Bloody Wrestling Online
Would you like to react to this message? Create an account in a few clicks or log in to continue.

Bloody Wrestling Online

The Number One Cyber Wrestling Online
 
บ้านPortalLatest imagesสมัครสมาชิก(Register)เข้าสู่ระบบ(Log in)

 

 Cataclysm: The Endless Hellfire XVII

Go down 
ผู้ตั้งข้อความ
Neferpitou
Moderators
Moderators
Neferpitou


จำนวนข้อความ : 552
Join date : 05/12/2012
Age : 27
ที่อยู่ : The Facility of Banned Organizer

Cataclysm: The Endless Hellfire XVII Empty
ตั้งหัวข้อเรื่อง: Cataclysm: The Endless Hellfire XVII   Cataclysm: The Endless Hellfire XVII EmptyMon Oct 31, 2016 9:47 pm

Cataclysm: Endless Hellfire
Act XVII

------------

“ให้ตายสิ! นี่มัน... บ้าชัดๆ”

  เสียงของชายผู้หนึ่งกล่าวสบถขึ้นมาเสียงดัง พลางเดินไปท่ามกลางผืนหญ้าในดินแดนป่าที่เป็นที่ตั้งของดินแดนสตอร์มโฮล์ม มันเป็นช่วงเช้าของวันใหม่ ช่วงเวลาเดียวกับครั้นยามที่ลูเซียสสนทนากับผู้เป็นพ่อของตน ผืนหญ้าป่าพงไพรนั้นเหมือนถูกราดไปด้วยเลือดสีแดงฉานทั่วทั้งปฐพี โลหิตของปีศาจที่บุกจู่โจมเนลเรี่ยนและชารอนต่างไหลไปทุกหนทุกแห่งพร้อมกับศพปีศาจขนาดใหญ่บ้าง น้อยบ้าง สัตว์ปีกกลายพันธุ์จากพลังแห่งความตายบ้าง ผู้หวังจะเดินทางไปยังดินแดนทับทิมทั้งสองรอดมาจากเหตุการณ์ครั้งนั้นได้ ดูเหมือนว่าพวกเขาจะได้รับบาดแผลเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น บวกกับได้รับความช่วยเหลือจากนักดาบใหญ่เมื่อครู่ เขาแลดูจะไม่ใช่ศัตรูของชายหญิงคู่นั้นเสียเท่าไหร่ เสียงเมื่อครู่ที่สบถออกมานั้นก็หาใช่เสียงใครที่ไหนนอกจากหนุ่มนักปราชญ์นามเนลเรี่ยน สีหน้าของเขาดูไม่ค่อยดีเสียเท่าไหร่ ใบหน้าได้รับรอยข่วนจากกรงเล็บสัตว์ร้ายมา แต่นั่นหาใช่ประเด็น เหตุที่เขาทำสีหน้าแบบนั้นเหมือนจะเป็นเพราะสิ่งที่ประจักษ์อยู่ต่อหน้าของเขาเสียมากกว่า

  ชายผมทองมองลงดูที่ผืนหญ้าแหล่งที่มีศพปีศาจนอนเรียงรายอยู่ เหมือนกับว่าพบกับอะไรที่พิศวงน่าดู ก่อนที่ตนจะคุกเข่าลงไป ใช้มือข้างหนึ่งจับศพนั้นดู หญิงสาวที่เนลเรี่ยนเดินทางมาด้วยเห็นสภาพของชายผู้นั้นแลดูแปลกๆ เธอจึงเดินเข้าไปหาเขาในทันที ราวกับกำลังสงสัยในสิ่งที่เนลเรี่ยนกำลังทำอยู่ ชารอนเดินไปช้าๆ ก่อนจะหยุดอยู่ที่เบื้องหลังของชายหนุ่มผมทอง ก่อนจะกล่าวถาม

“มีอะไรงั้นหรือคะ?” เธอถามเนลเรี่ยนในทันที
“ศพพวกนี้.. ปีศาจที่เราเพิ่งสู้ด้วยเมื่อครู่นี้..” เนลเรี่ยนพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูจริงจังมาก
“มันเป็นมนุษย์”

  เธอเงียบไปหลังจากวาจานั้นถูกเปล่งออกมาจากปากของนักปราชญ์ ถึงกระนั้นหล่อนก็หาได้มีความตกใจอะไรเลย กลับกันดูเหมือนจะเข้าใจเสียด้วยซ้ำ เธอหันไปมองศพอื่นๆ ดูซึ่งก็พอสังเกตในบางส่วนได้ว่ามันมีโครงที่ดูเหมือนกับมนุษย์มาก เหล่าปีศาจร่างยักษ์ที่เพิ่งพอสู้ด้วยเมื่อคืนก่อนนั้น แม้ว่ามันจะดูเหมือนสัตว์ป่าที่ยืนสองขา หากนึกภาพง่ายๆ ก็คงเป้นราชสีห์ผิวสีแดง มีปราณแห่งบาปไหลเวียนทั่วร่าง แต่สิ่งที่แปลกคือหากราชสีห์หรือสัตว์โดยมากมักจะเดินสี่ขากันซะส่วนใหญ่ ในยามต่อสู้และแสดงสัญชาตญาณที่แท้จริงของพวกมันออกมา มันก็คงมีบ้างล่ะที่จะมีโอกาสที่เคลื่อนไหวเหมือนกับร่างดั้งเดิมของพวกมัน แต่จากที่พวกเขาได้ประสบในการต่อสู้เมื่อคืนนั้น เหล่าปีศาจที่เดินสองขานั้นมีท่าทางราวกับมนุษย์ทุกประการ แน่นอนว่ามันต่างจากตัวแรกที่ชารอนพบเจอยามเธออาบน้ำ ทั้งการตั้งท่า การจู่โจม การเคลื่อนไหว มันเหมือนกับมนุษย์ยามออกหมัดเพื่อปกป้องชีวิต และซัดศัตรูเลย

  มันอาจจะเป็นเหตุผลที่ดูเข้าท่าก็ได้ถ้าเกิดเนลเรี่ยนจะสันนิษฐานว่าคนพวกนั้นกลายพันธุ์กลายเป็นปีศาจ เพราะพลังแห่งบาปก็เป็นหนึ่งในธาตุที่หยั่งถึงได้อยู่แล้ว อย่างในตำนานเคยเขียนไว้ในหนังสือโบราณ ในโพรโตเนี่ยนมีพลังธาตุพิเศษที่เหนือความคาดหมายอยู่สามอย่าง นั่นคือพลังแห่งเลือด วอยด์ และพลังแห่งบาป ปราณแห่งความตายนั้นถูกคิดค้นด้วยอสูรเพลิงวิปลาสหรือไซอาลอทเอง มันจึงเป็นพลังธาตุที่มีมาได้ไม่นานนัก แต่ความสามารถของมันเรียกได้ว่าลึกลับที่สุดในพลังธาตุทั้งหมดในโลกนี้ มันสามารถใช้ความชั่ว ความมืดครอบงำอะไรก็ตามที่มันต้องการและเปลี่ยนเป็นตามที่ต้องการได้ เช่นในกรณีนี้คืออาจจะมีใครสักคนใช้ปราณแห่งบาปเปลี่ยนสภาพของมนุษย์บริสุทธิ์ให้เป็นเครื่องจักรสังหารเพื่อจะฆ่าล้างผู้อื่น ทั้งนี้มันก็เป็นแค่ทฤษฏีเบื้องต้นที่คนอย่างเนลเรี่ยนจะรู้อยู่แก่ใจ ในตอนนี้นักปราชญ์ยังคงนั่งพิสูจน์อยู่ว่าสิ่งที่เขากล่าวไปเป็นจริงหรือไม่

  ดูเหมือนว่าเนลเรี่ยนจะไม่ยอมไปไหนง่ายๆ แน่หากเขาไม่ได้ข้อพิสูจน์ที่ตนเพิ่งกล่าวไปว่ามันเป็นจริงหรือไม่ เขายังคงทำทุกอย่างเพื่อให้มั่นใจว่ามันถูกต้อง ไม่นานนักก็มีบุรุษผู้หนึ่งเดินมาจากทางด้านหลัง เขาเป็นนักดาบเมื่อคืนก่อน ผู้มีดาบขนาดใหญ่ยักษ์ที่สามารถสะบั้นคอของยักษ์ได้เพียงแค่ฉับเดียว พร้อมกับหัตถ์เหล็กไหลสีแดงแกร่งกล้า เขายืนกอดอกมาแต่ไกล ไม่ทันไรหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างหลังเนลเรี่ยนก็หันไปหาชายผู้นั้น แม้ว่าเขาจะอยู่ไกลพอควรก็ตามที คงจะเป็นเพราะเสียงเกราะเหล็กและดาบกระทบกันอยู่ตลอดเวลาจึงทำให้เธอได้ยินเสียงเขาจากระยะไกล ชารอนมองเขาโดยไม่กระพริบตาเลย หล่อนรู้สึกถึงอะไรบางอย่างในตัวเขา บอกไม่ถูกเหมือนกันว่ามันคืออะไร แต่มันดูไม่เป็นมิตรเสียเลยกับท่าทางเงียบๆ ขรึมๆ อะไรแบบนั้น เขาเดินมาใกล้ตัวของเธอ มองหน้าหญิงผมแดง

“เจ้านั่นพยายามทำอะไรยังงั้นหรือ?” ชายผู้นั้นกล่าวถามขึ้นมาก่อน

ชารอนแสดงอาการที่ดูแปลกใจเล็กน้อย คงจะเพราะท่าทางของชายผู้นั้นดูไม่เหมือนคนที่จะเกริ่นการสนทนาเลยสักนิด

“เหมือนกับกำลังพยายามชันสูตรศพปีศาจเหล่านั้นน่ะค่ะ” เธอกล่าวตอบ
“ด้วยเหตุผลอันใด?”
“ดูเหมือนท่านเนลเรี่ยนจะเชื่อว่าปีศาจเหล่านั้นคือมนุษย์น่ะค่ะ”
“หึ” เขาเปล่งลมหายใจออก “แน่นอนสิว่าพวกนั้นเป็นมนุษย์...”

วาจานั้นทำให้ชายหนุ่มและหญิงสาวคู่นั้นหันไปหานักดาบใหญ่ผู้นั้นทันที ทางด้านของเนลเรี่ยนเหมือนจะแสดงสีหน้าที่ไม่ค่อยพอใจเสียเท่าไหร่นักที่ได้ยินแบบนั้น

“เจ้ารู้ได้ยังไง?” เนลเรี่ยนถาม
“ข้าล่าพวกมัน... ปีศาจน่ะ ข้าล่าพวกผู้ใช้พลังบาปทั่วทั้งดินแดนแห่งเอสซิโอนิค”
“ด้วยประสบการณ์ที่ข้าล่ามันมานาน ข้ามองออกว่าพวกไหนคือมนุษย์กลายพันธุ์หรือปีศาจแท้จริง” เขาตอบ

“ล่า... หรือว่าเจ้าคือ..” ชายหนุ่มกล่าวขึ้นมาอีก
“ดาบใหญ่ล่าปีศาจ ข้าเดาว่าพวกเจ้าคงจะเคยได้ยิน..”
“ใช่” เนลเรี่ยนตอบ
“ไม่..” ชารอนกล่าวขึ้นในช่วงเวลาเดียวกัน

  เนลเรี่ยนหันขึ้นไปหาหญิงสาว แสดงสีหน้าตกใจราวกับว่าเธอไปอยู่ที่ใดมาถึงหาได้รู้ถึงชื่อเสียงของชายผู้นี้ ดาบใหญ่ล่าปีศาจ... บางคนก็บอกว่ามันเป็นแค่เรื่องหลอกเด็กเพื่อหวังให้ผู้คนบริสุทธิ์มีความหวังที่จะเผชิญวันใหม่ข้างหน้าในโลกอันโหดร้ายแบบนี้ แต่แท้จริงแล้วมันคือเรื่องจริงเสียยิ่งกว่าจริง ว่ากันว่าชายผู้นี้คือคนที่ล่าปีศาจในยุคปัจจุบันและสังหารมันด้วยตัวคนเดียวไปมากกว่าครึ่ง บ้างก็ล่าเหล่าผู้ใช้พลังบาปด้วยดาบใหญ่หนักเกือบตัน หลายคนมักจะบอกว่าชายผู้นี้มีกำลังเหนือมนุษย์ บางคนที่เคยเห็นด้วยตัวเองก็พูดกันเป็นเรื่องเล่าว่าเขาสามารถกวัดแกว่งดาบใหญ่นั้นด้วยมือเพียงแค่ข้างเดียว ที่มาของดาบนั้นหารู้ไม่ว่ามาจากที่แห่งใด แต่ด้วยความที่มันดูเป็นเอกลักษณ์พิเศษ จึงทำให้เขาดูได้รับนามดาบใหญ่มาจากอาวุธชิ้นนั้น เขาเคยเหยียบย่ำถิ่นฐานของเหล่าผู้ใช้พลังบาปเองครั้งหนึ่ง ดินแดนอ่าวแคบที่แตกแขนงไปร้อยสาย ดินแดนนามเชตเตอร์เรท ฟิโหยด ว่ากันว่าเกือบสังหารผู้ใช้พลังบาปจนหมด แต่อย่างที่ทราบ ไม่มีใครสามารถเหยียบสู่ผืนดินโดยรอบหอคอยแห่งความตายนั่นได้ เขาจึงไม่เคยที่จะประลองกับเบลล์ด้วยตัวเองมาก่อน

  ที่มาของชายผู้นี้นั้นเคยถูกเล่ากันว่าเขามาจากเชตเตอร์เรท ฟิโหยดเอง เกิดที่นั่นและเป็นนักรบในที่แห่งนั้น ด้วยความที่เกิดในดินแดนแห่งปีศาจเขาจึงถูกกดขี่เป็นอย่างมาก บ้างก็ถูกเชื้อเชิญให้เข้าร่วมกลุ่มผู้ใช้พลังบาป แต่เขาปฏิเสธและเข้าร่วมกับกองกำลังหนึ่งที่ทำงานเป็นทหารรับจ้าง แต่มีอยู่วันหนึ่งที่สหายของชายผู้นี้ถูกสังหารด้วยน้ำมือของปีศาจจนหมดสิ้น เหลือเพียงแค่เขา... ผู้รอดเพียงหนึ่งเดียว มันจึงเป็นที่มาของเรื่องเล่าดาบใหญ่ล่าปีศาจ แน่นอนว่าใครๆ ก็รู้เรื่องนี้อย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่หรือคนแก่เฒ่าก็ย่อมรู้ได้ ในเอสซิโอนิคนี้ย่อมรู้จักชื่อเสียงของเขาทุกคนยกเว้นเสียแต่หญิงสาวผมแดงผู้นี้ที่หาได้รู้ถึงที่มา มันจึงสร้างความประหลาดใจให้แก่ตัวของเนลเรี่ยนและเจ้าตัวนักดาบเองในระดับหนึ่ง

“เจ้าไปอยู่ไหนมาเนี่ยถึงไม่รู้จักดาบใหญ่ล่าปีศาจ?” เนลเรี่ยนกล่าวถาม
“นี่ท่าน... อย่าลืมสิว่าข้าไม่ใช่คนจากยุคนี้”
“ข้าเพิ่งลืมตาดูโพรโตเนี่ยนได้ไม่ถึงสัปดาห์เลยนะ” เธอตอบกลับ
“เออใช่... ข้าลืมไปเอง”

“นี่พวกเจ้ากำลังพูดถึงเรื่องอะไรกัน?” ดาบใหญ่ล่าปีศาจกล่าวแทรกขึ้น

“ไม่มีอะไรหรอก.. จะว่าไปสิ่งที่เจ้าพูดมาจะทำให้ข้าเชื่อได้ยังไง..”
“ว่าคนพวกนั้นคือมนุษย์จริงๆ” เนลเรี่ยนกล่าวต่อ

  ทางด้านของนักดาบผู้นั้นแลดูเหมือนจะไม่ค่อยพอใจเสียเท่าไหร่ เหมือนกับว่าเขาไม่อยากจะตอบอีกรอบหรือตอบอะไรไปอีก เขาถอนหายใจออกก่อนที่จะเดินไปยังศพๆ หนึ่ง เหยียบร่างมันด้วยเท้าของเขา ปักดาบใหญ่ลงไปกลางอก ก่อนจะกระชากดาบกรีดร่างของมันออก สิ่งที่พวกเขาเห็นคือร่างขนาดเล็กภายในตัวของปีศาจที่ถูกหุ้มด้วยอวัยวะใหญ่ของปีศาจ แม้ว่าร่างเล็กนั้นจะไม่สามารถเห็นเป็นโครงชัดเจนได้ แต่มันก็พอจะมองออกว่ามันเป็นร่างมนุษย์ เนื้อเยื่อทุกส่วนของอสูรและร่างภายในติดต่อเข้าด้วยกัน เหมือนกับพยายามจะรวมกันเป็นหนึ่ง นี่คงจะเป็นหลักฐานที่บ่งบอกได้อย่างแน่ชัดว่าปีศาจที่พวกเขาทั้งสามเพิ่งต่อกรด้วยเมื่อคืนนี้เป็นคนจริงๆ

“การกลายพันธุ์มนุษย์.. ไม่สามารถไปถึงขั้นขีดสุดได้ มันจึงเหลือร่องรอยที่สามารถบ่งบอกได้ว่ามันคืออะไร”
“เนื้อเยื่อทุกส่วนพยายามจะรวมกันเป็นหนึ่ง แต่ปราณที่ฝังอยู่ในร่างมนุษย์จะแตกต่างกับปราณสัตว์ป่า”
“มันจะไม่ยอมเป็นพันธะกับสิ่งใดทั้งสิ้น”
“และสามารถสังเกตได้จากการเคลื่อนไหว สัญชาตญาณของปีศาจพวกนี้ยังคงเป็นมนุษย์ มันยังคงความเป็นคนทุกอย่างไว้”
“แค่มองแวบเดียวข้าก็รู้แล้ว” นักดาบผู้นั้นกล่าว

“ทั้งนี้.. จากที่ข้ารู้มา มันก็หาใช่ว่ามนุษย์ทุกคนจะไม่สามารถรวมเป็นหนึ่งกับพลังแห่งความตายได้” จู่ๆ นักดาบผู้นั้นก็กล่าวขึ้นมาต่อ

ประโยคที่กล่าวขึ้นโดยดาบใหญ่ล่าปีศาจนั้นทำให้เนลเรี่ยนเกิดคิดอะไรบางอย่างได้

“ลูเซียส..” เนลเรี่ยนกล่าวเบาๆ

  นามที่เนลเรี่ยนกล่าวไปเมื่อครู่คือสหายของเขา ชายผู้ที่สามารถรวมเป็นหนึ่งกับปราณแห่งความตายได้ หนึ่งในผู้พิเศษที่เหนือกว่าใครอื่น พลังแห่งดูบาร์นของเขาคือสิ่งที่สามารถผสานกับตัวผู้ใช้ได้อย่างสมบูรณ์โดยไร้ข้อกังขาใดๆ ดูเหมือนว่าคำพูดของเนลเรี่ยนจะทำให้นักดาบผู้นั้นได้ยิน เขาสงสัยกับสิ่งที่ชายผู้นั้นพูด และชารอนเองก็หันไปมองเนลเรี่ยนเช่นกัน ดูเหมือนว่าหญิงสาวก็ยังไม่รู้เช่นกันว่าลูเซียสเป็นหนึ่งในผู้ใช้พลังบาปเช่นกัน ด้านเนลเรี่ยนที่รู้ตัวว่ากำลังถูกมองอยู่ก็เกิดความสงสัยว่าเขาพูดอะไรแปลกๆ ออกไปหรือเปล่า แต่เหมือนสักพักเขาจะคิดอะไรได้

“เปล่าๆ ข้าแค่บ่นน่ะ”
“จะว่าไป หากเจ้ามั่นใจว่าพวกนี้คือมนุษย์... แล้วทำไมเจ้าถึงไม่ยั้งมือ..”
“หรือคิดที่จะช่วยเลย?” ชายหนุ่มผมทองถามต่อ

“ข้าไม่จำเป็นต้องคิดอะไรทั้งสิ้นครั้นยามเจอศัตรู ไม่เราก็มันที่จะรอด”
“ว่าไงนะ?!” เนลเรี่ยนกล่าวสวนอย่างไม่พอใจ
“ข้าไม่สนว่ามันจะเป็นคนหรืออสูร หากมันคือศัตรู.. ข้าก็ฆ่า!”

  เนลเรี่ยนลุกขึ้นยืนหลังจากวาจานั้นถูกกล่าวออกไป เขามองหน้าของนักดาบผู้นั้นอย่างไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ ส่วนทางนักดาบที่ตัวใหญ่กว่าเขามากก็ยืนกอดอก ทำท่าเคร่งขรึมดังเดิม แลดูคล้ายว่ากำลังรอฝ่ายเนลเรี่ยน ทางด้านชายหนุ่มเองก็เหมือนจะไม่มีความเกรงกลัวใดๆ เลย เขากำหมัดไว้แน่นบ่งบอกว่าจะจัดการชายผู้นี้ซะ หญิงสาวเห็นทางไม่ดีจึงเข้าไปใกล้ตัวของเนลเรี่ยน กระซิบหูของเขาและพยายามผลักเขาให้ถอยออกไปเบาๆ

“ข้าว่าท่านใจเย็นๆ ก่อนดีกว่า”
“ตอนนี้สิ่งที่สำคัญกว่าคือเราต้องไปยังดินแดนทับทิมนะคะ” เธอกระซิบเขา

  แม้เธอจะพยายามเกลี้ยกล่อมให้เนลเรี่ยนใจเย็นลง แต่ก็แลดูเหมือนว่าจะไม่ได้ผลตามที่หล่อนหวังไว้ ชายหนุ่มผมทองยังคงแสดงอาการไม่พอใจอยู่เช่นเดิม เธอมองลงไปที่หมัดของเขาที่กำไว้แน่น ที่หมัดข้างนั้นเห็นปราณเยือกแข็งก็แกะอยู่เป็นกลุ่ม เธอรู้สึกได้ว่าเขากำลังกำอะไรไว้ภายใต้มือข้างนั้นนอกจากว่างความเปล่า ราวกับว่ากำลังสร้างอะไรสักอย่างด้วยปราณแห่งน้ำแข็งหวังจะจู่โจมชายผู้นั้นที่พูดไม่ค่อยเข้าหูของเขา แม้ปราณแห่งความเย็นก็หาได้สงบเพลิงพิโรธในใจของชายผู้นี้ได้ ชารอนเห็นท่าไม่ดีจึงออกแรงดันตัวของชายผู้นั้นออกไปทันที

“ท่านเนลเรี่ยน... ข้าขอล่ะ สงบสติอารมณ์ลงก่อน” เธอกระซิบอีกครั้ง
“ก็ได้..” เขาตอบเบาๆ

  สิ้นวาจานั้นเขาก็แบมือทั้งสองข้างออก ค่อยๆ หายใจออกมาเป็นการสงบสติอารมณ์ ในมือข้างนั้นของเนลเรี่ยนที่ก่อปราณเมื่อครู่ได้มีวัตถุอะไรบางอย่างหล่นออกจากมือของเขา เธอสังเกตเห็นวัตถุนั้นตกลงที่ผืนดิน มันเป็นผลึกก้อนเล็กที่เต็มไปด้วยปราณแห่งความเย็น ด้วยแดดอันแรงกล้าในยามเช้าก็หาได้ทำให้มันละลายเลย ที่น่าแปลกคือมันเป็นก้อนผลึกสีดำแตกต่างจากทุกครั้งที่เนลเรี่ยนใช้พลังของเขา ชารอนหยิบวัตถุชิ้นนั้นขึ้นมาในขณะที่เนลเรี่ยนเดินห่างออกไป หยิบกระเป๋าผ้าของตนขึ้น ทางด้านของหญิงสาวที่ประจักษ์แก่สิ่งที่พบเจอในช่วงเวลานี้ หล่อนนึกถึงสิ่งที่โครนอสเคยกล่าวกับเธอไว้ในยามก่อนออกเดินทาง ปราณเยือกแข็งทมิฬ ทันใดที่เธอสัมผัสก้อนวัตถุนั้นก็รู้ตัวทันทีว่าชายผู้นั้นหาได้มีปราณธรรมดา เขาอาจจะเป็นหนึ่งในผู้มีพลังพิเศษก็ได้ แต่กระนั้นก็เหมือนเนลเรี่ยนจะไม่รู้ตัวเช่นกัน เธอเดินไปหาชายผมทองอีกครั้งก่อนที่เขาจะหันมาหาเธอ

“ข้าขอโทษด้วย” เนลเรี่ยนกล่าวต่อเธอ
“เมื่อครู่ข้าลืมตัวไปหน่อย... ข้าแค่.. คิดว่าเราอาจจะพอมีทางช่วยพวกเขา..”
“เมื่ออะไรก็ตามถูกกลายพันธุ์โดยพลังแห่งบาป มันจะไม่สามารถกลับคืนมาได้” นักดาบผู้นั้นกล่าวแทรกขึ้นมา
“ข้ารู้ว่าเจ้ารู้สึกยังไง แต่หนทางนี้มันเป็นวิธีเดียวที่จะให้พวกเขาพ้นทุกข์”

เนลเรี่ยนพยักหน้า พยายามจะยอมรับความจริงที่นักดาบผู้นั้นกล่าวออกไป

“ไปกันเถอะ” นักปราชญ์บอกกล่าวกับหญิงสาวที่เขาเดินทางมาด้วย

  เมื่อนั้นทั้งเนลเรี่ยนและชารอนก็ค่อยๆ เดินไปยังจุดพักของเขาที่ผูกม้าไว้ในบริเวณนั้น ทางด้านเนลเรี่ยนเดินไปโดยไม่สนใจอะไรเลย คงจะเพราะยังยอมรับความจริงที่นักดาบผู้นั้นกล่าวไปไม่ได้ ส่วนชารอนเองเมื่อเดินผ่านนักดาบ เธอก็แสดงความเคารพและคำขอบคุณต่อเขาที่ช่วยเหลือเมื่อคืน ก่อนที่จะเดินตามชายผมทองไป ทันใดที่พวกเขาไปถึงสถานที่ๆ พวกเขาต้องการ สิ่งที่พวกเขาพบเจอกลับเป็นยานพาหนะของพวกเขาที่ถูกสังหารโดยสิ้น ศพของอาชาทั้งสองตัวที่เดินทางมาพร้อมกับพวกเขาเหลือเพียงแต่ศพที่แทบจะเละเป็นชิ้นๆ ดูเหมือนว่าพวกมันจะโชคร้ายที่ถูกพบเจอโดยปีศาจและมันก็สังหารทิ้งอย่างไร้ปราณีก่อนที่จะไปพบเจอกับตัวเนลเรี่ยนและชารอนเอง เมื่อทั้งสองเห็นถึงสิ่งที่เกิดขึ้นก็แสดงความไม่พอใจออกมาอย่างชัดเจน เพราะม้าทั้งสองตัวนั้นคือหนทางเดียวที่พวกเขาจะไปยังดินแดนทับทิมโดยเร็วที่สุด หากเดินด้วยเท้าก็ใช่อยู่ว่าพวกเขาจะไปถึงได้ แต่มันใช่เวลานานเกินไป ถึงกาลนั้นคงจะสายเกินไปเสียแล้วก็ได้

  ไม่นานนักผู้ใช้ดาบยักษ์ก็เดินตามพวกเขามาจนถึง เขาดูไม่แปลกใจนักถึงสิ่งที่เกิดขึ้น ชายผู้นั้นยังคงกอดอกวางมาดท่าเดิมมาตามทาง เขาเห็นชายหญิงคู่นั้นแสดงความสิ้นหวัง ความโมโหออกมา เขาก็หาได้แสดงอาการอันใดเลยแต่กลับเดินตรงไปหาชารอนและเนลเรี่ยนอย่างไม่เกรงกลัว

“ข้าได้ยินเจ้าพูดว่าพวกเจ้ากำลังจะเดินทางไปยังดินแดนทับทิม” เขากล่าวต่อชารอน
“ใช่แล้วค่ะ” เธอตอบ “แต่พาหนะที่เราพามาด้วย.. ถูกฆ่าหมด”
“เปล่า” จู่ๆ ชายร่างใหญ่ผู้นั้นก็กล่าวขึ้น “มันถูกกินต่างหาก”
“รอยฟัน.. คราบน้ำลายที่เต็มไปด้วยสารกัดก่อนทำปฏิกริยากับเนื้อทุกส่วนที่ถูกสัมผัสกับมัน”
“ดูนี่สิ”

  นักดาบพูดพลางชี้ไปยังส่วนคอของม้าที่ถูกสะบั้นจนขาดออกจากอวัยวะส่วนตัว ที่ส่วนเนื้อส่วนนั้นดูแปลกไปจากส่วนอื่นๆ อย่างที่เขาว่าไปเมื่อครู่ ราวกับว่ามันทำปฏิกริยากับอะไรสักอย่างโดยที่นักล่าปีศาจผู้นั้นอ้างว่ามันทำปฏิกริยากับน้ำลายของอสูรร้าย ที่สามารถสังเกตได้คือเนื้อส่วนนั้นถูกกัดเป็นรูแปลกๆ คล้ายกับเวลาหนอนเจาะผลไม้ แต่มันเป็นรูเล็กๆ และมีมากมายจนไม่อาจจะนับได้ แถมเนื้อพวกนั้นยังสีเข้มกว่าส่วนปกติที่เหมือนจะถูกโจมตี ดูท่าแล้วสิ่งที่นักล่าผู้นี้กล่าวออกไปจะเป็นความจริง เพราะทุกส่วนที่มีความผิดปกตินั้นเป็นรอยคล้ายกับถูกกัดด้วยฟันขนาดใหญ่มากกว่าที่จะเป็นกรงเล็บหรือร่างกายส่วนอื่นของปีศาจ เมื่อเนลเรี่ยนและชารอนได้ยินคำอธิบายของนักดาบผู้นั้นก็รู้สึกเหมือนกับได้ความรู้ใหม่ เพราะนี่มันไม่ใช่เรื่องที่ใครจะเชี่ยวชาญกันทุกคน แม้ว่าบางคนที่คลุกคลีกับอะไรแบบนี้มานานก็ยังไม่สามารถรู้ได้ถึงขนาดนี้ อย่างที่รู้ว่าชารอนก็เคยสู้กับปีศาจพวกนี้มามากพอควร แต่หล่อนก็ไม่เคยแม้แต่จะสังเกตอะไรเลย ถ้าพูดให้ถูกเธอคงฆ่าทิ้งอย่างเดียวเสียมากกว่า กลับกันนักดาบผู้นี้กับรู้รายละเอียดแทบทุกอย่างราวกับเป็นผู้สร้างปีศาจเอง

“ท่านรู้เรื่องพวกนี้ซะละเอียดยิบได้ยังไงกัน... ข้าหมายถึงข้าก็เคยฆ่าปีศาจมานับพัน..”
“แต่ข้ากลับไม่รู้ถึงอะไรแบบนี้เลย” หญิงสาวถามนักดาบผู้นั้น

“เมื่อก่อนข้าก็เคยคิดแต่จะฆ่ามันนั่นแหละ” เขากล่าวตอบ
“แต่หากจะสังหารพวกมัน แค่ความพิโรธ ความอยาก ความแค้นมันไม่ได้ทำให้มันพวกหมดไปหรอกนะ”
“ส่วนตัวข้าแล้วคิดว่าหากจะฆ่าพวกมัน เราก็ต้องเข้าใจถึงหลักการพวกมัน”
“ข้าเชื่อว่าเหล่าผู้กลายพันธุ์พวกนี้ถูกดัดแปลงจากคนๆ เดียวในช่วงเวลาอันสั้น”

“แต่ว่าการที่จะทำแบบนั้นได้มัน..” ชารอนพูดขึ้นสวน
“สันนิษฐานได้ว่าคนๆ นั้นต้องมีพลังที่เกินความเป็นมนุษย์... เป็นปีศาจ” นักดาบตอบ
“แต่ว่ามันก็เป็นไปไม่ได้หรอกนะ” ไม่ทันไรเขาก็ตัดพ้อทันที
“มีสิ” เธอกล่าว ด้วยวาจานั้นทำให้นักดาบมองไปหาเธอทันที
“มีคนๆ นึงที่สามารถจะทำได้ เบลล์แห่งบาป..”

ด้วยนามที่ออกมาจากปากของเธอ มันทำให้นักล่าปีศาจเปลี่ยนท่าทีไปเลย เขาดูจริงจังกว่าเดิมมาก

“ข้านึกว่า.. ตัวตนของเขาไม่มีอยู่จริงเสียอีก” นักล่าปีศาจผู้นั้นพูด
“สื่อไง สตอร์มโฮล์มไม่คิดที่ัจะให้ใครตื่นตะหนกหรอก หากรู้ว่าปีศาจตนนั้นมีอยู่จริง”
“ข้าเคยได้ยินองค์ราชาพูดกับขุนนางของเขาน่ะ” เนลเรี่ยนกล่าวตอบ

“เรื่องนั้นช่างเถอะ ตอนนี้เหมือนเราจะมีปัญหาอื่นเสียมากกว่า ตอนนี้เราทั้งคู่ต้องรีบไปให้ถึงดินแดนทับทิมให้เร็วที่สุด” หนุ่มผมทองพูดต่อ
“พวกเจ้าจะไปที่แห่งนั้นด้วยเหตุอันใดกัน?” นักดาบกล่าวถาม
“ก็รู้ๆ กันอยู่ว่าไม่มีใครสามารถเหยียบย่ำที่แห่งนั้นได้ด้วยพลังที่มีหรอก”
“พวกเราได้รับหน้าที่ให้ไปสังเกตการณ์ที่นั่นน่ะค่ะ” ชารอนตอบ “พวกเราเชื่อว่าผู้ใช้พลังบาปคิดจะคืนชีพ...”

  จู่ๆ เนลเรี่ยนก็ใช้มือของเขาสัมผัสที่ไหล่ของหญิงสาว เธอหันไปมองเขาด้วยสายตาที่งุนงง เนลเรี่ยนตอบกลับโดยการส่ายหน้าของเขา ดูเหมือนว่าจะกำลังสื่อไม่ให้เธอพูดอะไรเกิดความจำเป็นสำหรับคนแปลกหน้าของพวกเขา ชารอนแลดูเพิ่งจะรู้ตัวว่าตนพูดเยอะเกินไปจึงเงียบปากลงในทันที ก่อนที่จะพยักหน้าตอบกลับชายหนุ่มผู้นั้น แน่นอนว่าการกระทำเหล่านั้นมันย่อมทำให้นักดาบสงสัยและเกิดความไม่พอใจแน่แท้ แต่การที่จะพูดออกไปน้อยเท่าไหร่ยิ่งจะดีเท่านั้น หากพูดมากไปเหล่าปรปักษ์ก็อาจจะไหวตัวทันก็เป็นได้ ถึงแม้ว่านักล่าปีศาจจะไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ที่ตนถูกขัดจังหวะในยามที่กำลังฟังเรื่องราวอยู่ก็ตามที เขาก็หาได้แสดงอาการแบบนั้นออกมา ในใจเขาเองก็คงจะเข้าใจว่าทำไม ไม่ทันไรเนลเรี่ยนก็เห็นสีหน้าของชายผู้นั้น เขารู้ตัวว่าเขากำลังเสียมารยาทต่อนักดาบ เมื่อนั้นนักปราชญ์ผมทองกล่าววาจาของตน

“ข้าต้องขออภัยด้วย แต่เราไม่อาจจะให้คนนอกรู้เรื่องได้” เขากล่าววาจาของตนเป็นการขอโทษและบอกถึงเหตุผลความจำเป็นว่าเหตุไฉนถึงไม่สามารถให้เธอพูดต่อได้
“ก็ได้” นักดาบตอบกลับ “แต่ข้าว่าข้าพอจะช่วยพวกเจ้าได้”
“ตามข้ามาสิ..”

  ทันทีที่นักล่าปีศาจพูดจบ เขาก็เดินนำทั้งสองไปตามผืนป่าให้ดินแดนไวด์ฟิลด์ ชายหญิงทั้งสองที่เดินทางมาด้วยกันแสดงทีท่าที่งุนงงเล็กน้อย พลางพูดคุยกระซิบกันราวกับว่ายังไม่ไว้ใจชายผู้นั้นยังไงยังงั้น แต่ท้ายที่สุดพวกเขาก็หาได้มีทางเลือกใดๆ นอกจากที่จะตามชายผู้นั้นไป ทันใดนั้นพวกเขาทั้งคู่ก็เริ่มเดินตามผู้ครองดาบใหญ่ผู้นั้นไปตามทาง ดูเหมือนว่ากำลังจะเดินเข้าไปในป่าลึก แสงแดดที่สาดส่องทะลุเข้ามาจากกิ่งไม้ใบหญ้าเริ่มหายไปทีละเล็กทีละน้อย เหลือเพียงแต่เงาของร่มไม้ที่บดบังแสงตะวันเหล่านั้น มันเริ่มมืดลงเรื่อยๆ ตามทางทุกครั้งที่พวกเขาย่างกรายไป ผ่านไปได้สักพักชายร่างกำยำก็หยุดตัวลง เบื้องหน้าของเขามีถ้ำแห่งหนึ่งอยู่ ไม่สิ... ถ้าจะพูดให้ถูกคือมันดูเหมือนจะเป็นอุโมงค์เสียมากกว่า พวกเขาสามารถเห็นทางเดินลาดลงไปสู่ใต้ดินคล้ายกับเหมืองแร่ที่ร้างเป็นเวลานาน มันค่อนข้างจะเป็นอะไรที่แปลกตาสำหรับชายหนุ่มและหญิงสาวทั้งสองที่จะมาเจออะไรแบบนี้ในผืนป่า ด้วยความสงสัยของชายหนุ่ม เขาจึงไม่รอช้าที่จะถาม

“ที่นี่มันคืออะไรกัน?” เขาถามขึ้น
“เจ้าพอจะมีความรู้น่าดู... ข้าคิดว่าเจ้าคงจะเคยได้ยินอุโมงค์แห่งมิติสินะ” นักดาบกล่าวถาม
“ก็เคย” เขาตอบ “แต่ไม่คิดว่ามันมีอยู่จริง”

  ทันใดที่เนลเรี่ยนพูดจบ นักดาบผู้นั้นก็เดินนำหน้าไปก่อนในทันที เขาเข้าไปในถ้ำแห่งนั้นก่อนที่จะทะลุกับอะไรสักอย่างที่ทางเข้า ดูเหมือนว่ามันจะเป็นปราณบาเรียอ่อนๆ ที่ไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า ไม่สามารถทราบได้ว่าจุดประสงค์ของสิ่งนั้นมีไว้เพื่อเหตุอันใด แต่ชายผู้นั้นเข้าไปได้โดยที่ไม่เป็นอันตรายใดๆ ดูท่าทั้งสองคนทั้งเนลเรี่ยนและชารอนยังคงไม่ไว้ใจถึงสิ่งที่ปรากฏอยู่ต่อหน้า ก่อนที่ชายผู้ที่อยู่ภายในถ้ำหินนั้นจะกวักมือเรียกพวกเขา แถมยังตะโกนวาจาอะไรสักอย่างออกมาด้วย แต่ผู้ที่อยู่ภายนอกมิอาจจะได้ยินมันแม้แต่เสียงแผ่วเบา ชารอนตัดสินใจเดินเข้าไปภายในถ้ำแห่งนั้นก่อน ทันทีที่หล่อนทะลุผ่านบาเรียนั้น ผิวของเธอรู้สึกถึงอะไรแปลกๆ ราวกับมีอะไรสักอย่างเข้ามาคลุมกายเธอ เธอรู้สึกขนลุกอย่างบอกไม่ถูกก่อนที่จะเดินผ่านมันเข้าไปได้ แน่นอนว่าชายหนุ่มผู้ผมทองผู้เป็นนักปราชญ์ยังคงไม่กล้าที่จะเข้าไป แต่หากยังคงรอไปก็คงเสียเวลาเสียเปล่าๆ เมื่อนั้นเนลเรี่ยนจึงเข้าไปในที่สุด

  เมื่อทั้งสามเดินลงไปตามทางที่ดิ่งลงไปยังใต้ดิน ที่รอบข้างถ้ำที่ไร้แม้กระทั่งแสงอาทิตย์หรือแสงไฟกลับมีแสงประหลาดผุดขึ้นมาตามทางคล้ายเป็นการนำทาง ประกายแสงรอบข้างกำแพงถ้ำ แต่มันหาใช่แสงที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติแถมยังมีสีประหลาดเป็นสีม่วงเหมือนกับลักษณะสีของพลังแห่งวอยด์เลย หากพูดโดยง่ายล่ะก็มันก็มีความรู้สึกเหมือนกับเดินอยู่ในมิติที่จะไปยังที่แห่งอื่นเลยก็ไม่ผิดเพี้ยน มันก็อาจจะเป็นอย่างนั้นก็ได้ ตามชื่อของมันที่นักดาบผู้นั้นกล่าว อุโมงค์แห่งมิติ มันเป็นหนึ่งในอีกเรื่องเล่าที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่ามันเป็นความจริงหรือไม่ ไม่สามารถรู้ได้ว่าใครเป็นคนสร้างมันมา ที่รู้ๆ คือมันอยู่ในดางดวงนี้มานับพันปีแล้ว ตามหนังสือมักจะเล่าว่ามันเป็นเหมือนกับเป็นถ้ำที่สร้างประตูดั่งรูหนอนที่ใช้ในการเดินทางอย่างรวดเร็วภายในโพรโตเนี่ยนแห่งนี้ คล้ายกับเป็นเครือค่ายในการเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ หากเลือกประตูมิติที่ถูกต้อง หรือเดินไปตามทางที่ต้องการ มันจะนำพาคนเหล่านั้นไปยังสถานที่ๆ พวกเขาต้องการ

ณ ตอนนี้ผู้นำทางได้เดินไปยังประตูมิติแห่งหนึ่งภายในถ้ำแห่งนั้น เขาหยุดตัวลงก่อนที่จะหันมาหาเนลเรี่ยนและชารอน

“ที่นี่แหละ” เขากล่าวขึ้น “ประตูที่จะนำพาพวกเจ้าไปยังดินแดนทับทิม”

  ภายหลังจากที่นักดาบผู้นั้นพูดจบไป เขาก็เดินทะลุไปยังประตูมิติแห่งนั้นในทันที เฉกเช่นเดียวกับชายหญิงคู่นี้ที่เดินตามหลังเขาไป ทันทีที่ผ่านมิติแห่งนั้นแล้ว พวกเขาไปโผล่ที่ปากถ้ำที่แลดูคล้ายกับทางเข้าที่พวกเขาเพิ่งเดินเข้ามาเมื่อไม่กี่นาทีก่อน ทั้งสามเดินออกจากปากถ้ำ พบกับป่าไม้อุดมสมบูรณ์อีกครั้ง แต่เบื้องหน้าของเขาสักประมาณร้อยเมตรกลับต่างออกไป มันหาได้เป็นป่าอุดมสมบูรณ์แต่เป็นผืนดินรกร้าง แห้งแล้ง ร้อนระอุและเต็มไปด้วยหินแหลมสีแดง มันคือดินแดนแห่งทับทิมที่พวกเขาหวังจะเดินทางมา สถานที่ๆ คนธรรมดามิอาจย่างกรายเข้ามาได้  

------------

“นี่! ตามหาตัวท่านเสียตั้งนานแหน่ะ”

  เสียงของชายหนุ่มผมดำดังขึ้นมาเบื้องหน้าของห้องๆ หนึ่งที่ถูกเปิดประตูเอาไว้ ซึ่งภายในห้องนั้นมืดทึบ แทบไม่มีแสงใดสาดส่องเข้าไปเลย ทันใดที่หนุ่มบรรณารักษ์ตะโกนขึ้น มันได้สร้างความตกใจให้กับผู้ที่อยู่ในห้องแห่งนั้น นั่นคือข้ารับใช้นามเซรดริก ดูเหมือนว่าเขากำลังทำอะไรสักอย่างอยู่ แต่ด้วยความมืดมิดนั้นจึงไม่ทำให้ลูเซียสหญิงสาวมาเดียร่าที่มากับเขามองเห็นได้ว่าชายผู้นั้นกำลังทำอะไร ทันใดที่เขาเห็นทั้งสองคนนั้นยืนอยู่หน้าห้อง ชายผู้นั้นก็แสดงท่าทีที่ลุกลี้ลุกลนเอามากๆ เดินมายังหน้าห้อง ก่อนจะมองทั้งสองคนด้วยสายตาแปลกๆ

“พวกเธอมาทำอะไรที่นี่งั้นหรอ? แล้วต้องการอะไร?” ชายผู้นั้นถาม
“พวกเราอยากจะให้ท่านช่วยอะไรเราสักอย่างหน่อยน่ะครับ” ลูเซียสตอบ
“ช่วย....” เซรดริกลากเสียงยาวด้วยความสงสัย

“ช่วยพวกเราออกไปยังนอกปราสาทหน่อยจะได้หรือเปล่าครับ?”
ขึ้นไปข้างบน Go down
https://www.facebook.com/BillAlfenolf
 
Cataclysm: The Endless Hellfire XVII
ขึ้นไปข้างบน 
หน้า 1 จาก 1
 Similar topics
-
» Cataclysm: The Endless Hellfire XI
» Cataclysm: The Endless Hellfire XII
» Cataclysm: The Endless Hellfire XLV
» Cataclysm: The Endless Hellfire XIV
» Cataclysm: The Endless Hellfire XXX

Permissions in this forum:คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
Bloody Wrestling Online :: BWO : Special Event :: BWO Novel-
ไปที่: