Bloody Wrestling Online
Would you like to react to this message? Create an account in a few clicks or log in to continue.

Bloody Wrestling Online

The Number One Cyber Wrestling Online
 
บ้านPortalLatest imagesสมัครสมาชิก(Register)เข้าสู่ระบบ(Log in)

 

 Cataclysm : Act VI

Go down 
ผู้ตั้งข้อความ
Neferpitou
Moderators
Moderators
Neferpitou


จำนวนข้อความ : 552
Join date : 05/12/2012
Age : 27
ที่อยู่ : The Facility of Banned Organizer

Cataclysm : Act VI Empty
ตั้งหัวข้อเรื่อง: Cataclysm : Act VI   Cataclysm : Act VI EmptyFri May 22, 2015 5:31 am

Cataclysm : Act VI Bc2uq

“หากเช่นนั้น... เพียงแค่คมขวานแห่งข้าก็มิอาจจะกำราบเพลิงนรกเช่นเจ้าได้สินะ”

  บาบาเรี่ยนร่างยักษ์โคลริมเปล่งวาจาตอบกลับต่อมารปีศาจร้าย พร้อมกับขวานที่เริ่มเปลี่ยนรูปทรงของมันไปทีละเล็กน้อย รอบ ๆ อาวุธชิ้นนั้นถูกปกคลุมไปด้วยปราณอันแรงกล้าหนาแน่น มารร้ายไซอาลอทหาได้คิดที่จะตอบกลับวาจาใด ๆ สู่ปรปักษ์ตนเว้นเสียยิ้มแสยะออกมาอย่างเริงร่าเท่านั้น ถึงแม้ว่าดินแดนทับทิมแห่งนี้จะเป็นสีแดนฉานดูร้อนระอุ แต่สภาพอากาศมันกลับไม่เป็นเช่นนั้นเลย มันถูกความหนาวเหน็บเข้าครอบงำราวกับยมทูตแห่งความตายย่างก้าวสู่ผืนดินแห่งนี้ แม้กระทั่งบรรยากาศที่เงียบครึมหลังลมปากของชายชรานั้นได้สร้างแรงกดดันต่อผู้กล้ามากขึ้น เนื่องเพราะปีศาจร้ายหาได้แสดงอาการกลัวหรือแตกตื่นใด ๆ ออกมาเลยแม้แต่น้อย ซ้ำยังดีใจเสียด้วยซ้ำ แต่ถึงกระนั้นโคลริมก็ตระหนักว่าตนมิอาจถอยกลับไปได้แล้วและต้องสู้ถึงที่สุดเท่านั้น เพราะหากตนตายไป... โพรโตเนี่ยนก็เช่นกัน

  ขวานเล่มนั้นเปลี่ยนแปลงรูปแบบที่ดูยาวกว่าเดิม รูปลักษณ์แลดูเหมือนกับหอกยาวที่มีคมคล้ายกับขวานเท่านั้น อาวุธชิ้นนั้นได้สร้างความประหลาดใจต่ออสูรตนนั้น ทั้งรูปที่ดูพิลิกชอบกล อีกทั้งมันยังดูทรงพลังกว่าขวานเล่มก่อนเสียอีก... แต่ทางด้านมารเพลิงก็มิได้ดูแพ้ ๆ กันเลย ร่างของเขาก่อเกิดเป็นออร่าสีประหลาดในแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน ปราณเป็นสีเขียวเข้มอมดำ ตัดราวกับแม็กม่าไม่ผิดเพี้ยน เพียงแต่สีที่ดูเปลี่ยนไปเท่านั้นและปราณนั้นก็แปลงรูปทรงเป็นสิ่งประหลาดคล้ายกับแขนขาของมนุษย์ ซึ่งสิ่งที่ปรากฏเหล่านั้นก็ทำให้ตัวแทนนักสู้เผ่ามนุษย์นั้นแสดงถึงความเกลียดชังต่อมัน อัปลักษณ์ !! ไร้ซึ่งศีลธรรม !! ชายผู้กล้ายังคงจดจ้องกับพลังงานประหลาดเหล่านั้น... เฝ้าดูสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น และหาทางที่จะต่อกรกับมัน

“พลังแห่งบาป... งั้นหรอ ?” โคลริมกล่าวขึ้น “นี่จะเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่ข้าได้เห็นมัน !!”
“เชิญกล่าวสุนทรภจน์ให้พอใจเสีย... เพราะมันจะไม่มีวันพรุ่งนี้ให้แกได้เอ่ยอีกต่อไป !!”

  เมื่อสิ้นสุดวาจาของคู่อาฆาตนี้... มารร้ายก็เป็นฝ่ายพุ่งเข้าไปจู่โจมบาบาเรี่ยนก่อนด้วยความเร็วที่น่าพิศวง เพียงไม่กี่ชั่วพริบตา มารร้ายตนนี้ได้ประจักษ์อยู่ต่อหน้าของชายผู้นั้นไม่กี่ฝ่าเท้าเท่านั้น ด้วยสัญชาตญาณของนักสู้... โคลริมออกเพลงหอกฟาดฟันเข้าที่ใบหน้าของมารร้าย มันกลับทำได้แค่พอเฉียดกายหยาบของปีศาจเท่านั้น จากนั้นไซอาลอทได้กำหมัดตนเข้ากระทุ้งใส่ท้องของบาบาเรี่ยนอย่างจัง ความรุนแรงนั้นทำให้ชายร่างยักษ์ไถลตัวออกไป ว่าแล้วมารเพลิงกระโจนตัวเข้าไปหาศัตรูของตนอีกครั้งแต่ก็ได้มีหัตถ์พสุธาผุดขึ้นมาจากผืนดินและตบร่างของมารร้ายนั้นด้วยความแรงจนกายาของมารเพลิงกระแทกลงกับพื้นแล้วกระเด้งขึ้นไปเหนือผิวดิน ทันใดนั้นชายแก่ผู้นี้ก็ซัดหมัดหนักใส่ไซอาลอทจนปลิวออกไปกระแทกกับป่าสีแดงเหล่านั้น ทั่วทั้งขอบเขตที่ร่างกายของมารเพลิงถูกซัดไปถูกทำลายจนราบคาบ ไม่มีแม้แต่พืชพรรณใดที่หลงเหลือเลย

  ในจังหวะที่ไซอาลอทกำลังพยุงร่างตนขึ้นมา โคลริมก็พุ่งตัวเข้ามา... แต่ในช่วงเวลานั้นเอง ร่างกายของผู้กล้าเหมือนกับถูกมนต์สะกดอะไรสักอย่างจนมิอาจขยับตัวได้ เขาสังเกตไปที่รอบ ๆ ร่างกายของตนจึงพบว่ามันถูกพลังแห่งบาปเกาะติดอยู่ ว่าแล้วมารเพลิงก็ดึงตัวของบาบาเรี่ยนแก่เข้ามาด้วยพลังบาปของตน ที่อกของมารร้ายได้ก่อเกิดเป็นหัวมังกรตัวเดิมอีกครั้ง มันง้างปากออก ปล่อยลิ้นแหลมคมที่พุ่งเข้าสู่หัวใจของเหยื่อ แต่แล้วโคลริมได้ท่องคาถาอะไรสักอย่างจนตนสามารถหลุดพ้นจากพันธนาการนั้นแล้วฟันลิ้นมังกรนั้นจนขาดเป็นสองเสี่ยงสร้างความเจ็บปวดให้แก่ปีศาจเพลิง เมื่อนั้นโคลริมจึงใช้หอกแหลมคมของตนโจมตีต่ออสูร แต่หอกท่อนนั้นก็ถูกพลังประหลาดสีเขียวเข้มนั้นจับเอาไว้โดยเปล่งรูปลักษณ์ออกมาเป็นมือปราณ มารร้ายดึงอาวุธแห่งบาบาเรี่ยนเข้ามาหาตนพร้อมกับถีบร่างของศัตรูผู้นั้นออกไป โคลริมล้มลงไปกับพื้นและพยายามลุกขึ้นมาด้วยกำลังของตนก็ได้ถูกมารเพลิงเอาหอกของตนแทงเข้ากลางหลัง

“ฉึก !!!!”

“อ๊ากกกกกก !!” บาบาเรี่ยนแก่ผู้นั้นกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดที่ได้รับมา ทำเอามารเพลิงรู้สึกเริงรมย์กับบทเพลงแห่งความเจ็บปวดนั้น
“รู้สึกทรมาณ... ราวกับว่าตนได้ตายไปแล้วสินะ !!” มารเพลิงตนนั้นเอ่ยพร้อมกับปลดปล่อยพลังแห่งเพลิงเข้าสู่ร่างกายของโคลริมผู้นั้น
“ก่อนเจ้าตาย... ข้าจะให้ของขวัญแก่เจ้า !! เจ้าจะได้รับความทรมาณเช่นเดียวกับเหล่าชายโพรโตเนี่ยนได้จะได้รับมัน !!”
“ไม่มีวัน !!”

  เมื่อโคลริมกล่าวขานต่อต้านต่อมารเพลิงแล้ว... จู่ ๆ อาวุธหอกชิ้นนั้นก็สั่นดูไม่ปกติและพุ่งออกจากร่างของมนุษย์พุ่งเข้าแทงทะลุร่างของมารเพลิงเสียเอง ราวกับว่าอาวุธนั้นมีชีวิตอยู่ยังไงยังงั้น เพราะการโจมตีเหล่านั้นหาได้มีใครจับที่ปลายหอกนั้นเลย มันทำให้มารเพลิงถอยห่างออกจากชายชราด้วยแรงซัดของอาวุธชิ้นนั้น ชายแก่ผู้นั้นค่อย ๆ ลุกขึ้นมาช้า ๆ... ใช้มือทั้งสองข้างสัมผัสแผลลึกที่กลางหลังตน ปลดปล่อยพลังแห่งธุลีปิดทั่วทั้งบาดแผลนั้นจนสนิท แม้กระทั่งเลือดหยดเดียวก็มิได้ไหลรินออกมาเลยด้วยซ้ำ เมื่อนั้นตนก็ดึงอาวุธของตนกลับมาเหมือนกับที่เคยทำเมื่อตนใช้ขวาน บาบาเรี่ยนจับอาวุธนั้นแล้วเข้าโจมตีใส่มารเพลิงอีกครั้งจนอสูรล้มลงไปกับพื้น ทันใดนั้นผู้กล้าก็ใช้หอกนั้นแทงลงไปที่กลางอกที่เป็นหัวมังกรนั้นทะลุลงไปจนคมหอกทิ่มลงกับพื้น มังกรที่ปรากฏนั้นกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด มันถูกแทงทะลุปากด้วยหอกท่อนนั้น แต่ถึงกระนั้นทั่วทั้งบาดแผลก็ได้ก่อเกิดลาวาเพลิงที่พุ่งออกมาดั่งเช่นหางของมังกรเข้ารัดตัวของโคลริม แต่พันธนาการนั้นก็หาได้หยุดชายผู้นี้ได้ เขาปลดปล่อยเพลงหอกจนหลุดพ้น ถอยกลับไปตั้งหลัก... รอดูปฏิกริยาของอสูรอยู่ใกล้ ๆ

  เขาเห็นมารร้ายค่อย ๆ ลุกขึ้นมาโดยที่หางลาวาที่ไหลออกมาได้พุ่งลงไปสู่ผืนดิน... ที่บาดแผลของมารร้ายที่ได้รับมาจากหอกนั้นเริ่มฟื้นฟูทีละเล็กทีละน้อย และทันใดนั้นที่ใต้ผืนดินที่โคลริมเหยียบย่ำอยู่นั้นได้เกิดไอร้อนระอุขึ้นและผุดออกมาเป็นหางมังกรลาวาจำนวนมากที่เข้ารัดทั่วทั้งร่างของบาบาเรี่ยนจนมิอาจจะหลุดจากมันได้ แล้วไซอาลอททรงตัวขึ้นมาและย่างก้าวเข้าไปหาชายผู้เป็นปรปักษ์ ที่มือของมารเพลิงมีวิญญาณรั่วไหลออกมาเป็นปริมาณมาก ถึงจะอย่างนั้นก็ตามทีแต่วิญญาณเหล่านั้นก็มุ่งตรงเข้าไปสู่ร่างกายของมนุษย์ร่างมหึมาพร้อมกับดูดบางสิ่งบางอย่างออกมาทีละเล็กทีละน้อย สิ่ง ๆ นั้นดูคลับคล้ายว่าเป็นปราณบริสุทธิ์ ซึ่งพลังงานเหล่านั้นถูกดูดซับเข้าไปในอณูรูขุมขนของอสูรกาย เป็นดั่งพลังที่เพิ่มพูนให้แก่ตน... ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อกลับมีสภาพที่เริ่มอ่อนแอลงไปเรื่อย ๆ หนังหยาบของมนุษย์เริ่มแห้งกร้าน ผิวเริ่มซีดขาว... พลกำลังที่ลดลงจนอาวุธที่อยู่มือของบาบาเรี่ยนร่วงลงจากมือของผู้เป็นเจ้าของ สิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านั้นได้สร้างความพึงพอใจต่อมารเพลิง เขาหัวเราะเบา ๆ พลางไปด้วยความสนุกสนาน

“ช่างหอมหวานเสียเหลือเกิน... รสชาติวิญญาณแห่งผู้กล้าคนสุดท้ายแห่งโพรโตเนี่ยนมันช่างตราตรึงใจข้าจริง ๆ” มารร้ายเอ่ยขึ้นเมื่อตนกำลังดูดกลืนวิญญาณแห่งโคลริม
“ใช่... มันช่างดีอะไรเช่นนี้ !! วิญญาณบริสุทธิ์ให้พลกำลังข้าเพิ่มพูลเป็นเท่าตัวเลย !!” ไซอาลอทยังคงพร่ำบ่นไป เมื่อบาดแผลที่ร่างกายตนถูกฟื้นฟูอย่างรวดเร็วผิดปกติ
“จนจมดิ่งลงไปสู่ผืนพสุธาสินะ...”
“อะไรนะ ?”

  ทันใดนั้นร่างของปีศาจร้ายเริ่มจมลงสู่ผืนดินช้า ๆ ราวกับถูกทรายดูดลงไป เมื่อไซอาลอทหันไปมองที่ใต้ลำตัวตนก็พบว่ามีเหล่าหัตถ์ธุลีที่เกาะร่างของปีศาจไว้แน่นพร้อมกับกระชากร่างเพลิงนั้นลง เมื่อไม่กี่วินาทีแรกร่างนั้นถูกดึงลงไปด้วยความเร็วที่ค่อนข้างต่ำ แต่เมื่อหลังจากที่บริเวณเอวของอสูรตนนั้นจมดิ่งใต้ผืนดินแล้ว เหล่ามือพสุธานั้นกลับกระชากไซอาลอทด้วยความเร็วที่ต่างออกไป รวดเร็ว... ยิ่งกว่าเดิมหลายเท่าตัว

“โคลริม !!” มารตนนั้นคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยวใต้หลุมลึกที่ตนถูกดึงลงไป

  ด้วยพลกำลังของบาบาเรี่ยนนั้น... โคลริมจึงสามารถสลัดหางมังกรอัคคีที่พันรอบร่างของตนได้ ถึงแม้ว่าเพลิงเหล่านั้นจะพยายามที่จะรุกรานอีกครั้ง แต่ก็มิอาจเป็นผลได้ ชายแก่ผู้นั้นหยิบหอกแห่งบาบาเรี่ยนขึ้น หลังจากนั้นตนจึงชูมันขึ้นเหนือหัวแล้วชี้ปลายหอกลงไปที่หลุม ๆ นั้น ไม่ทันไรแท่นหินศักดิ์สิทธิ์โผล่เหนือจากหลุมกว่าสิบเมตร พุ่งตรงลงกระแทกใส่เป้าหมายใต้หลุมลึก “ตึงงงงง !!” มันได้ทับร่างของมารเพลิงจนมิสามารถออกมาจากใต้ผืนดินนั้นได้ เมื่อนั้นแล้วชายชราได้กระโดดขึ้นไปเหนือแท่นพร้อมกับปักหอกท่อนนั้นลงไปเกิดเป็นวงแหวนเวทย์รอบบริเวณนั้น ราวกับว่าตนใช้วิชาผนึกปีศาจร้ายตนนี้ยังไงยังงั้น พอเวลาผ่านไปได้สักพัก... ทุกอย่างดูเงียบงันไร้ซึ่งเสียงใด ๆ นอกเสียจากลมหายใจแห่งบาบาเรี่ยนเท่านั้น เงียบสงัดราวกับเป็นสัญญาณสิ้นสุดสงคราม ชายชราเริ่มเหนื่อยหอบจากการต่อสู้จนร่วงลงมาจากแท่นด้วยความเหนื่อยล้า ดูเหมือนชายผู้นี้แทบจะหมดแรงที่จะลุกเสียด้วยซ้ำ ซึ่งตนทำได้แค่นอนแผ่ราบกับผืนหญ้าสีทับทิมขจัดความเหนื่อยเท่านั้น

  ณ ดินแดนมรกต... ชายผู้เศร้าโศกโครนอสยังคงร่ำไห้ต่อแม่มดหญิงผู้เป็นนายของตนอยู่ เขากอดร่างของเธอแน่นที่สุดเท่าที่กำลังของตนจะมี ในรถม้าคันนี้แล้ว นอกจากเสียไคร่ครวญของชายผู้สวมผ้าคลุมและทารกน้อยทั้งสองแล้ว ก็หาได้มีเสียงใดปะปนเลยแม้แต่น้อย เมื่อเวลาผ่านไปชายหนุ่มผู้นี้ได้ยินเสียงของนายตนพยายามเรียกหาตนอยู่ เขาสับสนว่านั่นคือความจริงหรือภาพมายาที่หลอกหลอนตน ด้วยความที่ตนติดในภวังค์แห่งความเศร้า จึงมิอาจที่จะแยกได้ว่าสิ่งใดคือความจริง สิ่งใดคือเรื่องจอมปลอม แต่เสียงเรียกขานนามนั้นหาได้หยุด

“คะ... โคร... โครนอส” เสียงของแม่มดหญิงผู้นั้นแผ่วเบาดูไร้เรี่ยวแรง จนในที่สุดชายผู้นั้นก็รู้สึกตัว สามารถแยกมันออกว่าเสียงที่เรียกตนอยู่คือความจริง หาใช่นิยายใด
“ครับ !! ท่านนายหญิง...” โครนอสตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ปลาบปลื้มดีใจที่ได้ยินเสียงเธออีกครั้ง
“ลูกข้า... ลูกของข้าอยู่ที่ไหน”
“ปลอดภัยดีครับ !!”
“ดาบ... นำเอาดาบของเอลทวอรน์มาแก่ข้า... เร็วเข้า !!”

  ชายหนุ่มผู้นั้นเมื่อได้รับคำสั่งจากเจ้านายตนแล้ว เขาจึงปล่อยร่างของเธอ ให้เธอนอนลงกับพื้นและตนเดินออกไปนอกคันรถเพื่อเสาะหาดาบเล่มนั้น เขาเดินออกไปได้ไม่นานนักก็พบกับร่างไร้วิญญาณของนักดาบที่สวมเครื่องเต็มยศนั้น เขามีผ้าคลุม... ผมสีทองยาวสลวย ดูท่าชายผู้ไร้วิญญาณนั้นจะเป็นเจ้าของดาบที่มาเรียต้องการ ว่าแล้วโครนอสจึงไม่รอช้าที่จะหยิบดาบเล่มนั้นมา วิ่งกลับไปหาเธออย่างเร็วพลัน ส่งดาบนั้นให้กับเธอโดยมิได้เอ่ยวาจาใดกลับไป เมื่อนั้นแม่มดจึงไดขยับปากตน ท่องคาถาอะไรสักอย่างจนเกิดแสงประกายสีทองรอบ ๆ ดาบเล่มนั้น อีกทั้งตัวดาบเองยังลอยอยู่เหนืออากาศแทนที่จะเป็นผืนดินที่ชายสวมผ้าคลุมวางมันลง สิ่งที่ประจักษ์ต่อหน้าของชายหนุ่มนั้นได้สร้างความตกตะลึงให้แก่ตนเองอย่างมาก ซึ่งแม้กระทั่งเขาเองก็ยังรู้สึกได้ถึงพลังบางอย่างที่เอ่อล้นออกมาจากดาบ สักพักดาบเล่มนั้นก็ระนาบลงกับพื้นเช่นเดิม แต่ออร่าสีเหลืองทองยังคงไหลรินออกมาอย่างไม่หยุดหย่อน

“ข้าคงอาจจะอยู่ในโลกนี้ได้ไม่นานนักแล้ว... รับเอาดาบเล่มนี้ไปสิ โครนอส” เธอพูดแผ่วขึ้นพร้อมกับมองไปที่ดาบเล่มนั้น
“อย่าพูดอย่างนั้นสิครับท่านมาเรีย... ทุกอย่างจะต้องเรียบร้อย !! ท่านจะไม่เป็นอะไร...”
“เจ้าและข้า... ต่างก็รู้ดีว่ามันจะไม่เป็นเช่นนั้น” เธอเอ่ยตอบ “เพราะฉะนั้น... เจ้าควรทำในสิ่งที่เจ้าควรจะทำ... หยิบดาบเล่มนั้น ช่วยโพรโตเนี่ยนให้พ้นจากภัยร้าย...”

  ชายผู้นั้นหาได้ตอบวาจาใดแก่เธอเว้นแต่ที่จะหยิบดาบเล่มนั้นขึ้นมา เขารับรู้ถึงพลังที่มหาศาลภายในดาบกล้าเล่มนี้ แต่ถึงพลังจะมากแต่เพียงใดก็มิอาจที่จะหยุดความโศกเศร้าของชายผู้นี้ได้ น้ำตาของชายกล้าไหลรินทั่วใบหน้าตน ซึ่งแม่มดผู้นั้นเห็นแล้วก็มิอาจจะคำพูดใดตอบกลับไปได้ เธอเพียงแค่เอ่ยคำว่า “ทุกอย่างมันจะดีขึ้นเอง” ต่อชายผู้นั้นเท่านั้น เพียงแค่คำพูดเล็กน้อยนั้นก็ทำให้ชายผู้นั้นคืนสติตนกลับมา

“ข้าอยากจะฝากอะไรแก่เจ้าอีกสักอย่าง... ชื่อของพวกเขาทั้งสอง ทารกที่จะเติบโตเป็นผู้กล้าในวันข้างหน้า”
“เงี่ยหูมาสิ...”

  โครนอสได้ทำตามที่เธอบอก เขาเอียงหูตนเพื่อรับฟังสิ่งที่เธอกำลังจะเอ่ย... เหมือนกับสิ่งนั้นคือสิ่งที่สำคัญที่สุดเท่าที่เขาจะเคยได้ยินมาในชีวิตแล้ว ถึงแม้ว่าน้ำเสียงของหญิงสาวผู้นี้จะดูแหบแห้งจนฟังไม่ถนัด แต่ชายผู้นี้กลับเข้าใจในทุกคำพูดของหล่อนโดยไม่มีผิดเพี้ยนเลย เขาไม่เอ่ยคำใดนอกเสียจากเสียงร่ำไห้... เฉกเช่นทารกทั้งสองที่กำลังกระทำอยู่ เมื่อเขายกหูตนกลับ ชายผู้นี้ไม่เอ่ยวาจานอกจากยิ้มให้แก่เธอเสียเท่านั้น เธอยิ้มตอบกลับเขา

“จงไปเถิดโครนอส... ทำในสิ่งที่เจ้าควรจะทำ !!”

  ชายหนุ่มเช็ดน้ำตาที่เปื้อนใบหน้าและเดินออกไปจากรถม้าคันนั้นพร้อมกับดาบที่เต็มไปด้วยปราณแห่งความหวัง เขามองย้อนกลับไปหานายของตน เธอกำลังหันไปหาลูกน้อยทั้งสอง ร้องไห้พลางไปพร้อมกับสื่อสารต่อลูกน้อยเหล่านั้น วาระสุดท้ายของแม่มดกล้าที่จะได้อยู่กับลูกตน... นั่นคือสิ่งที่ชายผู้นี้คิดในหัว เขากำดาบเล่มนั้นไว้แน่นจนพลังสีเหลืองทองซึมซับเข้าสู่ร่างกายของตน ไม่นานนักเหล่าปราณได้แตกซ่านทั่วกายาของชายผู้กล้านี้ มันดูสง่า อบอุ่นและน่าเกรงขาม ราวกับพลังแห่งชีวิตที่ไหลมาไม่มีที่สิ้นสุด เขาเดินตามทางสีมรกต ทุกฝีก้าวนั้นทำให้ผืนหญ้าที่ตายไปกลับมามีชีวิตได้ ดั่งเทพที่ปกป้องโลกไม่มีผิด ตอนนี้ชายผู้นี้เต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง ความกล้า และความหวังที่จะทำในสิ่งที่ถูกต้อง... สิ่งที่ควรจะทำ

“ดาบเล่มนี้... ผมจะฟาดฟันมันเพื่อคุณเอง มาเรีย !!”

  เสียงถอนหายใจของชายร่างยักษ์ถูกเปล่งออกมาถี่ ๆ อย่างผิดปกติ... ราวกับเกิดอาการกำเริบอะไรสักอย่าง อาจจะเป็นเพราะเขาใช้ปราณมากเกินไปในขณะที่ต่อกรกับปรปักษ์แห่งเพลิงตนนั้น ความเหนื่อยล้าไม่อาจทำให้ชายผู้นี้ลุกขึ้นมาได้โดยง่าย “มันจบแล้ว...” นั่นคือสิ่งที่ชายผู้นี้คิดอยู่ในหัวตัวเองหลังจากความเงียบหลังสงคราม

“กึก ๆ !! กึก ๆ ๆ ๆ ๆ !!”

   เสียงสั่นประหลาดดังขึ้นมาสู่เหนือผืนดิน สร้างความตกใจให้แก่บาบาเรี่ยนที่เหนื่อยหอบนั้น เขาหันไปมองแท่นหินศักดิ์สิทธิ์สูงราวสี่เมตรจากผิวดินสั่นเล็กน้อย เช่นเดียวกับพื้นดินที่ดูสั่นสะเทือนผิดปกติ นอกจากนั้นแล้วคาถาวงเวทย์นั้นเริ่มก่อประกายแสงออกเป็นสีแดง ซึ่งสิ่งที่ปรากฏชัดเจนนั้นทำให้สีหน้าของชายผู้กล้าเปลี่ยนไป เขาพลางบ่น “เป็นไปไม่ได้ !!” พร้อมกับพยุงตัวขึ้นมาโดยใช้แรงขาและแขนทั้งสองข้างที่เกาะกับต้นไม้สีแดง แรงสั่นดูหนักหน่วงขึ้นทุกครั้ง มันเริ่มถี่มากขึ้น รวดเร็วขึ้น... เมื่อโคลริมยืนด้วยลำแข้งตนได้แล้ว เขาได้ควบคุมอาวุธหอกที่ปักอยู่เหนือแท่นหินกลับมาเข้าที่มือตนเอง ถอยกลับไปข้างหลังคล้ายกับรู้ตัวว่าคาถานั้นมิอาจจะเป็นผลต่อปีศาจร้ายนี้ได้

“ตูมมมมม !!!!!”

  ระเบิดอัคคีปะทุขึ้นพร้อมกับกลุ่มฝูงควันตลบในรอบอาณาเขตนั้น ชายชราเอามือข้างหนึ่งกันฝุ่นควัน ถึงกระนั้นที่เขาก็ยังสามารถมองเห็นภายหน้าตนได้ แท่นหินนั้นพังเป็นเสี่ยง ๆ เหมือนที่ข้างหน้านั้นจะผุดเป็นมืออสูรยื่นออกมาจากผืนดินใต้หลุมนั้น มันรุมล้อมไปด้วยออร่าเพลิงและพลังแห่งบาปรวมเข้าด้วยกัน เมื่อนั้นไซอาลอทก็ขึ้นมาจากหลุมลึก ปราณสีส้มเขียวนั้นได้รวมเข้าไปหนึ่งเดียวก่อเป็นร่างปีศาจตัวใหญ่ปกคลุมทั่วทั้งร่างของไซอาลอทประดุจเป็นร่างกายอีกชั้นหนึ่ง แต่พลังงานเหล่านั้นไม่ได้ดูขุ่นจนไม่สามารถมองเห็นร่างจริงของมารเพลิง โคลริมเริ่มรู้สึกถึงพลังที่ต่างออกไป ราวกับว่านั่นไม่ใช่ไซอาลอทที่ตนต่อกรด้วยเมื่อครู่เลย มือที่กำหอกไว้แน่นเริ่มมีเหงื่อซึมออกมา ใบหน้าที่เหงื่อไหลตกไม่หยุดหย่อน เหมือนกับการแสดงถึงความกลัว... ต่ออสูรกาย... ต่อความตายที่ยืนอยู่เบื้องหน้า !!

“ข้าหมดความอดทนกับการต่อสู้ปัญญาอ่อนนี่เต็มทนแล้ว !!” มารร้ายเอ่ยพลางกับเดินเข้าหาโคลริมอย่างรวดเร็ว
“ถึงเวลาที่ข้าจะทำให้มันจบ ๆ แล้ว !!”

  ทันใดนั้นมารเพลิงได้วิ่งตรงเข้าไปหาบาบาเรี่ยนท่ามกลางฝุ่นควัน โคลริมเตรียมตั้งรับโดยที่ไม่รู้ว่ามารตนนั้นจะโผล่มาจากฝั่งไหน ถึงแม้ร่างของไซอาลอทจะมีแสงปกคลุมทั่วกายก็ตามที แต่ก็หาใช่เรื่องง่ายเช่นกันที่จะมองเห็นมันอย่างทะลุปลุโปร่งภายใต้ควันเหล่านี้ เพียงชั่วพริบตา... ไซอาลอทพุ่งชนใส่โคลริมจากทางด้านซ้าย แต่ชายแก่กลับไหวตัวทันจนโยกตัวหลบออกไปด้านข้าว ในจังหวะเดียวกันนั้นเอง โคลริมเหวี่ยงหอกตนฟันเข้าใบหน้าของมารเพลิง แต่ด้วยออร่าที่ปกป้องกายของไซอาลอทนั้น ชายแก่จึงทำได้แค่สร้างรอยขีดข่วนที่ใบหน้านั้นเท่านั้น ไม่นานนักโคลริมก็ถูกไซอาลอทฟาดเข้าอย่างจังด้วยออร่าที่จับตัวกันจนเป็นรูปหางมังกรขนาดยาว แรงฟาดนั้นทำให้โคลริมไถลตัวออกไปสักระยะจนออกจากฝูงควัน จากนั้นไซอาลอทก็พุ่งออกมาจากกลุ่มควัน ง้างมือตนแล้วฟาดมันลงไปใส่ร่างของโคลริม ชายแก่ใช้หอกแห่งบาบาเรี่ยนตนกำบังการโจมตีนั้น

“เพล้งงงงงง !!!!”

  หอกเหล็กกล้าแห่งนักสู้บาบาเรี่ยนแตกเป็นสองส่วนจากแรงกระแทกของกำลังแขนแห่งปีศาจ แต่ด้วยแรงของปีศาจร้ายที่ฟาดฟันมาทำให้โคลริมทรุดถอยออกไปตามแรงผลักที่ได้รับ จังหวะที่โคลริมพยายามตั้งรับนั้นเอง ตนก็ถูกหมัดเพลิงซัดจนทะลุร่างเสียแล้ว แต่ไซอาลอทหาได้ที่จะดึงหมัดข้างนั้นกลับไป เขายกขึ้นมาพร้อมกับร่างบาบาเรี่ยนตัวหนาได้อย่างง่ายดาย ราวกับว่าตัวเองกำลังยกอากาศขึ้นเลย โคลริมครางครวญด้วยความเจ็บปวดจากบาดแผลฉกรรจ์ ต่างจากมารเพลิงที่หัวเราะอย่างสะใจ

“จงสูดจมหายใจสุดท้าย.. จากความปราณีแห่งข้าซะ โคลริม !!”
“เมื่อหลังที่เจ้าได้รับลมหายใจนั้นจนเต็มปอดแล้ว ข้าจะส่งเจ้าไปสู่แดนอเวจีอย่างสงบ !!”
“และอีกไม่นาน ข้าจะส่งโพรโตเนี่ยนลงหลุมไปพร้อมกับแก !!”

  สิ้นสุดวาจาของมารแห่งบาป เขาได้ปลุกหัวมังกรที่กลางอกออกมาอีกครั้ง ลมหายใจอันร้อนระอุแห่งมังกรทำให้โคลริมรู้สึกถึงไอร้อนที่อยู่ภายในนั้น มันคือเพลิง... เพลิงแห่งบาปที่ขจัดทุกชีวิตที่ขวางหน้า เมื่อนั้นปากมังกรได้ถูกง้างออก ความร้อนถูกเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวจนสามารถเผาผืนหญ้าสีแดงได้อย่างง่ายดาย ว่าแล้วมารเพลิงจึงขับบางสิ่งออกมาจากปากมังกรนั้น มันเป็นเพลิงที่รวบรวมอย่างแน่นหนาซึ่งมีอานุภาพที่จะทำลายล้างสิ่งมีชีวิตต่อหน้าให้กลายเป็นฝุ่นควันได้ภายในพริบตา

“บอกลาโพรโตเนี่ยนซะ !!”

“ฉึกกกกก !!”

  เลือดแห่งเพลิงไหลพล่านออกมาจากอกด้วยคมดาบประกายแสงสีทอง ดาบเล่มนั้นดูสวยงามราวกับเป็นทองทั้งเล่ม มันคือดาบแห่งเอลทวอรน์... ดาบที่ถูกฝังด้วยพลังแห่งแม่มดมาเรีย ผู้ถือมันคือชายสวมผ้าคลุมผู้กล้าโครนอส เขาแทงดาบเล่มนั้นจากกลางหลังของไซอาลอท จนปลายดาบทะลุออกมากลางหัวมังกรนั้น ความเร็วของการจู่โจมเมื่อครู่นี้รวดเร็วเทียบเท่ากับผู้ใช้เดิมเอลทวอรน์ ไม่สิ !! มันดูรวดเร็วยิ่งกว่าสายฟ้า... มันคือแสง !! แสงแห่งความหวังของพระผู้เป็นเจ้า การโจมตีนั้นสร้างความเจ็บปวดและอารมณ์โทสะแก่มารเพลิงจนถึงขั้นขีดสุด ไซอาลอทลืมความเจ็บปวดนั้น ดึงตัวออกมาจากคมดาบและหันไปข้างหลัง แล้วจัดการจับร่างของโครนอสโดยพลัน ไม่นานนักร่างของโครนอสก็ถูกซัดไปด้วยพลังวิญญาณร้ายจนกระแทกสู่ต้นไม้ใหญ่ เขาหมดสติไปในทันทีและวิญญาณเหล่านั้นก็ดูดกลืนพลังงานของชายสวมผ้าคลุมอย่างเอร็ดอร่อย บาบาเรี่ยนแก่หลุดออกมาจากแขนแห่งเพลิง เขามองไปที่หลังของไซอาลอทและพบกับว่ามันมีวงเวทย์แปลกประหลาดอยู่ ถึงแม้เส้นวงเวทย์จะเป็นสีดำสนิทก็ตามที แต่ออร่าอ่อน ๆ ที่กระจัดกระจายออกมากลับเป็นสีทองสวยสง่า

“วงเวทย์นั่น... หรือว่า ?!” โคลริมเอ่ยขึ้นพร้อมกับหยิบปลายหอกส่วนที่หักขึ้นมา

  ไซอาลอทหันกลับไปหาโคลริมด้วยโทสะที่ปะทุราวกับภูเขาไฟที่ระเบิด ร่างกายรอบ ๆ ของไซอาลอทเริ่มมีรอยแตกประหลาดที่รวมกับเพลิงลาวา เมื่อนั้นแล้วโคลริมมิอาจรอช้า เขาได้โยนหอกคมแห่งบาบาเรี่ยนเข้าไปที่บาดแผลจุดเดียวกันกับคมดาบเมื่อครู่ และมันก็เข้าไปจุด ๆ นั้นโดยที่มารเพลิงมิอาจจะตั้งรับทัน อสูรร้ายปลิวไปด้วยความแรงของการขว้างหอกท่อนนั้นจนกระแทกกับภูเขาสีแดง เมื่อโคลริมกำลังย่างก้าวเข้าไปหาปีศาจร้าย ไซอาลอทจึงพยายามที่จะดึงหอกนั้นให้หลุดออกจากร่าง แต่เหมือนยิ่งตนจะใช้พลังมากเท่าไหร่ แต่กลับกลายเป็นว่ามันยิ่งแทงเข้าไปลึกลงเท่านั้น อีกทั้งหอกยังแสดงถึงปฏิกริยาต่อต้านมารเพลิงโดยประกายเป็นแสงสีทองที่สร้างความเจ็บปวดให้กับร่างอัคคีนั้น

“ต่อให้พลกำลังเช่นไททันก็มิอาจดึงมันออกได้...”
“ทำไม ?! ทำไม ?! ทำไมกันนนน !!” ไซอาลอทระเบิดเสียงตะโกนด้วยความไม่ยอมรับต่อสิ่งที่ตนกำลังเผชิญ ตนคิดเพียงแค่ว่าตนทำได้ทุกอย่าง... เมื่อพบเจอกับสิ่งนี้แล้ว มันจึงสร้างความโกรธเกรี้ยวให้ตัวเอง
“ดาบเล่มเมื่อครู่... มันสร้างวงเวทย์ที่มีระบบคล้ายคลึงกับที่ลูกสาวข้าใช้ผนึกพลังแห่งซินโดร่าแก่ทารกทั้งสองของหล่อน” โคลริมอธิบายอย่างใจเย็นกลับไป
“ไม่มีใครทำร้ายพันธนาการนี้ได้นอกจากลูกสาวแห่งข้า !!”

  เมื่อนั้นชายชราจึงพนมมือตนต่อหน้ามารเพลิง ท่องคาถาบางอย่างที่ทำให้หอกนั้นเสียบลึกลงไปในร่างของมารเพลิง มันส่องแสงออกมามากกว่าเมื่อครู่เป็นหลายเท่า อสูรร้ายเริ่มดิ้นเพื่ออิสรภาพ แต่เหมือนมันจะไม่ได้ผลเลยสักนิด แม้ตนจะพ่นไฟกล้าออกมาจากปากก็ตามที มันก็สลายไปเมื่อกระทบกับแสงแห่งความหวังนั้น ไซอาลอทร้องลั่นด้วยความทรมาณราวกับว่ากำลังจะสิ้นชีวาไม่ช้า นี่เป็นครั้งแรกที่โคลริมหรือโครนอสได้ยินเสียงกรีดร้องของมารเพลิงที่แสนจะทรมาณนี้ พิธีผนึกพันธนาการใกล้จะเข้าถึงจุดสิ้นสุด ร่างกายของมารเพลิงเริ่มมีวิญญาณกระจัดกระจาย ร้องเรียกหาอิสรภาพเฉกเช่นอสูรทำ เหล่าวิญญาณเหล่านั้นไหลลงสู่ผืนดินโดยมีศูนย์กลางเป็นมารเพลิง ไม่นานนักมันก็ได้พุ่งออกมาเหนือผืนดินหลาย ๆ จุดในดินแดนทับทิม แต่วิญญาณที่พุ่งออกมาเหล่านั้นถูกธุลีที่รวมเข้าด้วยกันผนึกจนอยู่ภายในของหินสูงที่มีปลายแหลมคม กายาแห่งอัคคีเริ่มจะถูกพสุธากลืนกินเข้าทีละเล็กทีละน้อย สายตาที่มารเพลิงแสดงต่อโคลริมเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้น จิตสังหารที่จะทำลายล้างผู้กล้าให้สิ้นซาก

“แกคิดว่านี่จะจบลงใช่ไหม ?!! แกคิดว่าชั้นจะถูกผนึกงี่เง่านี่ฝังทั้งเป็นไปตลอดกาลใช่ไหม ?!!”
“ฟังคำข้าไว้เลยโคลริม !! สักวันข้าจะตื่นจากพันธนาการนี้...”
“และเมื่อนั้นโพรโตเนี่ยนและลูกหลานของแกจะต้องตายด้วยน้ำมือข้า !!”

  วาจาสุดท้ายแห่งมารเพลิงเต็มไปด้วยความทรมาณ ความโกรธแค้นต่อโคลริม... ต่อโพรโตเนี่ยน เมื่อคาถาพันธนาการสิ้นสุดลง โครนอสฟื้นสติจากภวังค์ เขามุ่งตรงไปหาโคลริมที่ทรุดตัวลงจากบาดแผลเหล่านั้น ชายหนุ่มพยุงตัวชายร่างยักษ์ขึ้นด้วยความลำบาก

“ท่านโคลริม... ข้าจะพาท่านไปหาผู้รักษาเดี๋ยวนี้ล่ะครับ !!”
“ไม่... ไม่ !! พาข้าไปหามาเรีย... ลูกสาวข้า”
“แต่ว่า...”
“ได้โปรดโครนอส พาข้าไปหาเธอ !!”

  โครนอสแสดงสีหน้าถึงความเป็นห่วงต่อโคลริม แต่ก็มิอาจจะขัดคำขอร้องนั้นได้ เขากำดาบแห่งเอลทวอรน์ไว้แน่น เมื่อนั้นจึงเกิดประกายแสงรอบตัวทั้งสอง แล้วพวกเขาก็ถูกแสงแห่งความหวังนำพาไปยังดินแดนมรกต สถานที่ ๆ ร่างของมาเรียนอนแผ่ภายในรถม้า เมื่อโครนอสเห็นแม่มดผู้นั้นหลับตา หยุดลมหายใจตนไปอย่างสงบจึงแสดงสีหน้าที่เต็มไปด้วยความโศกเศร้า เช่นเดียวกับบิดาของหล่อนโดยที่ชายแก่หาได้เอ่ยถึงวาจาใด ๆ เลยแม้แต่น้อย

“เธอ... ” โครนอสพยายามจะเอ่ยอะไรบางอย่าง
โคลริมหาได้เอ่ยวาจาใดกลับไป... เขาเพียงแค่ส่ายหน้าด้วยความเสียใจเท่านั้น “เช่นเดียวกับข้า... ข้าก็เหลือเวลาอีกไม่นานเช่นกัน” เขาเอ่ยเมื่อเวลาผ่านไปได้สักพัก
“หมายความว่าเช่นไรครับ ?” โครนอสเอ่ยถาม
“คาถาพันธนาการพสุธากลืนภพน่ะ...  มันมีระบบการทำงานคล้าย ๆ กับผนึกที่ลูกสาวข้าใช้ผนึกพลังแห่งซินโดร่าแก่ลูกของเธอ มันมีเงื่อนไขการใช้งานอยู่ด้วยกันสามข้อด้วยกัน”
“ข้อแรก คาถานี้จำเป็นต้องใช้คนทำงานด้วยกันสองคนเพื่อขับเคลื่อนการทำงาน... ข้อสอง การอัญเชิญวงแหวนเวทย์จำเป็นต้องผ่านคาถาเวทย์ของแม่มดเท่านั้น ซึ่งนั่นคือหนึ่งในผู้ใช้งานคาถานี้จะต้องเป็นแม่มด”
“และข้อสุดท้าย... ถึงแม้มันจะมีประสิทธิภาพในการผนึกได้แม้กระทั่งเทพเจ้าก็ตามที แต่มันก็ต้องแลกกับชีวิตของผู้ใช้ด้วยเช่นกัน”
“อะไรกัน... แสดงว่าคุณก็...”
“ใช่ !! อั๊ก... แค๊ก !! แค๊ก !!” โคลริมล้มลงจามพร้อมกับเลือดปน

  ในขณะนั้นเอง... ชายหนุ่มปาสกวาลรูปงามได้กลับมายังรถม้าคันนี้ สภาพของเขาดูบาดเจ็บพอสมควร พร้อมกับเสื่อผ้าที่ดูสกปรกไปหมดราวกับว่าเขาเพิ่งเดินฝ่าโคลนตมมา ชายหนุ่มผมสีทองเข้าไปดูอาการของนายท่านของตน ไม่นานนักเขาก็หันไปมองชายสวมผ้าคลุมเหมือนกับการถามอาการของนายท่าน โครนอสส่ายหน้า ชายหนุ่มผู้ใช้แซ่กุหลาบไม่เอ่ยคำใด ๆ นอกจากหันไปมองที่เจ้านายตนที่กำลังจะถึงวาระสุดท้าย เขาถอนหายใจ รับไม่ได้กับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น เมื่อนั้นบาบาเรี่ยนแก่ได้กำมือชายหนุ่มผมสีทอง พยายามจะสื่ออะไรบางอย่างต่อเขา

“ข้าขอฝาก... งานให้กับเจ้าสองอย่างปาสกวาล พาเด็กพวกนี้ไปยังที่ ๆ ปลอดภัย... พยายามอย่าให้พวกเขาเข้ามามีส่วนกับเรื่องเหล่านี้”
“แล้วอีกอย่างล่ะครับ ?”
“เมื่อเจ้าทำสิ่งนั้นเรียบร้อยแล้ว ไปยังถ้ำวิหารแห่งโคลริม... แล้วเจ้าจะรู้สิ่งที่ตัวเองต้องทำเอง”
“เข้าใจแล้วครับท่าน...”

เมื่อโคลริมกล่าวสิ่งที่อยากจะสื่อแก่ปาสกวาลเสร็จ เขาหันไปหาโครนอสที่ยืนพิงกับกำแพงรถไม้ด้วยความโศกเศร้าอยู่

“โครนอส...” โคลริมเอ่ยเรียกชื่อเขา
“ข้าอยากให้เจ้าดำรงตำแหน่งของเอลทวอรน์แทนด้วย”
ชายสวมผ้าคลุมผู้นั้นพยักหน้าตอบกลับ “เข้าใจแล้วครับท่านโคลริม”
“ดี !!...” โคลริมเอ่ย เขานอนแผ่ราบลงไปกับพื้น หลับตาตัวเองลงเหมือนกับกำลังผ่อนคลายตัวเอง “พวกเจ้าไปเถิด ทำสิ่งที่ควรจะทำ”

“ส่วนข้าขอใช้เวลาที่เหลืออยู่กับเหล่าลูก ๆ ของข้า... จนกว่ามันจะหมดลง”
ขึ้นไปข้างบน Go down
https://www.facebook.com/BillAlfenolf
 
Cataclysm : Act VI
ขึ้นไปข้างบน 
หน้า 1 จาก 1

Permissions in this forum:คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
Bloody Wrestling Online :: BWO : Special Event :: BWO Novel-
ไปที่: