Bloody Wrestling Online
Would you like to react to this message? Create an account in a few clicks or log in to continue.

Bloody Wrestling Online

The Number One Cyber Wrestling Online
 
บ้านPortalLatest imagesสมัครสมาชิก(Register)เข้าสู่ระบบ(Log in)

 

 Cataclysm: The Endless Hellfire XXVI

Go down 
ผู้ตั้งข้อความ
Neferpitou
Moderators
Moderators
Neferpitou


จำนวนข้อความ : 552
Join date : 05/12/2012
Age : 27
ที่อยู่ : The Facility of Banned Organizer

Cataclysm: The Endless Hellfire XXVI Empty
ตั้งหัวข้อเรื่อง: Cataclysm: The Endless Hellfire XXVI   Cataclysm: The Endless Hellfire XXVI EmptySat Dec 17, 2016 11:47 pm

Cataclysm: Endless Hellfire
Act XXVI

------------

“ทะ.. ท่านแม่...” เสียงของชายหนุ่มกล่าวขึ้นมาสั่นๆ ด้วยความตกตะลึง
“แต่ว่า..”
“ท่านน่าจะตายไปแล้วนี่..”

  เนลเรี่ยนผู้ซึ่งเป็นบุตรของหญิงสาวผู้นี้ยังคงอยู่ในสภาพที่ตกใจอย่างบอกไม่ถูก เขาไม่คิดว่าจะเจอผู้หญิงคนนี้อีกครั้ง บวกกับสถานที่และเหตุการณ์แบบนี้แล้วยิ่งทำให้ความคิดแบบนั้นไม่มีอยู่ในหัวของเขา เขาไม่ได้ไม่ดีใจที่เห็นผู้เป็นมารดาของเขาเองอีกครั้งแต่เขาก็ไม่สามารถแสดงอาการดีใจออกมาได้ ความสงสัยและความอึ้ง อารมณ์เหล่านั้นได้ครอบงำทุกส่วนในความคิดของเขาจนหมด ต่างจากผู้เป็นแม่ของชายผมทองผู้นี้ เธอยิ้มแย้มด้วยรอยยิ้มอ่อนๆ ก่อนที่จะค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้เนลเรี่ยนอีกครั้ง เธอก้มลงหาบุตรของเธอที่นอนอยู่บนเตียง ก่อนจะเริ่มยกมืออันเรียวสวยของหล่อนไปหาลูกของเธอ มือข้างนั้นขยับไปใกล้คอของชายผู้นั้น เธอก้มลงดูที่ส่วนนั้นซึ่งเป็นส่วนที่เนลเรี่ยนสวมสร้อยคอล็อคเก็ตสีทอง หญิงผมสีน้ำเงินผู้นั้นจับล็อคเก็ตนั้นแล้วเปิดมันออก ชายหนุ่มผมทองก็หาได้ขัดขืนหรือแสดงท่าทีที่ดูรุนแรงตอบกลับไปแม้แต่น้อย ภายในนั้นมีรูปๆ หนึ่งอยู่ มันเป็นรูปสาวสวยในผมสีน้ำเงิน นั่นก็คือผู้ที่กำลังจับสร้อยคอนั้น... นั่นก็คือเธอผู้เป็นแม่ของเนลเรี่ยนเอง เมื่อเธอเห็นภาพๆ นั้นภายในตัวล็อคเก็ต หล่อนก็อดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้ เหมือนจะเป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูก ดูมีความสุข อบอุ่น

“จนถึงตอนนี้... เจ้าก็ยังคงเก็บมันไว้งั้นหรือ?” เธอกล่าวขึ้นมา
“ก็.. มีคนบอกให้ผมเก็บมันไว้ยิ่งชีพนี่นะ”
“แล้วคนในรูปนี้ก็คือแม่ของผมนี่” ชายหนุ่มตอบกลับ

“แต่ข้ายังคงสงสัย... ทำไมท่านถึง..”

ในขณะที่หนุ่มผู้นี้กำลังพยายามจะกล่าววาจาออกไป หญิงผู้เป็นแม่ได้ปล่อยมือออกจากล็อคเก็ต ยกมือข้างนั้นขึ้นเหนือริมฝีปากของบุตรเธอเอง ใช้นิ้วชี้จ่อริมฝีปากของเนลเรี่ยนไว้ทำให้เขาหยุดกล่าววาจานั้น

“เรื่องมันยาวน่ะลูกข้า” เธอกล่าวขึ้นตอบกลับลูกชายของตน
“แม่ว่าสิ่งที่กังวลใจเจ้าที่สุดหาใช่ตัวของแม่เองหรอก..”
“มันอยู่ตรงนี้ต่างหาก”

  เธอชี้ไปที่หน้าอกของชายหนุ่มผู้นั้น ซึ่งมันก็หมายถึงใจของเนลเรี่ยนเอง เขาไม่แน่ใจว่าเธอกำลังหมายถึงอะไร แต่เหมือนกับว่าหล่อนจะรู้สึกถึงสิ่งที่ชายหนุ่มผู้นี้กำลังครุ่นคิดอยู่ในใจ ตอนนี้เขาเป็นห่วงชารอนมากที่สุด ในหัวของเขาคิดแต่อะไรแบบนั้นตั้งแต่เมื่อเขาตื่นขึ้นมากจากการหลับไหลเป็นเวลานาน นั่นคือเหตุผลที่ทำไมชายหนุ่มผู้นี้จึงออกตัววิ่งหนีจากเด็กสาวทั้งสองคนเมื่อครู่นี้ การกระทำนั้นของนายหญิงผู้นี้ทำให้บุตรของเธอเขินอายไม่น้อย การที่ใครสักคนรับรู้ถึงความรู้สึกแบบนี้มันย่อมทำให้ตัวเขารู้สึกอายอยู่แล้ว มันเป็นความรักที่เขาเก็บเอาไว้ในใจ แต่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่เขารู้สึกแบบนั้น พอรู้สึกตัวอีกทีเขาก็มีความรู้สึกนั้นต่อหญิงสาวแวมไพร์ไปแล้ว และผู้เป็นแม่ของเขาเองกลับมองออกแม้กระทั้งครั้งแรกที่พวกเขาได้พบเจอกัน ราวกับว่าเธอรู้ถึงทุกอย่างที่เขากำลังคิดอยู่ในใจ รู้ถึงทุกสิ่งทุกอย่างแม้นหล่อนจะไม่ได้เห็นมันด้วยตัวเอง

“เจ้ากำลังมีความรักกับใครสักคนล่ะสิ?” จู่ๆ เธอก็ถามขึ้นมาอย่างทันใด
“ท่าน... รู้ได้ยังไงกันหรือครับ?”
“แหม่~” เธอสบถกลับไป “ก็หนุ่มในวัยนี้ย่อมมีความรู้สึกว้าวุ่น สับสนในความรักนี่นะ”
“แม่เลยมั่นใจเลยล่ะว่าเจ้าต้องมีหญิงสาวสักคนที่กำลังหมายปองอยู่” เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงเริงร่าแปลกๆ

“เจ้ากำลังแอบชอบ... แวมไพร์สินะ” หญิงผมสีน้ำเงินกระซิบขึ้นมาต่อ

 วาจาดังกล่าวทำให้ชายหนุ่มหน้าแดงก่ำจนพูดอะไรไม่ถูก แต่เขาก็มีความสงสัยภายในหัวของเขาเองว่าเหตุใดเธอจึงรู้ได้ว่าเขาชอบใครและได้ยังไง เขาไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้ให้ใครฟังหรืออะไรทั้งสิ้น และแน่นอนว่าเขาไม่เคยเจอกับผู้หญิงที่เป็นแม่ของตัวเองสักครั้ง นี่มันไม่ใช่เรื่องปกติที่จู่ๆ หญิงที่อยู่ต่อหน้าของเขาเองจะรู้ถึงเรื่องความลับของเขาได้แบบนี้

“แม่ล้อเล่นๆ” หญิงผู้นั้นกล่าวขึ้นมาอีก

เธอค่อยๆ หยุดหัวเราะและหยุดร่าเริงไป ก่อนที่จะเปลี่ยนสีหน้า กลายเป็นใบหน้าที่จริงจังไปเลยถ้าเทียบกับเมื่อครู่นี้

“ที่ข้าปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าเจ้าลูกข้า... มันมีจุดประสงค์”
“ถ้าตัวเจ้าเองใฝ่ที่จะหาคำตอบเหล่านั้น ก็ตามข้ามาสิ”

  ทันทีที่เธอพูดจบลง หล่อนก็เริ่มเดินไปยังประตูหน้าห้อง หันหน้ากลับมาก่อนที่จะส่งสายตาอันอบอุ่นให้แก่ลูกชาย เป็นสัญญาณเตือนให้เขาตามเธอไป เมื่อนั้นหล่อนจึงเริ่มเดินออกไปจากห้องๆ นั้น ชายหนุ่มมองเธอด้วยความสงสัยก่อนที่จะค่อยๆ ลุกขึ้นจากเตียงนอนนั้น เขายังไม่ค่อยเข้าใจถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้สักเท่าไหร่ แต่เหมือนสิ่งที่เขาควรจะทำก็มีเพียงสิ่งเดียวนั่นคือตามผู้เป็นมารดาของเขาไปเท่านั้น เขาค่อยๆ เดินออกไปจากห้องตามด้วยหญิงสาวอีกสองคนที่เป็นข้ารับใช้ของนายหญิงผู้นั้นเดินตามเขาไปติดๆ ชายหนุ่มเห็นผู้เป็นมารดาของตนนำหน้าอยู่ระยะหนึ่งแต่ด้วยเหตุผลอันใดสักอย่างทำให้เขาไม่กล้าคิดที่จะเดินไปใกล้เธอ เขายังคงรักษาระยะห่างนั้นไว้ คงจะยังเขินอายหรือไม่กล้าที่จะเปิดประเด็นคุยกับผู้เป็นมารดาของเขา คงจะเพราะเขาไม่เคยมีความรู้สึกแบบนี้มาก่อน ความรู้สึกที่มีครอบครัว ที่ได้อยู่ คุยกับผู้เป็นแม่ มันเลยทำให้เขาไม่กล้าก็ได้ ชายหนุ่มยังคงเดินไปเรื่อยตามหลังหญิงผมสีน้ำเงินโดยที่ไม่รู้ถึงจุดหมายปลายทางที่ต้องไป หนุ่มผู้นี้ค่อยๆ ยื่นหน้าของตน ก้มลงไปหาเด็กสาวผมสีม่วงที่ตามเขามา

“นี่.. เจ้าพอจะรู้ไหมว่าแม่ของข้าจะพาข้าไปไหนกันเนี่ย?” เขาถาม
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ” เธอตอบกลับ
“คงจะเป็นห้องโถงนภาลัยมั้ง?” จู่ๆ เฟร์ย่าก็กล่าวสวนขึ้นมา
“อืม... อาจจะเป็นไปได้นะ”
“นี่ๆ มันคืออะไรกันล่ะนั่น?” เนลเรี่ยนถามต่อ
“ไว้ท่านรอเห็นด้วยตาตัวเองดีกว่าค๊า~” หญิงสาวผมหยิกสีทองตอบกลับไป

  วาจาประโยคนั้นที่เธอกล่าวออกไปนั้นทำให้เนลเรี่ยนรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อยเหมือนกัน มันหาได้ให้คำตอบที่เขาประสงค์ แล้วยิ่งตัวเธอที่ดูเหมือนจะชอบทำตัวสนุกสนาน ติดตลกอะไรแบบนี้ในยามแบบนี้ยิ่งทำให้ชายหนุ่มไม่ค่อยชอบสักเท่าไหร่ เหมือนกับเขาคิดในใจว่าหากจะทำเช่นไรแล้วการเรียกตัวเขาว่าท่านมันมีความหมายอันใดกัน มันก็ไม่ต่างจากเพื่อนที่คิดจะกวนโอ๊ยอยู่ตลอดเวลาเลย กระนั้นเขาก็หาได้กล่าววาจาใดกลับไป หันกลับไปข้างหน้า เดินตามผู้เป็นแม่ต่อไป ไม่นานนักเขาก็เริ่มมองไปรอบข้างที่ซึ่งเป็นทางเดินโล่ง เขารู้สึกถึงอะไรที่ต่างออกไปจากเมื่อครู่นี้ มันเหมือนกับว่าสภาพทางเดินของมันค่อยๆ เปลี่ยนไป จนเมื่อเขารู้สึกตัวอีกทีทางเดินเหล่านั้นก็หาได้เป็นทางเดินวนซ้ำๆ ดั่งเช่นเมื่อครั้นที่เขาวิ่งหนีไปเมื่อครู่นี้ ครั้งนี้มันเหมือนกับว่าไม่ใช่เขาวงกตอีกต่อไป มันทำให้เขารู้สึกพิศวงกับสิ่งที่ได้ประจักษ์ เขาไม่รู้ว่านั่นเป็นเพราะอะไรแต่หากถามหญิงสาวทั้งสองคงจะไม่ได้คำตอบกลับมาแน่ อาจจะเป็นไปได้ที่เอลิซ่าจะตอบเขา แต่หากเฟร์ย่าขัดขึ้นมาล่ะก็ไม่เป็นอันได้คำตอบแน่ เขาจึงตัดสินใจที่จะไม่ถามดีกว่า และตีไปกว่ามันคงเป็นเพราะคนพวกนี้รู้กลไกของปราสาทนี้และอยู่อาศัยมาเป็นเวลานาน จึงรู้หนทางของที่แห่งนี้

  เมื่อเดินไปได้สักพักแล้ว ชายหนุ่มก็เห็นแม่ของตนเดินเข้าไปในห้องๆ หนึ่งซึ่งมีประตูบานเดียวกันกับประตูห้องที่เขานอนไปเมื่อครู่เลย เธอเดินเข้าไปในห้องนั้นก่อนที่เนลเรี่ยนจะค่อยๆ เดินตามเข้าไป ภายในห้องนั้นดูต่างจากห้องเมื่อครู่นี้ มันเป็นห้องโถงขนาดใหญ่ ดูคล้ายกับใจกลางของปราสาทแห่งสตอร์มโฮล์มเลย มันกว้างถึงขนาดที่สามารถบรรจุคนได้นับร้อยเลยทีเดียว ในห้องนั้นมีเสาอยู่เต็มไปหมดที่รอบข้างของห้อง แต่หาได้มีอะไรอย่างอื่นที่อยู่ในบริเวณนั้นแต่น้อย มันดูโล่งโหวงเหวงผิดปกติ อย่างกับห้องที่ใช้ในการต่อสู้หรืออะไรสักอย่างเลย จนถึงขนาดที่ว่าเมื่อเขาย่างกรายแต่ละฝีก้าว มันเกิดเสียงดังสะท้อนลั่นห้องจนได้ยินอย่างชัดเจน เมื่อนั้นหญิงสาวผมสีน้ำเงินจึงหยุดเดินในทันที หันกลับไปหาลูกชายของตัวเองและข้ารับใช้ทั้งสองคนของเธอที่เดินตามบุตรของหล่อนมา

“ค๊ะ” เอลิซ่ากล่าวก่อนที่จะก้มหัวตนลง เช่นเดียวกับเฟร์ย่าที่ก้มหัวลงตาม
“มีอะไรหรือคะนายหญิงคาดาเลีย” ทั้งสองกล่าวพร้อมกัน
“พวกเจ้าทั้งสองออกไปก่อน..”
“ด้วยความยินดีค่ะ”

  สิ้นวาจานั้นทั้งเฟร์ย่าและเอลิซ่าจึงหยุดโค้งคำนับ ก่อนจะเดินออกไปจากห้องในทันที ทั้งสองคนปิดประตูใหญ่นั้นไว้เหลือเพียงแค่ครอบครัวแม่ลูกอยู่ในห้องตามลำพังเท่านั้น ชายหนุ่มยังคงสงสัยกับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่จากอาการที่แสดงออกมาอย่างชัดเจน

“ที่นี่มันที่ไหนหรอครับ?”
“แล้วทำไมแม่ถึงบอกว่าการปรากฏตัวของแม่นั้นมีจุดประสงค์?”
“นี่มันเรื่องอะไรกันหรอครับ?”

ด้วยความสงสัยทั้งหลายแหล่ที่อยู่ในหัวของเขา ชายหนุ่มจึงหยุดที่จะตั้งคำถามเหล่านั้นไม่ได้ ผู้เป็นแม่ที่ได้ยินคำถามเหล่านั้นก็หาได้ตอบกลับอันใด เธอยังคงยืนเฉยอยู่เป็นเวลาสักพักก่อนที่จะตอบกลับลูกของตน

“ข้ารู้ว่าตอนนี้เจ้ามีคำถามอยู่ในหัวอยู่มากมายเนลเรี่ยน..”
“ตัวข้าจึงได้พาเจ้ามายังที่แห่งนี้”
“จะว่าไป... เจ้าพอจะจำสิ่งที่ไซอาลอทกล่าวไว้กับเจ้าได้หรือเปล่า?” เธอเอ่ยถาม “ครั้นที่มารตนนั้นคิดจะโยนเจ้าลงสู่ใต้บาดาล”

ชายหนุ่มดูท่าจะงุนงงถึงสิ่งที่มารดาของตนกล่าวขึ้นมา เขาครุ่นคิดถึงมัน แต่เหมือนเขาจะคิดมันไม่ออกเลยแม้แต่น้อย

“ถ้าข้าจำไม่ผิดนะครับท่านแม่..”
“เหมือนกับว่ามารตนนั้นพูดถึงใครสักคนให้ฝากพลังขอข้าเอาไว้หรืออะไรสักอย่าง”
“ไหนจะพูดบอกอีกว่ามารเพลิงไม่สามารถสังหารข้าได้”
“ซึ่งข้าไม่เข้าใจเลย... ว่ามันหมายถึงอะไร?”

“ไซอาลอทกล่าวนามของคนที่ชื่อว่าวาชินใช่หรือเปล่า?” ผู้เป็นแม่ถามขึ้นทันใด

“เอ๋?” เด็กหนุ่มตกใจที่ได้ยินแบบนั้น “ทำไมท่านถึงรู้ได้หรือครับ?”

  ชายหนุ่มผู้เป็นบุตรเอ่ยถามแม่ของเธอแต่ผู้ถูกถามหาได้ตอบอะไรกลับไป ไม่นานนักหญิงผู้นั้นยื่นมือทั้งสองข้างไปข้างหน้าดั่งเช่นว่าจะทำอะไรสักอย่าง เมื่อนั้นก็มีปราณสีฟ้าไหลรินออกมาจากมือทั้งสองข้าง รวมตัวจนกลายเป็นเกล็ดหิมะ เกล็ดหิมะเหล่านั้นก่อตัวจนกลายเป็นผลึกน้ำแข็งที่ใสดั่งคริสตัล มันเป็นเหมือนกับแท่นอะไรสักอย่างที่ตั้งอยู่เบื้องหน้าของทั้งสอง ที่น่าประหลาดใจคือแท่นใสนั้นส่องแสงจ้าทั่วทั้งวัตถุมันเอง เป็นแสงสว่างสวยงาม ดูเหมือนว่าผู้เป็นแม่นามคาดาเลียผู้นี้ก็มีปราณน้ำแข็งเฉกเช่นเดียวกับบุตรชายของเธอ ชายหนุ่มยังคงไม่เข้าใจในสิ่งที่เธอกำลังกระทำอยู่ หญิงผมสีน้ำเงินยังคงร่ายคาถาไปเรื่อยเพื่อสร้างอะไรสักอย่าง ไม่นานนักเธอจึงหยุดการกระทำนั้น ก่อนที่จะเดินเข้าไปหาแท่นที่เธอได้สร้างขึ้นมา

“มันเป็นเรื่องราวประวัติศาสตร์เนลเรี่ยน..”
“แม่คอยจับตาดูเจ้าโดยตลอดว่าเจ้ากำลังทำอะไร?” เธอกล่าว “เพราะเหตุนั้นแม่จึงรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับตัวลูกเอง”
“เจ้าอาจจะไม่เข้าใจในสิ่งที่มารเพลิงกล่าวกับเจ้า ไม่สิ! มันเป็นการกล่าวต่อบุคคลนามวาชินเสียมากกว่า”
“แต่แม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่ามารตนนั้นหมายถึงอะไร?”

“มาสิ.. ใช้มือของเจ้าสัมผัสแท่นนี้สิ”

  ชายหนุ่มยังคงดูงุนงงกับสิ่งที่เธอพูดอยู่ แต่กระนั้นแล้วเขาก็ทำตามในสิ่งที่เธอพูดไป เขาค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้แท่นนั้น รับรู้ถึงพลังแห่งความเย็นที่อยู่โดยรอบ มันมีพลังมหาศาลพอๆ กับพลังของเขาหรืออาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ เขาค่อยๆ ยื่นมือข้างหนึ่งของจนไปข้างหน้าอย่างช้าๆ วางทาบหัตถ์นั้นลงเหนือแท่น เขาสัมผัสได้ถึงความเย็นที่แผ่เข้าไปในร่างของเขา เข้าสู่ทางรูขุมขน ไปยังเส้นประสาทส่วนต่างๆ มันเป็นความเย็นในระดับที่เหนือกว่าปราณของเขาที่จะสามารถทำได้เสียอีก ทันใดที่เนลเรี่ยนได้สัมผัสมัน ร่างกายของเขาก็หยุดนิ่งราวกับถูกสาปให้กลายเป็นหินมิอาจจะขยับได้ กระนั้นแล้วที่ร่างกายภายนอกของตัวชายผมทองผู้นี้ก็หาได้มีอะไรผิดปกติ ไม่มีน้ำแข็งเกาะร่างหรือถูกเหมือนจะถูกแช่แข็งทางกายภาพเลย มันหาได้เกิดอะไรขึ้นสักนิด เพียงแค่ร่างกายของเขาที่หยุดขยับไปเท่านั้น เช่นนั้นแล้วผู้เป็นแม่ของเขาก็ทาบมือลงไปเช่นเดียวกับเนลเรี่ยนและร่างของเธอก็ตกอยู่ในสภาพเดียวกัน

  ทั้งสองแม่ลูกครอบครัวนี้เหมือนกับตกอยู่ในภวังค์ พวกเขาต่างนิทราไปหลังจากที่สัมผัสแท่นนั้น พอรู้สึกตัวอีกทีชายหนุ่มก็อยู่ในสถานที่ประหลาดแห่งหนึ่ง เป็นดั่งมิติจากอีกจักรวาลหนึ่ง สภาพของชายหนุ่มผู้นี้กำลังนอนราบอยู่เหนือแผ่นดินมิตินั้น เขาค่อยๆ ลุกขึ้นมา มองวนไปรอบๆ สถานที่ๆ เขาเห็นเต็มไปด้วยประตูมิติประหลาดพร้อมกับการหักเหของมิติดั่งเช่นพลังแห่งวอยด์ แต่มันต่างออกไปที่เขาไม่รู้สึกถึงพลังปราณพิเศษนั้นเลยแม้แต่น้อย ชายหนุ่มเริ่มเดินไปตามห้วงมิตินั้นและพบกับผู้เป็นแม่ของเขายืนอยู่เบื้องหน้า ห่างจากตัวเขาไม่มากนัก เธอกวักมือเรียกชายหนุ่ม เนลเรี่ยนที่เห็นแบบนั้นก็วิ่งไปหาเธอในทันที

“นี่มันอะไรหรอครับ?” เด็กหนุ่มกล่าวถาม
“แท่นแห่งควาทรงจำน่ะ” เธอกล่าว “แม่คิดว่าแม่ควรจะเล่าอะไรให้ลูกฟังตั้งแต่แรก”
“เรื่องอะไรหรอครับ?” เนลเรี่ยนกล่าวถามต่อ
“หลายเรื่องเลยล่ะลูกชายข้า” คาดาเลียตอบ “ความสงสัยทั้งหลายแหล่ของเจ้าที่อยู่ในใจ แม่จะคลายมันให้ลูกเอง”

  เมื่อวาจานั้นถูกเปล่งออกจากปากของผู้เป็นแม่ สภาพแวดล้อมโดยรอบของที่แห่งนี้ก็เปลี่ยนไปในทันที จากห้วงมิติไร้จุดหมาย มันค่อยๆ บิดเบือน เปลี่ยนสภาพจนเกิดผืนดินดินในป่าทึบ ท้องฟ้าเริ่มปรากฏเป็นยามราตรีอันเงียบเหงา แรงลมกรรโชกขึ้นมาสร้างความหนาวเหน็ดให้แก่ทั้งสองที่ยืนอยู่ที่แห่งนั้น ด้วยความงุนงงของชายหนุ่มที่จู่ๆ ก็มาปรากฏตัวในสถานที่ๆ เขาไม่คุ้นเคยแบบนี้ ตัวผู้เป็นบุตรคนนี้จึงกล่าวถามแม่ของตนในทันที

“ที่นี่มันคือ?”
“โพรโตเนี่ยนเนลเรี่ยน... สถานที่แห่งนี้คือโลกของเรา”
“ในช่วงก่อนกาลมนุษยชาติจะถือกำเนิด”
“แล้วท่านแม่พาผมมา...”

“เงียบก่อน” เธอกระซิบขึ้นและชี้ที่ไปข้างหน้า

  เนลเรี่ยนหันไปยังทิศที่คาดาเลียชี้ไป มันเป็นเมืองแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ไม่ไกลนักจากป่าแห่งนี้ แต่ต้นไม้เหล่านั้นกลับบดบังวิสัยทัศน์ของเขาจนแทบจะไม่เห็นอะไรอย่างชัดเจน เขาพอเห็นแสงไฟสาดส่องเข้ามาในป่าเล็กน้อย เมื่อนั้นเนลเรี่ยนจึงเดินไปยังจุดๆ นั้น ตามด้วยผู้เป็นแม่ที่เดินตามเข้าไปช้าๆ ไม่นานนักสิ่งที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าของเขาก็เป็นเมืองใหญ่อันเจริญรุ่งเรือง มันดูไม่ค่อยต่างจากยุคสมัยที่เนลเรี่ยนกำลังอาศัยอยู่สักเท่าไหร่ ความต่างคงจะเป็นเมืองที่ถูกตกแต่งอย่างเริศหรูยิ่งกว่ายุคปัจจุบัน มีทองคำประดับอยู่แทบทุกหนแห่งในเมือง ในตัวเมืองนั้นมีเหล่าผู้คนอยู่เต็มไปหมด ใช้ชีวิตตามปกติดั่งเช่นวันธรรมดาวันหนึ่ง แต่คนเหล่านั้นมีความแตกต่างออกไป พวกเขามีสีผิวที่ดูซีดเผือด กระนั้นก็มีปราณสีแดงดั่งเลือดไหลรินอยู่ทั่วร่างอ่อนๆ ทุกคนที่อยู่แห่งนั้นต่างมีฟันเคี้ยวอันแหลมคมผุดออกมาจากปาก ดูคล้ายกับหญิงสาวชารอนก็ไม่ผิดเพี้ยน ทุกประการของคนเหล่านั้นเป็นดั่งกับหญิงสาวผมแดงเลยด้วยซ้ำ

“นั่นคือ...”
“แวมไพร์” หญิงสาวผมสีน้ำเงินตอบกลับ “สิ่งมีชีวิตรากฐานมนยุคแรกของดาวดวงนี้”
“แม่กำลังจะบอกผมว่าดาวดวงนี้เดิมทีเป็นของเหล่าแวมไพร์งั้นหรือครับ?”
“ใช่จ๊ะ”

  ทันทีที่วาจานั้นจบลงท้องฟ้าที่มืดครึ้มสะท้อนแสงจันทราได้เปลี่ยนแปลงสีไป มันกลายเป็นดั่งสีเลือดก่อนที่จะมีห่าฝนประหลาดนับพันร่วงลงมา เป็นดั่งวัตถุที่ร่วงลงมาสู่พื้น ขนาดของมันใหญ่กว่าฝนปกติหลายเท่าตัวนัก คล้ายกับหินขนาดยักษ์ มันกระแทกลงทุกบริเวณที่มันร่วงหล่น ในบ้านช่องราคาเรือนระแวกนั้น แม้กระทั่งป่าใหญ่ที่เนลเรี่ยนอยู่ก็ไม่เว้น หินเหล่านั้นถาโถมลงมาสู่ผืนดินอย่างบ้าคลั่ง มันฆ่าผู้คนในบริเวณอย่างไร้ปราณี เหล่าหินที่กระทบลงพื้นนั้นจู่ๆ ก็มีเมือกประหลาดสีม่วงไหลออกมา ไม่นานนักหินนั้นก็แตกออกเห็นเป็นร่างของสิ่งมีชีวิตประหลาด มันมีโครงสร้างที่ดูคล้ายมนุษย์ แต่หลายส่วนของมันก็ดูต่างออกไป ดวงตาที่ส่องแสงเปล่งประกายสีม่วงดูน่ากลัว บางส่วนของอวัยวะมีหนวดที่ดูคล้ายกับหนวดปลาหมึกนัวเนียเต็มไปหมด ช่วงอกที่เป็นรูและตุ่มดูน่ากลัว เหมือนกับเป็นตัวประหลาดอะไรสักอย่างที่ไม่มีอยู่ในดาวดวงนี้ พวกมันใช้พลังสีม่วงประหลาดดูคล้ายเป็นการใช้พลังบิดเบือนมิติฆ่าล้างผู้คนในบริเวณนั้น บ้างเหล่าแวมไพร์กล้าก็เข้าต่อกรกับสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นได้อย่างสูสี แต่ด้วยจำนวนที่น้อยกว่าจึงทำให้เหล่านักดูดเลือดต่างพากันล้มตาย

“ท่านแม่!” จู่ๆ เนลเรี่ยนก็ตะโกนขึ้น “ข้าว่าพวกเราต้อง..”
“หยุดก่อนเนลเรี่ยน” เธอชขัดขึ้นมา

เนลเรี่ยนฟังคำสั่งนั้นก่อนที่จะหันกลับไป

“ตอนนี้เราอยู่ในโลกแห่งอดีต พวกเราไร้ตัวตนนะ”
“เราเป็นแค่แขกมาเยือนที่ไร้ตัวตนเท่านั้น”
“ผมไม่เข้าใจ.. ท่านแม่กำลังจะบอกว่าให้ผมคอยดูอย่างเดียวเท่านั้นหรือ?”
“เพื่อคลายคำถามในใจของลูกไงจ๊ะ” เธอตอบ “เราทำได้แค่นั้น”

  เนลเรี่ยนที่ได้ยินแบบนั้นก็ไม่พอใจเอามากๆ มันเหมือนกับว่าเขาไม่สามารถทำอะไรได้และต้องดูผู้คนเหล่านั้นล้มตายโดยน้ำมือของปีศาจประหลาดพวกนั้นเท่านั้น ไม่ทันไรชายหนุ่มก็เกิดความพิศวงขึ้นในใจของตนกับสิ่งที่ประจักษ์อยู่เบื้องหน้า เพราะสิ่งที่เขาเห็นหาใช่ใครที่ไหนแต่เป็นหญิงสาวที่เขาตกหลุมรักอยู่ ชารอน... หญิงสาวแวมไพร์ผมสีแดงกำลังใช้อาวุธแส้ของเธอต่อกรกับผู้บุกรุกเหล่านั้น เธอสะบัดแส้ปราณและสังหารเหล่าปีศาจที่อยู่ใกล้ตัวเธอจนตายกันหมด เมื่อนั้นเธอจึงหยุดการโจมตีของตน หันไปมองใครสักคนที่ยืนอยู่ในจุดวิสัยทัศน์ที่สูงกว่าตัวหล่อน มันเป็นชายผู้หนึ่งถือดาบเล่มหนึ่งไว้ที่มือ และอีกเล่มที่เก็บไว้ในฝักดาบภายหลังของเขา ดวงตาของชายผู้นั้นเป็นสีม่วงเปล่งประกายดั่งปีศาจร้าย แต่ที่ต่างคือเขาดูเหมือนกับเป็นมนุษย์ซะมากกว่า ชายผู้นั้นมีรูปลักษณ์ใบหน้า สรีระสัดส่วนทุกอย่างคล้ายคลึงกับผู้ทรยศองค์ราชันย์นาม “แรธ”

  ทั้งสองจ้องหน้ากันก่อนที่จะพุ่งตัวออกไป ใช้อาวุธฟาดฟันใส่กันและกัน แส้และดาบเล่มนั้นกระทบกันจนเกิดแสงระเบิดออกจากการที่ปราณของทั้งสองกระทบใส่กันอย่างแรง เมื่อแสงพลังนั้นแตกออก มันทำให้ภาพที่เนลเรี่ยนเห็นอยู่หายไปในทันที กลับมาอยู่ในสภาพของห้องมิติเดิมอีกครั้ง

“ข้าไม่เข้าใจ..” หนุ่มผมทองกล่าว
“ท่านกำลังจะให้ข้าดูอะไรกัน?”
“เกริ่นนำสู่เรื่องทั้งหมดเนลเรี่ยน..” เธอกล่าว “เกริ่นนำสู่เรื่องทั้งหมด”
“อย่างที่เจ้าเห็นเมื่อครู่นี้.. มันคือช่วงเวลาก่อนที่เหล่ามนุษย์จะถือกำเนิด”
“แล้วมันเกี่ยวอันใดกับไซอาลอทงั้นหรือครับ?”
“แม่จะเล่าให้ฟัง...”

  เมื่อนานนับสหัสวรรษครั้นก่อนสงครามระหว่างมารเพลิงไซอาลอทและมวลมนุษยชาติ ดาวดวงนี้ที่ขึ้นชื่อว่าโพรโตเนี่ยนเป็นสถานที่อยู่อาศัย เป็นดวงดาวของสิ่งมีชีวิตที่ถูกเรียกว่าแวมไพร์ และมีพลังปราณเพียงธาตุเดียวที่สถิติอยู่บนโลกนี้นั่นคือพลังแห่งเลือด พวกเขาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขมานับเป็นเวลานานก่อนที่จะถูกรุกรานโดยสิ่งมีชีวิตเผ่าอื่นที่เรียกตัวเองว่า “วอยด์” หรือที่รู้จักกันในนามของพลังธาตุพิเศษที่เห็นอยู่ในดาวดวงนี้ในยุคปัจจุบัน จุดประสงค์ของเหล่าวอยด์ทั้งหลายนั้นเป็นที่แน่ชัดคือการยึดครองจักรวาลทั้งปวลเพื่อเป็นของตน และโพรโตเนี่ยนคือหนึ่งในเป้าหมายที่พวกมันต้องการ การต่อสู้ของทั้งสองดำเนินไปเป็นเวลานานแสนนาน หากแต่ว่าพลังของแวมไพร์ที่รู้จักกันในชื่อที่ลูกรู้จัก “พลังปราณแห่งเลือด” นั้นเป็นพลังที่หาได้ยาก แม้นว่าแวมไพร์จะชอบการดื่มเลือดหรืออยู่คู่กับมันดั่งอีกครึ่งชีวิต แต่ทว่าการที่จะมีบุคคลที่มีพลังแห่งเลือดระดับสูงที่พอจะต่อกรกับวอยด์ได้นั้นมีเพียงหยิบมือ หนึ่งในผู้ที่แกร่งที่สุดคือคนรู้จักของเจ้าเองเนลเรี่ยน คนที่อยู่ในใจของเจ้า.. ชารอน เธอคือหญิงที่ต่อสู้กับปีศาจเหล่านี้ แต่ด้วยกำลังของแวมไพร์เพียงอย่างเดียวไม่อาจจะเอาชนะวอยด์ได้ โชคดีที่จักรวาลแห่งนี้มีปรปักษ์แห่งวอยด์อยู่ พวกนั้นถูกเรียกว่าเทพ หรือรู้จักกันในนามของเหล่าเทวดา เทพารักษ์ที่ลูกๆ เรียกและบูชากันนั่นล่ะ

  เหล่าเทพทั้งหลายได้จุติลงมาสู่โพรโตเนี่ยนได้ช่วยเหลือเหล่าแวมไพร์ในการต่อกรกับวอยด์เหล่านั้น ซึ่งหนทางเดียวที่จะสามารถเอาชนะได้นั่นคือการใช้พลังธาตุหลักทั้งสิบสองที่ลูกรู้จักอยู่ เมื่อนั้นแล้วผู้ช่วยเหลือพวกนั้นได้ทำการสร้างสิ่งที่ถูกเรียกว่า “ผู้พิทักษ์” หรือในนามของตัวแทนของพลังธาตุหลักทั้งสี่ ดิน น้ำ ลม ไฟ... พวกเขาได้ใช้พลังทั้งหมดเพื่อสร้างพลังปราณทั้งสิบสองธาตุให้เกิดขึ้นมาเป็นกายา เป็นพลังที่เอ่อล้นไปทั่วโพรโตเนี่ยน ตัวแทนแห่งดินรู้จักกันในนามโคลริม เคลย์ทิวล์หรือโดยมากคนในปัจจุบันจะรู้จักกันในนามของผู้พิชิตมารเพลิงไซอาลอท ตัวแทนแห่งธาตุน้ำ อนิม่อน วาชิน บุรุษที่ไซอาลอทได้กล่าวถึงครั้นที่เขาโยนเจ้าลงไปสู่มหาสมุทร วาชินนั้นคือผู้ควบคุมน้ำให้กลายเป็นพลังธาตุเพื่อใช้ต่อกรกับวอยด์ เช่นเดียวกับโคลริมที่ใช้พลังแห่งดิน ตัวของผู้พิทักษ์ธาตุลมนั้นพอจะคุ้นหูเจ้าอยู่พอควร... เจ้าเคยอ่านหนังสือเกี่ยวกับตัวของเธออยู่เนลเรี่ยน เธอคือวิเลียร่า ไบร์ทวินด์ หญิงสาวผู้ใช้พลังลมและพลังแห่งชีวิต อย่างที่เจ้าทราบคือพลังของเธอได้สถิตอยู่กับร่างมนุษย์อยู่หลายร่างสืบทอดกันมาเป็นรุ่นและหญิงสาวที่ครอบครองพลังชีวิตของเธอในปัจจุบันก็คือ “มาเดียร่า” นั่นแหละ

  และตัวของผู้พิทักษ์แห่งเพลิง.. ไซอาลอท ไฟร์วอร์คเกอร์ ตัวแทนแห่งความกล้า ความไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรค นั่นคือสิ่งที่เขาเคยเป็นก่อนที่จะเป็นอย่างปัจจุบัน พวกเขาทั้งสี่ที่เป็นตัวแทนแห่งพลังธาตุมีนามว่าผู้พิทักษ์แห่งโพรโตเนี่ยน เป็นสุดยอดกองกำลังที่เทพซึ่งเป็นปรปักษ์กับวอยด์ได้สร้างขึ้นมา สุดยอดอาวุธที่ใช้ต่อกรกับผู้ใช้พลังมิติทั้งหลาย เมื่อนานไปการต่อสู้ได้อุบัติขึ้นทั่วทั้งปฐพี ใต้หล้าทั่วฟ้าต่างถูกทำลายล้าง ผืนดินแตกเป็นเสี่ยง ฟากฟ้ากึกก้องคำรามด้วยความทรมาณ การต่อสู้ได้ดำเนินไปจนถึงช่วยวิกฤตของฝ่ายแวมไพร์และตัวของผู้พิทักษ์ นั่นคือวอยด์แกร่งเกินไปที่จะเอาชนะได้ และหัวหน้าหน่วยของกองทัพบุกโพรโตเนี่ยนแห่งวอยด์ได้ทำการฝังร่างของตัวเองเข้าแกนโลกจนทำให้ดาวดวงนี้เป็นดั่งร่างกายของมันเอง นั่นคือเหตุผลที่ทำไมบางคนมีพลังแห่งวอยด์แต่หาได้มีจิตใจที่ชั่วร้ายดั่งวอยด์ดั้งเดิม

  ตัวของผู้พิทักษ์แห่งเพลิง... ได้ตระหนักว่าพวกเขามิอาจจะเอาชนะด้วยพลังทั้งหมดและกองทัพทั้งหมดที่มี ตัวเขาจึงได้นำพลังแห่งวอยด์ และพลังแห่งเลือดมารวมกับพลังปราณทั้งหมด รวมพลังธาตุที่มีทั้งหมดในโพรโตเนี่ยนเพื่อที่จะสร้างสิ่งอื่นที่มีโอกาสมากกว่าที่จะล้มล้างเหล่าวอยด์แห่งความตายได้ เมื่อนั้นผู้พิทักษ์จึงคิดค้นและสำเร็จการสร้างสิ่งที่เขาต้องการ นั่นคือก็พลังแห่งซินโดร่า.. พลังที่แข็งแกร่งที่สุดในดวงดาวแห่งนี้และไม่มีใครสามารถทำลายล้างมันได้ และพลังนั้นก็ได้สร้างสิ่งที่เรียกว่ามนุษย์ขึ้นมา เพราะฉะนั้นหากจะบอกว่าไซอาลอทเป็นพระเจ้าของพวกเรามันก็ไม่ผิดนัก ด้วยสิ่งนั้นเองจึงทำให้ผู้พิทักษ์และแวมไพร์สามารถเอาชนะวอยด์ได้ สามารถขจัด ลบล้างมารชั่วเหล่านั้นจนหายไปจากโพรโตเนี่ยน เว้นเสียแต่ตัวของหัวหน้าหน่วยนั้น เขาได้เอาร่างของฝังติดกับโลกมิอาจจะทำลายล้างได้ เพราะหากเขาตายนั่นก็หมายถึงโพรโตเนี่ยนจะล่มสลายเช่นกัน เมื่อนั้นแล้วพวกเขาจึงตัดสินใจผนึกมารตนนั้นไว้ในดินแดนทางตะวันตกของโพรโตเนี่ยนแทน พวกเขาสามารถเอาชนะ แม้นว่าพวกเขาจะได้รับชัยมาก็ตามแต่ แต่ก็สูญเสียหนึ่งในผู้พิทักษ์ไปคนหนึ่ง นั่นคือวิเลียร่า... เธอเป็นหญิงที่ไซอาลอทรัก

  จากควันหลงในครั้งนั้นมันได้ทำให้ไซอาลอทคลั่ง โทษทุกอย่างสำหรับการสูญเสียในครั้งนั้น แต่ตัวเขาหารู้ไหมว่าอารมณ์เหล่านั้นหาใช่เป็นสิ่งที่ตนสร้างขึ้นมาด้วยตัวเอง มันเกิดขึ้นในครั้นที่เขาได้ต่อสู้กับเหล่าวอยด์และถูกปราณปีศาจนั้นแปรปรวนจิตใจจนกลายเป็นคนละคน เขาหันหลังให้กับแวมไพร์และสังหารผู้ที่เป็นสหายของตนเอง เขาฆ่าแวมไพร์ด้วยน้ำมือของตนเองและรวมไปถึงผู้พิทักษ์แห่งโพรโตเนี่ยนวาชิน

“แม่กำลังจะบอกว่าไซอาลอทถูกควบคุมจิตใจจากพลังแห่งวอยด์หรือครับ?” เนลเรี่ยนแทรกขึ้นมา
“มันก็ไม่เชิงหรอก” เธอตอบ “มันเป็นอะไรมากกว่านั้น”

  นานเข้าๆ ไซอาลอทเริ่มมีความคิดอันชั่วร้ายผุดขึ้นมา เกิดความคิดที่คิดจะสังหารทุกอย่างและตั้งตนเป็นผู้ปกครองดาวดวงนี้ เพราะเขาคือผู้สร้างมนุษย์ เขาคือผู้ที่ช่วยเหลือแวมไพร์ในการเอาชนะสงคราม เพราะงั้นแล้วตัวเขาก็สมควรที่จะเป็นบุคคลๆ นั้น แต่โคลริมหาได้เห็นด้วยกับไซอาลอท การต่อสู้จึงเริ่มขึ้นระหว่างเทพพิทักษ์ทั้งสอง มันดำเนินมายาวนานนับพันปีนั่นเพราะทั้งสองมิสามารถฆ่ากันได้อย่างเด็ดขาด ในช่วงเวลาของสงครามนั้นก็ได้สูญเสียแวมไพร์ไปเกินกว่าที่จะสามารถขยายพันธุ์ได้ จึงเหลือเพียงแวมไพร์ที่แข็งแกร่งที่สุดเพียงตนเดียวนั่นคือชารอน จนมาถึงยุคของพวกเรา... การต่อสุ้ยังคงดำเนินต่อไป ต่อไปและต่อไป.. จนเป็นที่มาของสงครามที่เจ้ากำลังเผชิญอยู่

“แต่... แล้วมันเกี่ยวอะไรกับที่มารเพลิงบอกว่าไม่สามารถฆ่าข้าได้”
“และต้องการพลังของข้าเพื่อใช้ทำอะไรสักอย่างล่ะครับคุณแม่?”
“เนลเรี่ยน..” แม่ของเขากล่าว “เจ้ามีพลังแห่งซินโดร่าอยู่ภายในตัวเจ้า”
“นั่นคือเหตุผลที่ทำไมสีของผลึกน้ำแข็งของเจ้าถึงเป็นสีทมิฬ..”
“ว่าไงนะ?!” เด็กหนุ่มสบถขึ้นด้วยความตกใจ
“แล้วผมไปมีพลังนั้นได้ยังไงกันหรือครับ?”
“เพราะแม่ พ่อและปู่ของเจ้าเองล่ะ”

“ปู่และพ่อของผม?” เนลเรี่ยนถามแทรกขึ้น

“ก็โคลริมนั่นล่ะจ๊ะลูกรัก” เธอตอบ “เขาคือปู่ของเธอ พ่อของแม่เอง”
ขึ้นไปข้างบน Go down
https://www.facebook.com/BillAlfenolf
 
Cataclysm: The Endless Hellfire XXVI
ขึ้นไปข้างบน 
หน้า 1 จาก 1
 Similar topics
-
» Cataclysm: The Endless Hellfire IV
» Cataclysm: The Endless Hellfire XXI
» Cataclysm: The Endless Hellfire V
» Cataclysm: The Endless Hellfire VI
» Cataclysm: The Endless Hellfire XL

Permissions in this forum:คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
Bloody Wrestling Online :: BWO : Special Event :: BWO Novel-
ไปที่: