ณ ห้องเล็กๆห้องหนึ่ง มันเป็นห้องที่สิ่งของมากมายวางอยู่ ตั้งแต่เก้าอี้หนังสีดำราคาแพง ตู้หนังสือที่เต็มไปด้วยหนังสือ รูปภาพที่ถูกวาดด้วยศิลปินระดับโลก พรมอย่างดี รวมถึงโต๊ะไม้ราคาแพงที่สามารถซื้อบ้านเล็กๆอยู่ได้ มันเป็นห้องทำงานของมือขวาของจักรพรรดิหรือ “อังเดร โควาดิส” เขานั่งอยู่บนเก้าอี้หนังสีดำ เขาสวมแว่นตากรอบสีดำและนั่งอ่านเอกสารกองโตที่อยู่บนโต๊ะ เขาพลิกหน้ากระดาษไปช้าๆก่อนจะเหลือบมองชายร่างท้วม ผิวเข้ม ใบหน้าของเขาดูขึงขังยืนอยู่ เขาสวมชุดทหารสีกากี ดูเหมือนเอกสารที่อังเดรกำลังอ่านอยู่นั้นจะถูกเขียนด้วยชายที่ดูน่าเกรงขามคนนี้ อังเดรถอดแว่นออกก่อนจะมองหน้ากับชายในเครื่องแบบทหาร
“เจโนช่า...คุณจะของบพวกนี้ไปทำไมตั้งเยอะแยะ?” อังเดรเอ่ยปากถาม
“ตอนนี้ทางทหารกับพวกนักวิทยาศาสตร์กำลังร่วมมือในสร้างอาวุธใหม่”
“แล้วเราผลิตอาวุธพวกนี้กันไปทำไม?” ชายผมขาวถามต่อ
“ถ้าหากพวกเราผลิตอาวุธพวกนี้ได้ โลกเราจะเป็นดาวที่แข็งแกร่งและยากที่จะโค่นได้ มันจะทำให้เราปลอดภัยไปอีกนาน” ชายที่ชื่อเจโนช่าอธิบาย
“พวกนักวิทยาศาสตร์นี่คือพวกซิออนรึเปล่า?” อังเดรเอ่ยปากถามต่อ
“ใช่ พวกซิออน” เจโนช่าตอบ
ชายผมขาวที่ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยแผลไม่ได้ตอบ เขาเอามือถูคางของเขา ก่อนจะเงยหน้าและพูดกับเจโนช่าที่ยืนอยู่ตรงข้ามกับตน
“ชั้นคงไม่อนุมัติน่ะนะ...เพราะชั้นเชื่อว่าสงครามมันคงไม่เกิดขึ้นเร็วๆนี้หรอก”
“อีกอย่างตอนนี้โลกเรากำลังพื้นตัว งบประมาณตรงนี้เนี่ยสามารถเอาไปลงทุนอะไรหลายอย่างได้อีกเยอะ”
“ชั้นว่าสิ่งที่พวกเราควรจะสนใจในตอนนี้ไม่ใช่การทหารแต่เป็นเศรษฐกิจมากกว่า” อังเดรตอบ
เจโนช่าเงียบ เขาไม่ได้ปริปากพูดซักคำ แต่ถึงอย่างนั้นอังเดรก็สามารถมองสีหน้าออก เจโนช่าไม่ใช่คนเก็บอารมณ์เก่ง จะบอกว่าแย่เลยน่าจะดีกว่าเสียด้วยซ้ำ และสีหน้าเจโนช่าตอนนี้ก็บอกได้ว่าเขาไม่ค่อยพอใจกับการตัดสินใจของอังเดรในครั้งนี้เท่าไหร่ ในขณะที่ทั้งห้องนั้นเต็มไปด้วยคงามเงียบ อังเดรก็รู้สึกได้ว่ามือถือในกระเป๋ากางเกงสั่น เขาหยิบมันออกมาดูมันเป็นมือถือประเภทเก่า บนหน้าจอนั้นเขียนว่า “อาเธอร์ โควาดิส” เมื่อผู้เป็นพ่อเห็นชื่อของลูกชายตัวเองโทรมาก็ทำให้ดวงตาของเขาเบิกโพลนด้วยความสงสัย นานเท่าไหร่แล้วนะที่ลูกชายคนโตโทรมาหาเขา อังเดรกดปุ่มรับสายก่อนจะยกมาแนบไว้ที่หูขวาของเขา
“ฮัลโหล? มีอะไรหรอลูก?”
“อ่าฮะ...อะไรนะ? โอเคๆ พ่อจะรีบกลับบ้านเดี๋ยวนี้แหละ” อังเดรกดวางสายก่อนจะหยิบเสื้อโค้ตที่แขวนไว้กับเก้าอี้หนัง
“ดูเหมือนชั้นจะมีธุระด่วน ถ้างั้นชั้นขอตัวก่อนละกัน เจโนช่า”
พูดจบอังเดรก็เดินออกจากห้องด้วยความรีบร้อย เจโนช่าก็ได้แต่มองด้วยความฉงน แต่เขาก็โค้งให้มือขวาขององค์จักรพรรดิในขณะที่ชายผมขาวคนนี้กำลังออกจากห้อง เขาตรงไปยังลานจอดรถก่อนจะขับออกไปและตรงไปยังบ้านของเขา ไม่นานนักเขาก็ถึงบ้านของเขา ถ้าหากการจราจรไม่ติดขัดอะไร ก็ใช้เวลาเพียงแค่ 30 นาทีเท่านั้น เขาจอดรถหรูสีเทาของเขาไว้ในโรงจอดรถที่มีรถคันอื่นๆจอดข้างๆอีกคัน ก่อนที่อังเดรจะก้าวเท้าเข้าไปในบ้าน เมื่อเขาเข้าไปนั้นเขาเห็นลูกๆทั้งสามของเขาอยู่กันครบ สีหน้าของทั้งสามนั้นดูไม่ดีเท่าไหร่ ลูกสาวของเขากำลังร่ำไห้ เธอยังคงสวมชุดสีแดงตัวเดิมกับที่เธอใส่ออกงาน โดยข้างๆของนางมีอาเดี่ยนนั่งปลอบประโลมอยู่ เขาหันไปก่อนจะเห็นอาเธอร์ที่ยืนอยู่ อังเดรยืนส่งสายตาราวกับว่าเขาต้องการคำอธิบาย ผู้เป็นลูกอธิบายให้ฟัง เมื่อพูดจบแล้วพ่อเขาได้แต่กุมปากของตัวเอง ใช่...การสังหารเจ้าชายแห่งดวงจันทร์ นั้นไม่ใช่เรื่องเล็กๆแน่นอน แค่การฆาตกรรมธรรมดาก็เรื่องใหญ่แล้ว แต่ถ้าเป็นเจ้าชายดวงจันทร์นั้นถือว่าเป็นเรื่องใหญ่กว่าเดิม
“อเลซิส...เธอฆ่าเจ้าชายมอร์มอนจริงๆเรอะ?” อังเดรเอ่ยปากถามอีกครั้ง
“ค่ะ...” หญิงผมสีขาวตอบด้วยน้ำตา
“แล้วพ่อจะทำยังไงต่อไปหรอ?” อาเธอร์หันไปถาม
ผู้เป็นพ่อเงียบ นอกจากเสียงส่ายหางของบ็อกไซต์และเสียงสะอื้นของอเลซิสแล้ว ทุกอย่างเงียบสงัด
“พ่อจะโทรไปบอกเจโนช่าให้พาตัวลูกไป...พ่อจะให้ลูกขึ้นศาล” ผู้เป็นพ่อตอบ
“แต่พ่อสิ่งที่อเลซิสทำไปเพื่อป้องกันตัวเองนะ!! ยังไงอเลซิสก็ไม่ผิดนะ” อาเดี่ยนหันไปพูดกับหัวหน้าครอบครัว
“เพราะแบบนี้ไงพ่อเลยจะให้อเลซิสขึ้นศาล!! อเลซิสจะได้พิสูจน์ไปเลยว่าตัวเองไม่ได้ตั้งใจจะฆ่ามอร์มอน”
“ไม่เช่นนั้นชื่อเสียงครอบครัวเราพังย่อยยับแน่ๆ” อังเดรให้คำตอบ
“แต่อีกฝ่ายเป็นถึงเจ้าชายเลยนะ พ่อว่าทางนั้นจะยอมหรอ? แล้วแบบนี้จะกระทบความสัมพันธ์รึเปล่า?” อาเธอร์ถาม
“พ่อเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมของพวกเราและพ่อก็เชื่อว่าพวกดวงจันทร์มีเหตุผลพอ” ผู้เป็นพ่อถามตอบคำถามของลูกชายคนโต
อังเดรหันไปมองลูกสาวของตัวเองที่ยังร้องไห้อยู่ ชายผมขาวที่ใบหน้าเต็มไปด้วยบาดแผลเดินไปจับไหล่อันเย็นเฉียบของลูกสาวตัวเอง
“ไปอาบน้ำแล้วนอนเถอะ...ลูกจะไม่เป็นไร”
อเลซิสหันมามองพ่อของตัวเองด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเชื่อมั่น เธอพยักหน้าก่อนจะใช้มือปาดน้ำตาของตัวเองและเดินขึ้นไปบนบ้าน ผู้เป็นพ่อเดินไปในห้องครัวก่อนจะหยิบไวน์ออกมาจากตู้ เขารินไวน์องุ่นลงไปในแก้วช้าๆ ในขณะที่ไวน์นั้นไหลลงมาจากปากขวดลงสู่แก้วราคาแพง ลูกชายทั้งสองคนก็ได้แต่นั่งมองหน้ากันเองก่อนจะหันไปมองแผ่นหลังของ “อังเดร โควาดิส”
=====
ยานอวกาศลงจอดอย่างช้าๆ ประตูยานนั้นเปิดออกมาช้าๆ ชายหนุ่มร่างยักษ์และชายผิวหมึกเดินสวมฮู้ดลงมาจากยาน อากาศบนดาวพฤหัสนั้นค่อนข้างหนาว ถึงแม้มนุษย์ยุคบุกเบิกจะมาปรับอุณหภูมิให้อยู่ในสภาวะพอเหมาะแล้วก็ตาม ถ้าให้เปรียบเทียบก็คงหนาวประมาณพวกยุโรปกระมั้ง สำหรับดาวพฤหัสนั้นไม่ใช่ดาวที่เจริญมาก แต่ก็ไม่ได้กันดารว่ากันว่าดาวพฤหัสนั้นกำลังเป็นดาวที่กำลังเติบโต เพราะด้วยขนาดที่กว้างทำให้มีคนสนใจจะมาลงทุนกันเยอะ จากการคาดเดาในอีก 4-5 ปี ดาวพฤหัสคงเป็นดาวที่เจริญที่สุด
“แล้วนี่เราจะไปไหน?” เกรกอรี่หันไปถามบิลหัวหน้าของตัวเอง
“ไปหานายจ้างของเรา” บิลตอบสั้นๆ
ชายผิวมืดได้ยินคำตอบแล้วก็เงียบแต่ก็เดินตาม เกรกอรี่หันไปมองข้างๆ ตลอดทางเขาเห็นบ้านเล็กๆมากมาย ดูเหมือนบ้านพวกนี้จะเป็นบ้านของพวกแรงงาน ชายผมดำมองแล้วก็คิดว่าบ้านของพวกแรงงานนั้นยังดูดีกว่าบ้านที่เขาอยู่ตอนเด็กเสียอีก บ้านที่เกรกอรี่อยู่ตอนเด็กๆนั้นเป็นแค่บ้านเล็กๆที่ถูกสร้างขึ้นโดยสังกะสีเก่าๆ ขนาดของบ้านนั้นเล็กนิดเดียว น่าจะเล็กพอๆกับห้องๆเดียวของพวกตระกูลชนชั้นสูงบนโลก ทั้งสองยังคงเดินต่อไป ไม่นานนักทั้งคู่ก็ถึงที่หมาย มันเป็นบ้านขนาดใหญ่ บ้านนี้ถูกล้อมด้วยกำแพงหิน และมีต้นไม้สูง บิลเดินนำหน้าไป เมื่อเขาเข้าใกล้กับประตูทางเข้า ชายร่างยักษ์ที่มีผิวสีเงิน ผิวของชายคนนี้เป็นเกร็ด...เขาไม่ใช่มนุษย์แต่เป็นเผ่าที่ถูกเรียกว่า “โกเล็ม” ด้วยผิวที่เหมือนหินและด้วยพละกำลังที่มหาศาล เหล่ามนุษย์ต่างดวงพวกนี้จึงมีถูกเรียกว่า “โกเล็ม”
“พอเราทุกคนตาย...สิ่งเดียวที่รออยู่คือความว่างเปล่า” บิลพูดกับชายร่างยักษ์คนนี้
ชาวโกเล็มได้ยินประโยคนี้ก็พยักหน้าก่อนจะเปิดประตูออก บิลและเกรกอรี่เดินเข้าไปในอาคาร เมื่อทั้งคู่เข้าไปในตัวคฤหาสถ์นั้นโจรสลัดจากกลุ่ม “ไดม่อน” ก็เห็นชายในชุดสูทคนนึงรออยู่ ผมของเขานั้นหงอก ใบหน้าของเขาเหี่ยวย่น หนวดสีขาวที่อยู่รอปาก ชายคนนี้ก้มโค้งก่อนจะพูดเบาๆว่า “เชิญตามมาเลยครับ” เกรกอรี่และบิลถอดฮู้ดออกก่อนจะเดินตามไป บรรยากาศภายในนั้นดูหรูหราไม่ต่างอะไรกับภายนอก บ่าวรับใช้คนนี้เดินมาถึงประตูไม้ก่อนจะเปิดออกและทำท่าเชิญให้แขกทั้งสองเข้าไป ผู้ถูกเชื้อเชิญก้าวเท้าเข้าไป ภายในนั้นเป็นห้องเล็กๆ แต่ในห้องนั้นมีคนนั่งอยู่แล้วอยู่สองคน คนในห้องนั้นหันมามองบิลและเกรกอรี่ เช่นเดียวกันพวกเขาก็จ้องมองคนที่กำลังมองพวกเขาอยู่
“แกก็ถูกเชิญมาด้วยเรอะ?” บิลหันไปถามชายผมสีน้ำตาลที่เบื้องหลังของเขามีหุ่นยนต์สีเงินยืนอยู่ข้างหลัง
“แน่นอน...ใครๆก็รู้ว่าสุนัขล่าเนื้อเป็นนักล่าที่ดีที่สุดอยู่แล้ว จริงๆคำถามนี้ชั้นควรจะไปถามแกมากกว่านะ”
“กลุ่มโจรสลัดกระจอกๆแบบไดม่อนได้เชิญมาได้ยังไง” ชายผมน้ำตาลคนนี้เยาะเย้ยกลับ
บิลได้ยินก็ไม่ได้พูดอะไร เขาเดินตรงที่เก้าอี้ไม้ก่อนจะนั่งลง อีกข้างนึงนั้นเป็นกอริลล่าในชุดเกราะที่นั่งอยู่ ใบหน้าของมันนั้นขึงขังและดูจริงจังมาก แน่นอนว่าทุกคนรู้จักกอริลล่าตัวนี้ดี “วาเดน” สมัยก่อนนั้นเขาเป็นลูกน้องของโจรสลัดกลุ่มนึง แต่ด้วยความที่เขาเป็นคนที่มีฝีมือมาก เขาก็เลยตัดสินใจฆ่ากัปตันและยึดเรือมาไว้เป็นของตัวเอง ชื่อเสียงของวาเลนนั้นดังกระฉ่อนไปทั่วจักรวาลและก็เป็นชื่อที่ใครๆก็กลัว ในขณะเดียวกันชายผมน้ำตาลอีกคน เขาชื่อจาเร็ท ครูซเขามีฉายาว่า “หมาล่าเนื้อ”…ไม่ซิ ต้องพูดว่าหมาล่าเนื้อเป็นเพียงฉายาหนึ่ง เขายังมีอีกหลายฉายาที่เป็นที่รู้จักในจักรวาลอันกว้างใหญ่ ตั้งแต่ “เรด อายส์” จนไปถึง “ความตาย” ไงก็แล้วแต่ชายคนนี้เป็นที่รู้จักมากในฐานะนักล่า ไม่มีเหยื่อรายไหนสามารถหนีรอดเขาไปได้ จริงๆก็มีข่าวลือด้วยว่าเขารับงานในการล่าโจรสลัดอวกาศเหมือนกัน แต่นั่นก็แค่ข่าวลือกระมั้ง
“สวัสดีทุกท่าน” เสียงสังเคราะห์ดังขึ้นมา
ทุกคนหันไปยังจอโทรทัศน์ บนจอนั้นเขียนว่า “Void” โดยสัญลักษณ์นั้นเป็นตัว V สีม่วง
“ก่อนอื่นเลย ชั้นต้องขอบคุณทุกคนที่รับคำเชิญของชั้น”
“งานนี้จะขาดคนใดคนนึงไม่ได้ เพราะงานนี้เป็นงานสำคัญ และทุกกำลังที่ชั้นหาได้จะสามารถช่วยให้ภารกิจสำเร็จได้”
ทุกคนในห้องเงียบ ขณะเดียวกันพ่อบ้านคนเดิมเดินมาแจกกระดาษ มันเป็นกระดาษที่ถูกเย็บมุมขวา และมีประมาณ 4-5 แผ่น ข้างในนั้นเป็นรายละเอียดของงานที่พวกเขารับ แต่ละคนต่างนั่งอ่านเนื้อหาในกระดาษแผ่นนี้ เว้นเสียแต่เกรกอรี่ที่ยืนอยู่ข้างหลังของบิล...ชายที่ผิวสีหมึกคนนี้อ่านหนังสือไม่ออก ส่วนคนที่อ่านออกนั้นเมื่อเห็นภารกิจนี้แล้วก็ต่างเงยหน้าขึ้นมาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความตกใจ
“ใช่...และงานของพวกเราคือการล้มรัฐบาลแห่งดาวพฤหัส”
=====
กลับมาที่ห้องนอนที่มืดสนิท ไม่มีทั้งไฟจากโคมไฟหรืออะไรทั้งนั้น ท่ามกลางเสียงของเครื่องปรับอากาศ หญิงผมสีขาวนอนอยู่บนเตียง ดวงตาของเธอยังเปิดอยู่ แม้ว่าเธอจะเหนื่อยล้าขนาดไหน แต่เธอก็ไม่สามารถหลับได้ ภาพที่เธอใช้แจกันฟาดไปที่ศีรษะของเจ้าชายจากดวงจันทร์ยังคงติดอยู่ในหัวของเธอ ในใจของอเลซิสนั้นตอนนี้มีแต่ความกลัวเข้าปกคลุม แม้ว่าสิ่งที่เธอทำไปนั้นจะเพียงการป้องกันตัวเองและไม่ผิดกฎหมายก็ตาม แต่อย่างไรก็ดีอีกฝ่ายนั้นเป็นถึงคนใหญ่คนโตจากดวงจันทร์ มันก็ทำให้อเลซิสอดคิดไม่ได้ว่าเธอจะโดนบทลงโทษอะไรรึเปล่า “เราจะติดคุกไหม?” “เราจะถูกประหารรึเปล่า?” ในใจของลูกคนกลางแห่งตระกูลโควาดิสตั้งคำถามขึ้นมา หญิงผมสีขาวพลิกตัวก่อนจะมองไปยังนาฬิกาดิจิต้อลที่ฉายตัวเลขสีแดงบอกเวลา
“ตี 3 แล้วหรอ...” เธอพูดเบาๆ
ในขณะที่เธอนอนบนเตียงอยู่นั้น เธอก็ได้ยินเสียงของใครบางคนเคาะประตูห้องเธอเบาๆ อเลซิสลุกขึ้นมาก่อนจะตั้งคำถามว่า “ใครกันนะมาเคาะประตูยามนี้” อเลซิสเดินตรงไปยังประตูก่อนจะแง้มเปิดช้าๆ เธอเห็นชายสองคนยืนอยู่ ชายสองคนนั้นคืออาเธอร์และอาเดี่ยนยืนอยู่
“รีบแต่งตัวแล้วไปเจอที่รถซะ” อาเธอร์ออกคำสั่ง
“นี่มันเรื่องอะไร?” อเลซิสสงสัย
“เดี๋ยวเราค่อยอธิบาย...แต่ทำตามที่เราบอกก่อน” พี่โตสุดพูด
อเลซิสพยักหน้าก่อนจะทำตามที่พี่ชายตัวเองพูด เมื่ออเลซิสแต่งตัวเสร็จ เธอก็เดินตรงไปยังโรงรถ เธอเห็นรถสีน้ำเงินสตาร์ทอยู่แล้ว อเลซิสเปิดประตูรถก่อนจะเข้าไปนั่งหลังรถ ข้างหน้านั้นมีสองพี่น้องตระกูลโควาดิสนั่งอยู่ด้วย เมื่ออาเธอร์เห็นน้องสาวของตัวเองขึ้นรถมาแล้วก็เหยียบคันเร่งและขับออกไป ยามที่อยู่หน้าบ้านนั้นเปิดประตูให้...อเลซิสที่อยู่ในรถได้แต่นั่งงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก จนเธอเริ่มรู้สึกว่าเธอตามไม่ทัน
“ไม่ต้องห่วงเรื่องยามนะพี่อเลซิส พวกเราจ่ายเงินปิดปากไปแล้ว” อาเดี่ยนหันมาหาหญิงสาวผมสีขาว
“แล้วนี่จะทำอะไร?” อเลซิสเอ่ยปากถามขึ้นมา
“ชั้นคิดว่าถ้าเธอขึ้นศาลล่ะก็เธอไม่รอดแน่ๆ” อาเธอร์พูดออกมาตรงๆในขณะที่มือของเขาจับพวงมาลัยอยู่
“ถ้าหากเธอหลุดพ้นจากคดีนี้ไปทางดวงจันทร์ไม่ยอมแน่ๆ เผลอจะเกิดเป็นสงครามอีก และสงครามก็คงไม่ดีกับทุกฝ่าย”
“ดังนั้นถ้าเธอไปขึ้นศาล เธอถูกประหารแน่นอน” อาเธอร์บอกตรงๆ
อเลซิสฟังแล้วก็เงียบ...สิ่งที่พี่ชายของเธอพูดนั้นคือสิ่งที่เธอกลัวที่สุด
“แล้วนี่จะพาชั้นไปไหน?” อเลซิสเอ่ยปากถามด้วยน้ำเสียงอันอ่อนแรง
“ซักที่ที่ปลอดภัย” อาเดี่ยนหันกลับมาตอบ