''

''ก็แล้วมันเป็นใครล่ะ... หน้าฉันเหมือนคนที่สนใจนักสู้มากนักรึไง ?''

''เจ้านั่นน่ะ... มีนามว่า...'' ชายคนแรกกำลังจะพูดขึ้น แต่เขาก็หยุดชะงักไป หันไปมองชายหนุ่มผมยาวที่หยุดนิ่งและกำลังแอบฟังพวกเขาเหล่านั้นกำลังเล่าเรื่องกันอยู่ ''ไอ้หนู !!... ถ้าจะมาซุ่มฟังขนาดนี้ก็มานั่งเก้าอี้ว่างได้เลยนะ'' เขาพูดขึ้นในเชิงประชด

''โอ๊ะ ๆ... ไม่ล่ะครับ ขอโทษด้วยที่แอบมาซุ่มฟังครับ'' ชายหนุ่มพูดขึ้นด้วยสำเนียงที่แสดงถึงการขอโทษ ดูเหมือนเขาจะไม่อยากมามีปัญหาอะไรมากกับพวกคนธรรมดาเหล่านี้

ถือว่าไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกถ้าหากชายหนุ่มผู้นี้จะให้ความสนใจกับเรื่องนี้เป็นพิเศษ ซึ่งมันไม่ได้มีคนมากนักที่จะเดินทางผ่านเส้นทางเจนเนอร์ซิส ซึ่งมันคือเส้นทางที่หฤโหดมากที่สุดในเอสซิโอนิกเลยก็ว่าได้ คนผู้นั้นต้องมีความอดทนเป็นเลิศ ความแข็งแกร่งที่เกินกว่าคนทั่วไป โดยมากผู้คนจะเดินทางผ่านเส้นทางนี้เพื่อพิสูจน์ความแข็งแกร่งของตนเอง ซึ่งการเดินทางในเส้นทางเจนเนอร์ซิสมีกฏว่าต้องใช้เพียงแค่เท้าเดินเท่านั้น ถือว่าเป็นหนึ่งในอุปสรรคสำหรับผู้ที่ต้องการจะเป็นหนึ่งแห่งเอสซิโอนิก จุดเริ่มต้นของเส้ทางเริ่มอยู่ที่มุมซ้ายสุดของเวสเทิร์น ไลท์ไมล์ และต้องเดินทางจนไปสุดอีสเทิร์น ไลท์ไมล์เช่นกัน นั่นคือถ้าพูดง่าย ๆ ก็เท่ากับว่าเดินอยู่ในเส้นทางไลท์ไมล์จนสุดดี ๆ นี่เอง ปกติแล้วผู้คนใช้เวลาค่อนเดือนเพื่อเอาชนะเส้นทางหฤโหดนี้ แต่สำหรับชายผู้นั้นกลับใช้เวลาเพียงแค่สามวัน นั่นก็เป็นการแสดงถึงว่าเขาไม่ใช่แค่คนธรรมดาทั่วไป เผลอ ๆ อาจจะมีพลังอะไรที่เหนือคนทั่วไปเสียด้วยซ้ำ

ฟลาบิลัสเริ่มหันไปมองที่บาร์ใกล้ ๆ ซึ่งเป็นชายที่พวกวงเหล้านั้นเพิ่งพูดคุยถึงเรื่องของเขา ชายผู้นั้นดูเงียบขรึม ไม่พูดกับใคร สิ่งที่เขาทำก็เพียงแค่ดื่มเหล้าเท่านั้น ท่าทางเขาทำเหมือนกับว่าตอนนี้มีเพียงตัวเองที่กำลังอยู่ในร้านยังไงยังงั้น ชายหนุ่มผมทองเริ่มเดินเข้าไปใกล้บาร์นั้น นั่งลงที่นั่งใกล้กลับชายผู้เป้นเจ้าของดาบคาตานะเล่มนั้น เขาพยายามทำตัวเหมือนไม่ได้สนใจอะไรกับชายผู้นั้นสักนิด

''ขอเหล้าองุ่นหนึ่งที่ครับ'' ฟลาบิลัสสั่งเครื่องดื่มแก่บาร์เทนเดอร์ที่ยืนอยู่

''ได้ครับ... รอสักครู่นะครับผม'' บาร์เทนเดอร์ตอบกลับ

ชายหนุ่มผมทองผู้นี้เริ่มหันไปมองด้านข้างของเขา ซึ่งเป็นชายอีกคนนั่งอยู่ ผู้ครองดาบคาตานะผู้นี้ผมสีดำสนิท การแต่งตัวของเขาไม่ได้ดูมีอะไรเป็นพิเศษมากนัก เหมือนกับพวกนักรบพเนจรที่หลงเข้ามาเมืองใหญ่ ที่สำคัญเขากำลังนั่งดื่มเบียร์ราคาถูกเมื่อเทียบกับถุงเงินที่กองอยู่ต่อหน้าชายคนนั้น ฟลาบิลัสจดจ้องด้วยความสนใจเป็นพิเศษ ไม่รู้เพราะว่าได้ยินมาจากคนเหล่านั้นหรือมีความรู้สึกแปลก ๆ กับชายผู้นี้ ชายผมสีดำเหมือนจะรู้ตัวว่ากำลังถูกมองแต่เขาก็ไม่ได้ทำตัวเด่นเหมือนกับว่าปล่อย ๆ มันไปเลย

''ดาบนั่นสวยดี'' ฟลาบิลัสพูดขึ้นมา ''ฉันชอบมัน''

''ขอบใจ..'' ชายผมสีดำตอบกลับโดยที่ไม่ได้สนใจเลยสักนิด ไม่หันไปมอง ยังคงทำตัวตามปกติและจิบเหล้าพอคำ

''เหมือนกับฉันจะเคยเห็นมันที่ไหนสักแห่ง....'' หนุ่มผมทองยังเอ่ยขึ้นมาต่อ ซึ่งคำพูดนั้นได้ทำให้ชายผู้กำลังรื่นรมย์กับสุราหันไปมองด้วยความสนใจ ''ดูเหมือนจะเป็นดาบที่ขึ้นชื่อน่าดู... พอ ๆ กับผู้ใช้ดาบใช่ไหม ?'' ฟลาบิลัสพูดขึ้นพร้อมกับเริ่มแอบควักมีดสั้นเล่มหนึ่งของตนออกมาช้า ๆ แน่นอนว่าสำหรับชายผู้ที่สามารถเอาชนะทางเดินแห่งเจนเนอร์ซิสได้เพียงแค่เวลาสามวันต้องรู้ตัวถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นอยู่แล้ว มันอาจจะเป็นสัญชาตญานที่รับรู้ได้ในทันที เขาพยายามจะสร้างจุดสังเกตให้กับฟลาบิลัสซึ่งตัวเขาเองก็กำลังจะจัดดาบคาตานะที่วางอยู่ด้านขวาของตัวเองเช่นกัน เพียงแค่ชั่วพริบตาคมดาบของอาวุธทั้งสองได้กระทบกันอย่างแรง ด้วยพลังฟาดฟันของทั้งคู่จึงก่อเกิดเป็นพลังออร่าปะทุขึ้นใจกลางของอาวุธทั้งสองและระเบิดออกอย่างแรง สร้างความตกใจให้กับเหล่าผู้คนในโรงสุราที่กำลังเริงรมย์กับความมึนเมา แรงระเบิดทำให้ฟลาบิลัสปลิวออกไปกระแทกประตูหน้าร้านจนล้มลงไปที่ภายนอกของโรงสุรานั้น ชายหนุ่มผมสีดำเดินตามออกมาพร้อมกับดาบคาตานะ ท่าทางของเขาแสดงให้เห็นว่าพร้อมที่จะสะบั้นหัวของชายหนุ่มผมทองได้ทุกเมื่อ เขาดูเงียบขรึม ไม่แสดงอาการอื่นนอกจากจิตสังหาร มันช่างแรงกล้าจนฟลาบิลัสรู้สึกถึงรูขุมขนเลย

แน่นอนว่าผู้คนในเมืองต่างตื่นตระหนกจนเห็นได้ชัด... ถือว่าไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับการต่อสู้ที่เกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน อีกทั้งเมืองนี้ก็ไม่ใช่สถานที่ ๆ ดูเหมือนจะมีการต่อสู้เกิดขึ้นได้ตลอดเสียด้วยซ้ำ ทันใดนั้นเองนักดาบหนุ่มได้เริ่มเปิดฉากจู่โจมฟลาบิลัสทันที เขาพุ่งตรงไปด้วยความเร็วสูง หนุ่มผมสีทองควักธนูที่อยู่หลังของเขา รวบรวมพลังออร่าสีทองจนกลายเป็นลูกศรและยิงเข้าสู่จุดตายของชายผู้นั้นทันที ชาวเมืองค่อย ๆ ถอยห่างจากจุด ๆ นั้นเพื่อไม่ให้ตนได้รับลูกหลงจากการต่อสู้ ลูกศรออร่าจำนวนสามคันพุ่งเข้าแทงจุดตายของนักดาบอย่างรวดเร็ว หัวใจ สมอง ปอด ถูกพลังออร่าสีทองทะลุผ่านทันที แต่นั่นกลับไม่ทำให้ชายผู้นั้นถึงแก่ความตายเลย เหตุเพราะร่างของชายผู้นั้นเปลี่ยนสภาพเป็นหมอกควันโดยสิ้นเชิง นักดาบผู้นั้ยังมุ่งตรงเข้าไปหานักธนู เพียงชั่วพริบตาคมดาบคาตานะก็ปักลงไปท้องของชายผมสีทอง แต่ในจังหวะเดียวกันเองชายผู้นั้นก็ถูกแทงด้วยมีดสั้นทั้งสองเล่มของนักธนูผู้นั้นเช่นกัน

พวกเขากระชากอาวุธมีคมกลับเข้าหาตัวเองและถอยกลับไปตั้งหลัก ร่างกายของนักดาบกลายเป็นควันทั้งตัว ดูเหมือนว่าคมดาบของมีดสั้นนั้นมิอาจเป็นผลกับชายผู้นี้ได้ ผิดกลับนักธนูผมสีทองที่มีรอยแผลขนาดใหญ่ที่เกิดจากการถูกแทง เขาใช้มือข้างซ้ายตนกดแผลเอาไว้ ที่ฝ่ามือนั้นได้ก่อเป็นพลังออร่าสีทองสว่างสไวยชั่วครู่ และเมื่อเขาดึงมือออกมาจากแผลนั้น เขากลับไร้ซึ่งแผลนั้นแล้ว เหลือเพียงคราบเลือดที่ติดอยู่กลับชุดของเขาเท่านั้น นักดาบผู้นั้นยิ้มราวกับพึงพอใจกับสิ่งที่ตนเห็น ส่วนนักธนูผู้นี้ก็ดึงคันศรตนเตรียมตัวที่จะโจมตีชุดต่อไปของตน

''วันนี้... ชั้นจะเอาหัวแกเป็นขึ้นเงิน.... แชนเดียร์ ดิ โลเกียร์ !!''
ขึ้นไปข้างบน Go down
https://www.facebook.com/BillAlfenolf
 
Cataclysm : Act II
ขึ้นไปข้างบน 
หน้า 1 จาก 1
 Similar topics
-
» รับสมัครตัวละครเรื่อง Cataclysm
» Cataclysm : Act I
» Cataclysm : Act III
» Cataclysm : Act IV
» Cataclysm : Act V

Permissions in this forum:คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
Bloody Wrestling Online :: BWO : Special Event :: BWO Novel-
ไปที่: