Bloody Wrestling Online
Would you like to react to this message? Create an account in a few clicks or log in to continue.

Bloody Wrestling Online

The Number One Cyber Wrestling Online
 
บ้านPortalLatest imagesสมัครสมาชิก(Register)เข้าสู่ระบบ(Log in)

 

 Cataclysm: The Endless Hellfire III

Go down 
ผู้ตั้งข้อความ
Neferpitou
Moderators
Moderators
Neferpitou


จำนวนข้อความ : 552
Join date : 05/12/2012
Age : 27
ที่อยู่ : The Facility of Banned Organizer

Cataclysm: The Endless Hellfire III Empty
ตั้งหัวข้อเรื่อง: Cataclysm: The Endless Hellfire III   Cataclysm: The Endless Hellfire III EmptyFri Aug 12, 2016 10:10 pm

Cataclysm: Endless Hellfire
Act III

------------

  มันเป็นช่วงเวลาก่อนสักบ่ายสาม ชาวเมืองในนครหลวงสตอร์มโฮล์มก็เริ่มที่จะลดน้อยลงเนื่องจากสภาพอากาศที่ร้อนระอุผิดปกติ ถึงแม้ว่าท้องฟ้าจะแจ่มใสก็จริง แต่ด้วยไอร้อนแบบนั้นย่อมทำให้ผู้คนรู้สึกอึดอัดและเดินทางในเมืองที่มากผู้คนเป็นไปด้วยความยากลำบาก แต่ถึงกระนั้นการค้าขายภายนอกก็ยังดูคึกคักดี ภายในพระราชวังแห่งดินแดนเอสซิโอนิค การทำงานในวังของเหล่าขุนนางก็ดำเนินไปอย่างปกติ แม้ว่าสายตาของเหล่าคนเหล่านั้นจะมองดูชายหนุ่มผมสีดำใส่แว่นที่เดินตามพระราชาตามทางเดินโล่งอยู่อย่างไม่ขาดสาย สายตาเหล่านั้นมันไม่เชิงว่าจะแสดงถึงความยินดีนัก มันน่าจะเป็นความกลัวเสียมากกว่า ถึงกระนั้นก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะทำแบบนั้น บางคนก็ยังต้อนรับชายผู้นั้นอย่างอบอุ่นเหมือนกัน โครนอสและลูเซียสเดินไปจนถึงห้องๆ หนึ่ง ผู้เป็นเจ้าของสถานที่เปิดประตูรับแขกเข้าไป มันเป็นห้องนั่งเล่นไว้รับเชิญแขก รอบๆ มีหนังสือและสิ่งสร้างความบันเทิงอย่างครบถ้วน

  หนุ่มบรรณารักษ์นั่งลงไปบนโซฟานุ่ม มันเหมือนกับของเหล่าผู้ร่ำรวยมีฐานะขณะที่กษัตริย์เอาดาบของเขาพิงกับกำแพงไว้ ถอดผ้าคลุมสง่าที่บ่งบอกถึงฐานะอันสูงส่งออก เขารู้สึกตัวโล่งเหมือนกับหลุดพ้นจากความลำบากทั้งปวง เบื้องหน้าของลูเซียสมีโต๊ะวางอยู่ มันไว้สำหรับวางกลับแกล้มเพื่อให้แขกรู้สึกเหมือนอยู่บ้านหรือใช้ในการวางสิ่งของที่จะใช้ในการพูดคุย ไม่นานนักก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น องค์ราชาเปิดประตูรับและนั่นก็เป็นข้ารับใช้คนสำคัญของเขา เซรดริก เขามาพร้อมกับรถเลื่อนเสิร์ฟอาหาร มันเป็นอาหารที่ไว้สำหรับพวกชนชั้นสูงเท่านั้นที่จะสามารถลิ้มลองได้ จานนี้ที่เห็นกันอยู่คือผัดเผ็ดสิบสองเทพ ว่ากันว่าเครื่องปรุงที่ใส่ลงไปในอาหารนี้คือพลังธาตุทั้งสิบสองชนิด รสชาติที่ออกมาล้วนแล้วแต่ผู้ที่ใช้ปราณเท่านั้นจึงจะสามารถสัมผัสถึงรสและกลิ่นได้ สำหรับสามัญชนทั่วไปมันก็เหมือนการทานผัดธรรมดาเท่านั้น แต่สำหรับผู้มีปราณแล้วการรับประทานนี้จะเหมือนกับอาหารที่โอชะที่สุดในชีวิตของพวกเขาเลย มันสามารถเปลี่ยนแปลงรสชาติได้ตามที่ผู้รับประทานต้องการเพียงแค่กดพลังปราณเข้าไปใส่ส่วนปากตนเท่านั้น ไม่ว่าจะเปรี้ยว เค็ม หรือหวานก็ตามที แต่ผู้ที่จะประกอบอาหารเหล่านี้ได้ย่อมมีปราณระดับสูงที่สามารถสยบมารได้เหมือนกัน อีกทั้งยังมีไวน์ราคาแพงที่หมักไว้เป็นเวลานานเพียงเพื่อเอามาต้อนรับชายผู้นี้เท่านั้น

“ท่านไม่จำเป็นต้องต้อนรับกระผมดีถึงขนาดนี้ก็ได้นะขอรับ..” ชายผมดำกล่าว
“ทำไมจะไม่ล่ะ? เจ้าเป็นเหมือนลูกข้าคนหนึ่งเชียวนะ” โครนอสกล่าว “คนฉันชุบเลี้ยงแต่เด็กกลับมาเยี่ยมเยือนที่นี่ข้าก็ต้องต้อนรับหน่อยสิถึงจะถูก”
“แต่ว่า....”

“ท่านต้องการอะไรเพิ่มหรือเปล่าขอรับ?” ข้ารับใช้เอ่ยถาม
“ไม่ล่ะ แค่นี้ก็คงพอเหมาะแล้ว ไว้ข้าจะเรียกเจ้าภายหลังแล้วกัน”
“ขอรับ” เขากล่าวตอบรับ

  หลังจากวาจานั้น เซรดริกก็ก้มหัวลงแสดงถึงความเคารพก่อนที่จะหันไปหาลูเซียสแล้วยิ้มให้ก่อนที่จะเดินออกไปจากห้อง ปิดประตูเหลือเพียงชายสองคนที่เตรียมการจะสนทนาเกี่ยวกับสิ่งที่หนุ่มผู้ใฝ่ความรู้ต้องการจะรู้แจ้งให้ได้ ราชานั่งลงไปกับเก้าอี้อีกตัว เขาเหยียดร่างกายอย่างสบายราวกับพวกหนุ่มทำงานเงินเดือนกลับมาจากบ้านเพื่อพักผ่อนก่อนที่จะไปสู่งานวันต่อไป สำหรับเด็กหนุ่มที่อยู่กับเขานั้นก็แสดงอาการที่ไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่นัก ไม่นานนักราชาก็หยิบขวดไวน์นั้นมา เปิดจุกและสูดกลิ่นหอมหวานชวนหลงไหล กลิ่นองุ่นแดงของมันชักชวนให้ผู้สูดดมดื่มมักอย่างเร็วพลัน โครนอสค่อยๆ รินแอลกอฮอล์ลงบนแก้วของเขา จากนั้นก็ตามด้วยผู้เป็นแขก ถึงแม้ว่าลูเซียสจะยังอายุน้อยก็ตามที แต่จะทำไงได้ล่ะ การที่กษัตริย์ดินแดนเป็นผู้รินเหล้าให้ด้วยตัวเองย่อมถือว่าเป็นเกียรติสำหรับทุกคนอยู่แล้ว โครนอสหยิบแก้วขึ้นมา ยื่นแก้วไปต่อหน้าของลูเซียสเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงเวลาว่าเขาต้องดื่ม สำหรับมารยาทแล้วหากมีผู้คนต้องการที่จะชนแก้วกับคุณ คุณจะต้องตอบรับเขาด้วยการชน หากไม่ทำก็จะเป็นการเสียมารยาทอย่างมาก ลูเซียสยกแก้วชนเบาๆ ก่อนที่จะจิบไวน์แดงนั่น

“แล้ว... เราจะเข้าเรื่องได้หรือยังขอรับ?”
“ไม่ลองทานผัดเผ็ดสิบสองเทพก่อนหรือ” ราชาพูดด้วยสีหน้าที่ดูไม่ได้เครียดอะไรเลย “อย่าเพิ่งรีบเครียดไปดีกว่า”
“กระผมว่าเอาไว้ก่อนดีกว่า” เขาตอบกลับ “ผมทานอะไรไม่ลงหรอกถ้ายังไม่รู้ถึงสิ่งๆ นั้นน่ะ”

  ราชานั่งกอดอก เขามองไปที่แก้วของลูเซียสที่ยังมีไวน์มากกว่าครึ่งแก้ว เขาแทบจะไม่ได้กลืนมันลงคอเสียด้วยซ้ำ นั่นก็ทำให้ราชาได้รู้ว่าหนุ่มผู้นี้กำลังวิตกกังวลถึงสิ่งที่เขาประจักษ์ในภวังค์แห่งดาบเล่มนั้น แหงล่ะ ปราณสีแดงฉานจากดาบเล่มนั้นสามารถทำให้เขาหลุดจากการควบคุมพลังมืดของเขามันย่อมทำให้เด็กหนุ่มใส่แว่นผู้นี้รู้สึกลำบากใจเป็นธรรมดา โครนอสค่อยๆ ลุกขึ้น เดินไปยังชั้นหนังสือที่มีหนังสือเก่าๆ วางเรียงเต็มไปหมด กวาดสายตาไปรอบเหมือนกับกำลังหาหนังสือเล่มที่เขาต้องการ จนไปเห็นหนังสือเล่มหนึ่ง มันเป็นเล่มที่ค่อนข้างเก่าเลยทีเดียว เขาหยิบมันออกมา เป่าฝุ่นที่เคลอะติดกับปกหนังสือ ใช้มือปัดเพื่อให้มั่นใจว่าฝุ่นพวกนั้นออกไปจนหมด แล้วจากนั้นเขาก็นั่งลงที่โซฟาตัวเดิม

“เจ้าจำชื่อของสิ่งที่เจ้าเห็นไปเมื่อตอนกลางวันในมิติแห่งดาบนั่นได้หรือไม่?” ราชาถาม
“กะ... เกรงว่าจะไม่ขอรับ”

  ไม่นานนักโครนอสก็ยกมือของเขาขึ้นเหนือหัวของชายหนุ่มผมสีดำ หมุนข้อมือของตนและมีปราณแสงแผ่ออกมา ลมปราณสีทองที่ไหลออกมาจากหัตถ์แห่งกษัติรย์ไหลซึมเข้าสู่หัวของลูเซียส มันทำให้เขามีท่าทางที่เปลี่ยนไป เมื่อหนุ่มผมสีดำได้รับปราณเหล่านั้น ดวงตาเขาเปิดกว้างดั่งรับรู้ถึงอะไรบางอย่าง ไม่นานนักโครนอสก็วางมือลงและหนุ่มบรรณารักษ์ก็กลับมาในสภาพปกติ

“เมื่อกี้ท่าน...” ลูเซียสถาม
“ข้าเคยสร้างกำแพงกั้นในความคิดของเจ้า” ราชาเอ่ย “เพื่อไม่ให้เจ้าสามารถรับรู้ถึงมารเพลิงตนนั้น”
“ต่อให้ข้าพูดให้เจ้าฟังสักกี่พันรอบหรือเจ้าจะขนขวายถึงมันจนตาย เจ้าก็จะไม่สามารถรับรู้ถึงมันได้อยู่ดี”
“เมื่อกี้ที่ข้าทำคือการทลายกำแพงนั้นลง” เขาพูดต่อ
“งั้นก็แสดงว่า...” ลูเซียสพูดขึ้นอย่างติดๆ ขัดๆ
“ใช่! เจ้าจะสามารถรับรู้ถึงตัวตนของมารเพลิงได้”

เมื่อนั้นราชาก็เปิดหนังสือขึ้นในขณะที่ลูเซียสตั้งหน้าตั้งตารอตั้งใจฟังสิ่งที่ตนเองกำลังจะได้ค้นพบ

“ข้าเคยบอกเจ้าเรื่องพลังแห่งบาปกับตัวเจ้าไปเยอะพอควร” ราชากล่าว “เจ้าย่อมรู้จักเบลแห่งบาปอยู่แล้วใช่รึเปล่า?”
“ครับ” เขาตอบอย่างเร็วพลัน “ท่านเคยบอกกับผมว่าผมมีปราณส่วนหนึ่งของเขาอยู่ภายในกาย”
“สิ่งที่ข้าเคยบอกไป... มันไม่ใช่เรื่องจริงทั้งหมด” ราชากล่าว
“ข้าเคยบอกว่าเบลคือผู้สร้างพลังแห่งบาป พิธีเหล่านั้นบลาๆ ก็ล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นจากคำสั่งของเบล แต่มันไม่ใช่เลย”
“มันเป็นคำสั่งของไซอาลอทตะหาก”

ลูเซียสยกหลังตนจากที่นั่งพิงโซฟา เหมือนกับเขาจริงจังกับสิ่งที่ตนเองกำลังได้ยินมากขึ้น

“ท่านหมายความว่ายังไงขอรับ?” หนุ่มบรรณารักษ์ถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ข้าไม่เคยบอกความจริงกับเจ้า” เขาตอบ
“ทำไมกันหรอครับ?”
“เพื่อรักษาความปลอดภัยของเจ้าเอง” ราชาลุกขึ้นหลังจากที่ตอบคำถามนั้น

  ราชาส่งยื่นหนังสือให้กับลูเซียส ให้เขาเห็นภาพวาดโบราณของมารเพลิงตนนึง มันมีร่างกายที่ดูกำยำ หัตถ์เพลิงที่ส่องแสงอยู่ตลอด ไอปราณร้อนที่เอ่อล้นออกมาจากกล้ามเนื้อส่วนที่แตกเป็นเส้นๆ สายตาที่บ่งบอกถึงความอำมหิตอยู่ตลอดเวลา แม้มันจะเป็นแค่ภาพวาดแต่มันชัดเจนเสียยิ่งกว่าอะไร ราวกับเขากำลังมองดูนักล่าความตายที่ส่งวิญญาณลงไปให้ยมบาลใต้พื้นดินสู่นรกเสียด้วยซ้ำ ชายหนุ่มผมดำนั้นมองด้วยความวิตกกังวลพอควร เพราะสิ่งที่เขาเห็นในภาพนี้มีองค์ประกอบเช่นเดียวกับในมิติแห่งดาบที่เขาเพิ่งเห็นไปเลย เขาเริ่มหายใจถี่ขึ้นเรื่อยๆ จนราชามองว่ามันเริ่มผิดสังเกต

“เจ้าโอเคนะ?” กษัตริย์แห่งสตอร์มโฮล์มเอ่ยถาม
“กระผมไม่เป็นอะไรขอรับ”
“ก็ดี” ราชากล่าว “ในเมื่อเจ้าต้องการที่จะรับรู้ถึงชายผู้นี้ ข้าก็จะเล่าให้เจ้าฟัง”

  องค์ราชาแห่งสตอร์มโฮล์มลุกขึ้นจากเก้าอี้นุ่ม ก่อนที่จะเดินไปตามทางและหยุดลงที่ระเบียงข้างนอกห้องที่ไม่ไกลจากโต๊ะนัก ทิวทัศน์ในจุดๆ นั้นมันเป็นเช่นเดียวกับห้องของราชาไม่มีผิดเพี้ยนนั่นคือมันเห็นแหลมขึ้นขนาดใหญ่ที่ดินแดนมรกต เบรสซิ่ง สปริงอย่างชัดเจน ทางด้านของหนุ่มสวมแว่นก็เดินออกมายืนอยู่ข้างกายของราชา มองไปยังจุดเดียวกันก่อนที่จะหันกลับไปหาราชาที่แลดูวิตกกังวลกับภาพที่เขาเห็น ลูเซียสไม่พูดอะไรเลย เขาพูดไม่ออกสักคำเสียมากกว่า เพราะไม่เคยเห็นกษัตริย์ผู้นี้แลดูเป็นทุกข์เสียขนาดนี้มาก่อน เขาหันกลับไปมองแหลมหินสีแดงฉานแท่งใหญ่นั้น เหมือนเขาจะไม่เห็นอะไรผิดปกติเลยนอกเสียจากหินธรรมดาที่มีรูปลักษณ์ที่ดูแหลมคมเท่านั้น

“ท่านเป็นวิตกกังวลอันใดขอรับองค์ราชา?” เขาถาม
“สิ่งที่อยู่เบื้องหน้าเจ้าไงล่ะ” เขาตอบ “นั่นล่ะคือที่ๆ มารเพลิงไซอาลอทถูกจำขังอยู่”
“ในเมื่อเขาถูกจำขังในพันธนาการที่ใหญ่เสียขนาดนั้น ท่านจักกังวลอันใดอีก?”
“มันหาได้ว่าจะขุมขังมารเพลิงไปได้เสียตลอดนิ” ราชาเอ่ยก่อนที่จะพูดต่อ “เจ้าก็รู้สึกนิว่าพลังของอสูรตนนั้นมันแรงกล้าเสียขนาดไหน”

“เบลนี่ไม่เคยเป็นหัวหน้าของกองทัพแห่งบาปหรอก” จู่ๆ ราชาก็เอ่ยขึ้น “และเขาก็ไม่เคยเป็นผู้คิดค้นพลังแห่งบาปขึ้นด้วย”
“ผู้ที่ให้กำหนดพลังแบบนั้นน่ะคือชายที่เจ้าเห็นอยู่ในมิตินั้นล่ะ... ไซอาลอท ไฟร์วอร์คเกอร์”
“ที่ข้าโกหกเจ้ามาตลอดและไม่เคยพูดอะไรถึงชายผู้นี้เพราะเขาคือคนเดียวที่ข้าเกรงว่าจะสามารถทำให้เจ้ากลายเป็นดั่งเบลได้”
“เป็นยังไงหรือขอรับ?”
“เป็นมารแห่งความตายไง”

  ราชาหันกลับเข้าสู่ห้อง มุ่งเดินไปตามห้องรับแขกโล่งนี้ด้วยความไม่โล่งใจ ความรู้สึกร้อนระอุที่บ่งบอกถึงความเครียดทำให้เขารู้สึกกังวล ก่อนจะหันกลับไปหาผู้ที่เป็นดั่งลูกชายแท้ๆ ของเขา

“ชายผู้นั้นคือผู้สร้างสงคราม หายนะเลวร้ายเมื่อหลายปีก่อน” เขาพูดต่อ “ผู้เป็นดั่งปีศาจแห่งความตายพร้อมที่จะลากทุกชีวิตให้จมดิ่งสู่นรก”
“และข้าก็เป็นหนึ่งในผู้ร่วมรบสงครามในครั้งนั้น”
“ทะ.... ท่านหรอ?” ลูเซียสเสียงสั่น “เดี๋ยวๆ นี่ท่านกำลังพูดถึงสงครามอสูรกายเมื่อนานมาแล้วน่ะหรอ?”
“ขะ... ข้านึกว่ามันเป็นแค่เรื่องงมงายเสียอีก” ชายผมดำพูดต่อ
“นั่นคือสิ่งที่ข้าอยากให้เป็น” ราชากล่าวพร้อมกับเดินไปตามทาง “เพื่อความปลอดภัยของทุกคนในเอสซิโอนิค ข้าไม่อาจจะให้เรื่องแบบนี้เข้าหูคนรุ่นใหม่เพื่อให้พวกเขากังวล”

ราชาเดินเข้ามาหาหนุ่มบรรณารักษ์ มองดูสีหน้าของเขาที่ดูไม่ค่อยเชื่อถือกับสิ่งที่ได้ยินนัก

“ข้าไม่ได้อยากจะทำร้ายจิตใจของเจ้าหรอกนะลูเซียส เพราะงั้นข้าจึงไม่อยากให้เจ้ารู้เรื่องพวกนี้” ราชากล่าวต่อ
“แต่ตัวเจ้ามีวัตถุประสงค์เพื่อที่จะล้างเผ่าพันธุ์พวกเราทุกคน” กษัตริย์กล่าวด้วยสีหน้าที่จริงจัง
“ในสงครามครั้งนั้น เจ้าคือหนูทดลองที่เป็นผลสำเร็จ.. พลังดำที่เจ้ามีนั่นคือพลังที่เทียบเท่ากับเบลแห่งบาป” ราชาหยุดพูดไปสักพัก “อันที่จริงควรจะพูดว่าเจ้าและเบลต่างเชื่อมต่อกันด้วยพลังแห่งบาปเสียมากกว่า”
“เจ้าคือหนึ่งในอาวุธสุดยอดที่ไซอาลอทต้องการจะใช้งาน” เขายังคงเล่าต่อไปในขณะที่ลูเซียสเริ่มแสดงอาการช๊อค
“แต่โชคเข้าข้างที่พวกข้าไปหยุดยั้งสิ่งนั้นได้ทัน”

“แต่ท่าน.... ท่านบอกข้าว่า... ข้าถูกพ่อแม่ตัวเองทดลองเพราะความคลั่งนี่” หนุ่มผมดำกล่าวเหมือนกับไม่เชื่ออะไรที่ราชาพูดเลย
“ข้าขอโทษด้วยนะลูเซียส” ราชากล่าวเบาๆ “แต่ข้าโกหกเจ้า..”
“คนพวกนั้นทำเพื่อไซอาลอทตะหาก เพื่อให้วันโลกาวินาศเป็นจริง”
“ไม่ ไม่ ไม่ ไม่ ไม่!” ลูเซียสตะโกนขึ้น “ข้าไม่เชื่อท่านพูดหรอก”

“ลูเซียส...” ราชาเริ่มพยายามกล่าวด้วยความสงบขึ้น ราวกับจะให้ลูเซียสพยายามใจเย็นก่อน
“ท่านกำลังจะบอกข้าว่าไซอาลอทสร้างข้ามาเพื่อวันโลกาวินาศงั้นหรอ?”
“ท่านกำลังจะสื่อว่าตัวข้ามีอยู่เพื่อรับใช้มารร้ายตนนั้นงั้นหรอ?”
“ไม่! ข้าไม่เชื่อท่านหรอก!”

  เมื่อนั้นชายหนุ่มก็รุดตัววิ่งออกไปจากห้องทันที สิ่งที่เขากำลังคือการวิ่งหนีจากโครนอส วิ่งหนีจากสิ่งที่กษัตริย์กล่าวว่าเป็นความจริง เขาวิ่งกระแทกประตูห้องอย่างแรงก่อนที่จะรุดตัวออกไปตามทางเดินโล่งโดยที่ราชาไม่สามารถตามตัวได้ทัน เสียงฝีเท้าดังกึกก้องทั่วทางเดินอย่างหนักแน่นเต็มเปี่ยมไปด้วยความโมโหและความกลัว ไม่นานนักข้ารับใช้เซรดริกก็ค่อยๆ เดินเข้ามาที่ห้องรับแขกด้วยความสงสัยในขณะที่ราชากำลังเดินออกมาด้วยสีหน้าที่ไม่สบอารมณ์เอาซะเลย

“จะให้ข้าไปตามตัวเขามาให้รึเปล่าขอรับ?” ข้ารับใช้ถาม
“ไม่ต้องหรอก”

------------

  พายุทะเลทราย ตัวกาลหนึ่งที่ทำให้ดินแดนทะเลทรายแห่งนี้กลายเป็นถิ่นแห้งแล้งและยากต่อการสัญจร เศษฝุ่นควันทำให้ตาของคนขับรถม้ารู้สึกระคายเคืองแต่ถึงกระนั้นเขานยังมุ่งหน้าต่อไปโดยที่ไม่คิดจะหยุดพัก ภายในรถม้าก็มีชายหนุ่มนักปราชญ์ที่กำลังพยายามจดเนื้อหาในส่วนหนังสือที่ชำรุดไป เหมือนกับว่ามันเป็นเนื้อหาข้อมูลสำคัญในการศึกษาค้นคว้าของเขา ข้างๆ ของเนลเรี่ยนก็มีหญิงสาวผมสีแดงนอนหลับอยู่ ดูเหมือนว่าชายหนุ่มผู้นี้จะยังไม่ได้สังหารหล่อนแต่อย่างใด กลับกันทำไมเขาถึงยกเธอมาไว้กับเขากัน ทั้งๆ ที่หญิงผู้นี้คือผู้ที่สังหารเพื่อนของเขาเสียด้วยซ้ำ หนุ่มผมทองเริ่มมีความรู้สึกเครียดจากสิ่งที่ทำ เขาวางปากกาทิ้งลง เอนหลังไปพิงที่นั่งบนรถสุดตัว เงยหน้ามองขึ้นเพดานที่ว่างเปล่าก่อนที่จะถอนหายใจออกมาอย่างเซ็ง ไม่รู้เพราะว่าเขายังรู้สึกเสียใจกับการจากไปของสหายเขาหรือจะเป็นเพราะข้อมูลหนังสือที่ยับเยินแบบนี้

  ไม่นานนักเขาก็หันไปหาหญิงสาวผมสีแดงด้วยสายตาที่ไม่ค่อยยินดีเท่าไหร่ อันที่จริงเธอก็ดูสวยเหมือนกันล่ะนะ ทั้งหน้าตาและทรวงทรงร่างกาย ดูๆ แล้วก็เหมือนจะยังอายุไม่มากเท่าไหร่เลย น่าจะช่วงวัยรุ่นอยู่เลยด้วยซ้ำ คงจะอายุพอๆ กับนักปราชญ์ผู้นี้เห็นจะได้ เขามองหล่อนไปสักพักก่อนจะหันกลับมา ส่ายหน้าเหมือนกับพยายามจะไม่คิดในสิ่งที่ตัวเองกำลังคิดอยู่ เขาจับปากกามาอีกครั้งเริ่มเขียนงานต่อไป ไม่นานนักพื้นก็สะเทือนจากการที่รถเหยียบหินเข้าทำให้ ปากกาที่ชายผมทองจับขีดออกนอกเส้นจนเสียงานอีก เขาดึงกระดาษแผ่นนั้นออกจากหนังสือ กำมันจนเป็นก้อนและโยนลงพื้นไปด้วยความโมโห นี่น่าจะเป็นแผ่นที่ห้าแล้วที่เขาทำแบบนั้น เนลเรี่ยนกุมขมับด้วยความโกรธ โมโหกับสิ่งที่เกิดขึ้นและถอดหายใจอีกครั้ง

“บ้าจริง!” เขาสบถอย่างดังและหันไปหาสตรีผู้สีแดงอีกครั้ง “ฉันกำลังคิดอะไรอยู่เนี่ย...”
“ให้ตายสิ... ทำไมถึงซวยขนาดนี้กัน!”

  หญิงสาวข้างกายของชายผมทองเริ่มสะลึมสะลือ เธอค่อยๆ ลืมตาขึ้น ท่าทางเหมือนกับว่าเสียงคำรามด้วยความโกรธาของเนลเรี่ยนจะทำให้เธอตื่นจากการหลับไหล เธอมองไปเห็นชายที่เธอเพิ่งพ่ายจากการต่อสู้กำลังกุมหัวเครียดกับงานที่อยู่เบื้องหน้า ทันใดนั้นเธอก็แสดงอาการตกใจอย่างเห็นได้ชัดและถอยฉากออกไปจนติดกับมุมรถ เสียงขยับตัวดังของเธอนั้นสร้างความตกใจให้แก่ชายหนุ่มเหมือนกัน เขาหันกลับมามองที่เธอ สีหน้าของเขาแสดงออกไปเป็นสิ่งเดียวกับที่เธอทำ เนลเรี่ยนค่อยๆ ลดมือที่กำหัวตัวเองไว้ลงในขณะที่หญิงสาวผมแดงยังคงอึ้งอยู่ ในหัวของเธอมีแต่ความคิดที่ว่าเธอมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร และชายผู้อยู่เบื้องหน้าหล่อนนี่คือใครกัน และที่สำคัญคือที่นี่ที่ไหน

“ทะ.... ท่านเป็นใครกัน?!” เธอตะโกนถามด้วยความตกใจ
“ข้า?” เขากล่าวขึ้น “ข้าน่าจะถามว่าเจ้าคือใครเสียมากกว่านะแม่สาว”
“หมายความว่าเยี่ยงไรหรือคะ?”
“ก็อยู่ดีๆ เจ้าโผล่มาจากไหนไม่รู้แล้วทำร้ายข้า แถมหน่ำซ้ำยังฆ่าสหายของข้าตายอีก”

  เขาพูดขึ้นโดยที่กางมือออกเหมือนกับเป็นการอธิบายโดยใช้อารมณ์ เมื่อเธอเห็นเขาขยับตัวแล้ว เธอก็พยายามถอยฉากออกไปแต่ก็ไม่สามารถที่จะทำได้ แผ่นหลังของเธอติดกับแผ่นไม้ที่ใช้เป็นกำแพงรถ ทางด้านเนลเรี่ยนเองก็งุนงงกับสิ่งที่เธอกระทำ ราวกับว่าเขาดูเหมือนพวกโรคจิตที่จับผู้หญิงมาเพื่อทำกิจกรรมมิดีมิร้ายต่อเธอ แต่คำพูดเมื่อครู่ทำให้เธอรู้สึกอึ้งเสียมากกว่า ฆ่าคนงั้นหรือ? แถมยังเป็นคนที่เป็นเพื่อนของเขาอีกตะหาก แล้วถูกจับตัวมาแบบนี้ย่อมทำให้เธอรู้สึกไม่ดีอย่างแน่แท้

“ฆ่า? ท่านหมายความว่ายังไงกัน? แล้วทำไมตัวข้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้? แล้วเจ้าคิดจะทำอะไรกับข้า?”
“โว้วๆๆๆ” เขาสถบคำอุทานเหล่านั้นขัดขึ้นมา “นี่เจ้าไม่รู้เรื่องอะไรเลยยังงั้นหรอ?”
“ข้าจะไปรู้ได้เยี่ยงไรล่ะคะ หลังจากที่ข้าตื่น...” แต่แล้วจู่ๆ เธอก็หยุดพูดไปสักพัก “ข้าควรจะอยู่ในวิหารแห่งโคล' ริมนี่หน่า...”
“ข้าไม่รู้ว่าเจ้าพูดเรื่องอะไรหรอกนะ” เนลเรี่ยนกล่าว “แต่ลมปราณเจ้าแตกซ่าน... อาการหนักพอควรเลยล่ะ”
“ฟังนะ..” เนลเรี่ยนกล่าวแล้วพยายามรุดตัวเข้าไป

“อย่าเข้ามานะคะ!”

  ชายหนุ่มผมทองหยุดตามที่เธอกล่าว ถอยฉากออกไปและยกไหล่ขึ้นเหมือนกับไม่ได้ดั่งใจในสิ่งที่เป็น เขาถอนหายใจอีกครั้งอย่างไม่พอใจและพยายามทำให้จิตของเขากลับมาสงบอีกครั้ง ดูเหมือนว่าการกระทำนั้นจะทำให้หญิงสาวเริ่มลดความกดดันลง เธอหยุดเกร็งตัวที่จะสู้แต่อาการเหล่านั้นก็ทำให้หล่อนสงสัยกับตัวเองว่าทำไมเธอถึงไม่สามารถเปล่งปราณออกมาได้ อันที่จริงแล้วการแสดงอารมณ์ต่างๆ ย่อมก่อให้เกิดปราณอ่อนๆ ไปถึงระดับสูงได้เช่นกัน แต่มันกลับไม่เกิดขึ้นกับเธอเลยสักนิดแม้ว่าเธอจะตกใจหรือตั้งตัวที่จะขัดขืนผู้ชายคนนี้ ชายหนุ่มแหล่ตาไปมองเธออีกครั้ง พยายามที่จะไม่ให้เธอรู้ตัวว่าเขามองอยู่ ท่าทางตัวเธอเองก็จะไม่ทันสังเกตเหมือนกัน ไม่ทันไรก็มีเสียงพื้นไม้ดังขึ้น เนลเรี่ยนรุดตัวเข้าไปหาเธออีกครั้ง หญิงสาวไหวตัวทันจึงใช้เท้าถีบร่างของเนลเรี่ยนล้มลงไป เขาค่อยๆ ลุกขึ้นมาร้องโอดโอยกับการถูกจู่โจมไปเมื่อครู่ ก่อนที่จะเข้าไปหาตัวเธออีกครั้ง ในตอนนี้เหมือนเขาจะพยายามทำอะไรสักอย่างแต่หญิงสาวเหมือนจะขัดขืนสุดชีวิต การกระทำของทั้งสองทำให้รถม้าสั่นโครงเครงสร้างความรำคาญแก่คนขับรถ แถมหล่อนยังกรี๊ดลั่นทำให้มันน่ารำคาญยิ่งกว่าเดิมเสียอีก

“ท่านนายเนลเรี่ยนขอรับ... ช่วยทำให้มันเบาๆ หน่อยไม่ได้หรือไง?” คนขับรถกล่าว

คำพูดของชายผู้นั้นทำให้หนุ่มผมทองแสดงอาการโมโหเสียยิ่งกว่าเก่า

“นี่ฉันพยายามจะช่วยเธอนะ!”
“ถอยออกไปนะคะ!” เธอตะโกนและถีบเข้าไปกลางท้องของเนลเรี่ยนอีกครั้ง มันทำให้เขาโมโหเต็มทน
“ต้องการแบบนี้ใช่ไหม?...”

  ชายหนุ่มผมทองเปล่งปราณออกมาจากแขนข้างขวาของเขา ก่อนที่จะก่อนเป็นก้อนปราณน้ำแข็งเล็กๆ ไม่นานนักเหล่าปราณนั้นก็พุ่งใส่แขนทั้งสองข้างของสตรีผู้นั้น แขนของหล่อนถูกแช่แข็งด้วยน้ำแข็ง มันติดกับพื้นจนเธอไม่สามารถขยับร่างมันได้ สีหน้าของเนลเรี่ยนเริ่มดูจริงจังมากกว่าเดิม ในตอนนี้หญิงสาวกางแขนทั้งสองข้างออกโดยที่เธอทำอะไรกับมันไม่ได้เลย หนุ่มผมทองยื่นมือไปที่หน้าอกเธอ เขาพยายามจะหยิบสร้อยทองของเธอ หญิงผู้นั้นมองมือข้างนั้นของเนลเรี่ยนและดิ้นขัดขืนสุดตัว ชายหนุ่มกำลังจะคว้าสร้อยคอนั่นได้แต่แล้วเธอก็ใช้เท้าถีบร่างของชายหนุ่มอีกครั้ง เขาทรุดลงไปหน้าฟาดลงเต็มหน้าอก เธอกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง แต่นักปราชญ์ผู้นี้ก็จับสร้อยคอนั่นได้แล้ว

“เจ้าโรคจิต!” เธอตะโกนขึ้นซะดัง

ไม่นานนักที่มือของชายผมทองก็มีปราณไหลออกไปสู่สร้อยนั่น มันทำให้เธองุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น

“จะ... เจ้าทำอะไรน่ะ?” เธอเอ่ยถามขึ้น

  ทันใดนั้นหนุ่มผมทองก็ปล่อยมือออกจากสร้อยคอทอง พยุงตัวขึ้นมาด้วยความมึน เขาสูดหายใจเหมือนกับขาดอากาศมาเป็นเวลาสักพัก จากนั้นเขาก็ถอนหายใจอีกครั้ง นี่มันก็หลายครั้งแล้วที่เขาทำแบบนี้ เมื่อนั้นน้ำแข็งที่เกาะแขนทั้งสองข้างของหล่อนก็ค่อยๆ ละลายและหายไปเหลือเพียงแค่หยดน้ำในที่สุด เธอค่อยๆ ลุกขึ้นมาและรู้สึกถึงพลังที่ได้รับ ไม่สิ! มันดูเหมือนว่าพลังปราณที่หายไปเมื่อครู่จะกลับคืนมาแล้วเสียมากกว่า เนลเรี่ยนนั่งลงที่นั่งในรถม้าก่อนที่จะเอาแขนพาดขอบของเก้าอี้ยาวนั้น ในขณะที่เธอจ้องมองเขา

“เมื่อกี้ท่าน.... ทำอะไรกับสร้อยของข้าหรือคะ?”
เนลเรี่ยนหันไปมองเธอด้วยความเหน็ดเหนื่อย “นี่เธอไม่รู้หรอ?”

เธอส่ายหน้าตอบกลับด้วยการกระทำแทนคำพูด

“ให้ตายสิ...” เนลเรี่ยนสบถพร้อมกับส่ายหน้าเบาๆ “ดูท่าแล้วมันจะไม่ใช่ของๆ เธอซะทีเดียวสินะ”
“ไปได้มาจากใครล่ะนั่น?” เขาถาม “สร้อยนั่นน่ะ”
“ตัวข้าได้มาจากนายท่านโคล....” ไม่ทันไรเธอก็ชะงักคำพูดตัวเอง “ข้าหมายถึง.. ข้าขโมยมาจากท่านๆ หนึ่งนะคะ”

เนลเรี่ยนมองตาของเธอราวกับไม่ค่อยจะเชื่อเท่าไหร่นัก เขากอดอกและยังแสดงสีหน้าแบบนั้นต่อ

“งั้นหรอ?” เขาถาม
“แต่ช่างมันเถอะ...” เขาพูดต่อ “งั้นข้าก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่เจ้าจะไม่รู้ว่าข้าทำอะไรลงไปเมื่อครู่”
“แล้ว.... ท่านกำลังอะไรกับตัวข้าไปเมื่อครู่ล่ะคะ?”
“ข้าถ่ายปราณลงสู่สร้อยคอเพื่อปิดการทำงานของสร้อยเส้นนั้น” เนลเรี่ยนกล่าว
“สร้อยคอเส้นนั้นมีไว้ใช้สำหรับคนที่มีลมปราณสูงเกินกว่าที่จะควบคุม ใช้ในยามที่ตนคิดว่าจะไม่สามารถคุมปราณได้”
“ระบบการทำงานของมันจะทำให้ผู้ใส่ไร้ปราณไปชั่วขณะเพื่อที่จะสามารถคุมจิตกลับมาได้อีกครั้ง” เขากล่าว “แต่มันจะทำงานไปเรื่อยๆ จนกว่าจะมีใครก็ตามที่ถ่ายปราณใส่สร้อยคอเพื่อปิดการทำงาน”
“และตัวเจ้าก็ไร้ซึ่งปราณที่จะปิดระบบมัน เพราะฉะนั้นแล้วข้าจึงต้องทำไง”

  สาวผมแดงรู้สึกเหมือนจะเข้าใจกับการทำงานของสร้อยคอนั้น ราวกับว่าครั้งที่เธอได้มาในครั้งแรกเธอจะไม่รู้ถึงมันเลยสักนิด เธอนั่งลงที่นั่งอีกฝั่งและจ้องหน้าของหนุ่มผมทองที่ก้มตัวลงไปเขียนงานหนังสือเขาต่อ

“ข้ามีข้อสงสัยอยู่สองอย่าง” เธอกล่าว “ข้อแรก... ทำไมท่านถึงพาข้ามาที่นี่?”
“ถ้าข้าจำไม่ผิด ท่านบอกว่าข้าสังหารมิตรสหายของท่านนิ” เธอพูดต่อ
“เธอลมปราณแตกซ่าน” เขาตอบ “มันไม่ใช่ความผิดเธอซะหน่อยที่จะคลั่งไปฆ่าใครตาย”
“และอีกอย่าง... เธอมีสร้อยคอนั่น แสดงว่าเธอย่อมไม่ใช่พวกธรรมดาอยู่แล้ว”
“หมายความว่าเช่นไรหรอคะ?”
“ก็... เธออาจจะเป็นตัวอย่างชั้นดีในการศึกษาประวัติศาสตร์แห่งโพรโตเนี่ยนก็ได้”

“งั้นหรอคะ?” เธอเอ่ยขึ้นพร้อบกับเอามือเท้าคาง และยังจ้องหน้าของเนลเรี่ยน
“อะไร?” เขาถาม
“เปล่าคะ”
“แล้วข้อสองล่ะ?” เนลเรี่ยนถาม
“เอ... ช่างมันเถอะ” เธอตอบ “เอาเป็นว่าเรากำลังจะเดินทางไปจะดีกว่าคะ”

เนลเรี่ยนมันหน้าขึ้นไปมองหล่อน หยุดเขียนหนังสือของเขา

“เราจะไปสตอร์มโฮล์ม”
ขึ้นไปข้างบน Go down
https://www.facebook.com/BillAlfenolf
 
Cataclysm: The Endless Hellfire III
ขึ้นไปข้างบน 
หน้า 1 จาก 1
 Similar topics
-
» Cataclysm: The Endless Hellfire IV
» Cataclysm: The Endless Hellfire XXI
» Cataclysm: The Endless Hellfire V
» Cataclysm: The Endless Hellfire VI
» Cataclysm: The Endless Hellfire XL

Permissions in this forum:คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
Bloody Wrestling Online :: BWO : Special Event :: BWO Novel-
ไปที่: