Bloody Wrestling Online
Would you like to react to this message? Create an account in a few clicks or log in to continue.

Bloody Wrestling Online

The Number One Cyber Wrestling Online
 
บ้านPortalLatest imagesสมัครสมาชิก(Register)เข้าสู่ระบบ(Log in)

 

 Cataclysm: The Endless Hellfire XXXV

Go down 
ผู้ตั้งข้อความ
Neferpitou
Moderators
Moderators
Neferpitou


จำนวนข้อความ : 552
Join date : 05/12/2012
Age : 27
ที่อยู่ : The Facility of Banned Organizer

Cataclysm: The Endless Hellfire XXXV Empty
ตั้งหัวข้อเรื่อง: Cataclysm: The Endless Hellfire XXXV   Cataclysm: The Endless Hellfire XXXV EmptySun Feb 12, 2017 1:59 am

Cataclysm: Endless Hellfire
Act XXXV

------------

“ลูกค้าคนประจำของท่าน...?” ลูเซียสกล่าวขึ้นด้วยความสงสัย

  ภายในตัวบ้านในเวลาช่วงเย็นของนครแห่งซันดาซัส ตัวของเจ้าของบ้านหลังนี้อัลทานิสกำลังตกใจกับแขกที่ปรากฏอยู่ต่อหน้าของตน แขกที่ว่าเป็นลูกค้าประจำของเขาในเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่ยังไม่รู้ และตัวของลูเซียสเองก็ดูตกใจไปไม่น้อยราว แม้นว่าตนจะไม่รู้จักกับชายผู้นี้เลย แต่เขากลับมีความรู้สึกแปลกๆ สักอย่างเกี่ยวกับแขกมาเยือน ทั้งรังสีที่ดูไม่เป็นมิตรเลยแม้แต่น้อยราวกับว่าเขากำลังปล่อยจิตสังหารไปหาคนรอบๆ อยู่ตลอดเวลาจนรู้สึกได้ถึงไอปราณความชั่วร้ายของชายผู้นั้นเลย ถึงมันจะไม่ได้แกร่งกล้าถึงขั้นของมารเพลิงแห่งความตายก็ตามที แต่มันก็ทำให้ลูเซียสรู้สึกได้ว่าชายผู้นี้ไม่ใช่คนดีอะไรเลย ดูแล้วแทบจะเป็นชายชั่วบริสุทธิ์เสียด้วยซ้ำ อีกทั้งเขายังดูคุ้นๆ กับชายผู้นี้ เหมือนกับว่าเคยเห็นเขาจากแห่งหนใดยังไงยังงั้น แต่ถึงจะมองชายผู้นี้ในด้านลบขนาดไหนก็ตามที แต่ก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าตอนนี้เขาบาดเจ็บอย่างหนักและกำลังต้องการการรักษาทางแพทย์อยู่ ซึ่งอัลทานิสเองก็มีความรู้เรื่องหมอจนทำกาารรักษาลูกค้าหลายคน นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำไมคาสเตอร์ผู้นี้ถึงตัดสินใจมาที่แห่งนี้

ท่าทางอ่อนแอของหัวหน้าสำนักแห่งนักฆ่าเริ่มปรากฏขึ้นอย่างชัดเจน ท่ามกลางความตื่นตกใจในการปรากฏตัวของเขาต่อชายทั้งสองภายในบ้าน ไม่นานนักท่าทีของลูเซียสก็ดูเปลี่ยนไป ดั่งว่าตนคิดอะไรออก

“ข้าเคยเห็นชายผู้นี้มาก่อน... จากใบปลิวล่าฆ่าหัวในตัวเมือง...”
“เขามิใช่คาสเตอร์ การ์เวตช์ นักฆ่าแห่งดาบทมิฬหรอกหรือ?” ลูเซียสกล่าวขึ้นมา มองไปหาอัลทานิสด้วยสีหน้าที่ดูจริงจัง
“ก็ใช่..” เจ้าของบ้านตอบ
“แต่ท่านทำงานให้กับคนชั่วเหล่านี้หรือ?!”
“ไอ้หนู..” อัลทานิสแทรกขึ้นทันที “ข้าไม่เคยบอกว่าข้าทำงานกับคนดีอะไรหรอกนะ”

  เด็กหนุ่มผู้สวมแว่นเงียบไปทันทีเมื่ออัสทานิสกล่าวออกไปเช่นนั้น เมื่อนั้นผู้รู้จักรวาล เจ้าของบ้านหลังนี้จึงเดินเข้าไปหาคาสเตอร์ที่แทบจะไม่มีแรงยืนแล้ว เขาพยุงร่างของชายผู้นี้ไปที่เก้าอี้โซฟากลางบ้าน ให้แขกผู้นั้นนั่งลงช้าๆ ไม่แรงจนเกินไปจนสร้างความเจ็บปวดให้กับเขา เมื่อนักฆ่าผู้นี้นั่งลงบนโซฟาอันนุ่ม เขาก็รู้สึกสบายขึ้นอย่างเห็นได้ชัด กระนั้นก็ยังคงรู้สึกเจ็บปวดกับบาดแผลทั่วทั้งตัวที่ได้รับมาจากการต่อสู้อยู่เหมือนกัน เจ้าของบ้านเริ่มเช็คดูอาการของลูกค้าของตน มองไปรอบตัวของชายผู้นั้น สัมผัสชีพจรแต่ละส่วนและเส้นพลังปราณสายหลักที่วนเวียนอยูู่รอบตัวของคาสเตอร์ อัลทานิสรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าพลังปราณและพลังชีวิตของแขกผู้นี้ไม่เสถียรเอาเสียเลย หากพูดโดยง่ายคือถ้าเขาไม่ได้รับการรักษาอย่างเร็วพลันล่ะก็ย่อมหมายถึงชีวิตอย่างแน่นอน ตัวของนักฆ่าเริ่มหายใจไม่เป็นจังหวะ หืดหอบมากขึ้น จนรู้สึกตัวเหมือนแทบหายใจไม่ออก รู้สึกทรมาณกับแผลไหม้ทั่วทั้งตัวที่ได้รับมา

“อาการแบบนี้มัน...” อัลทานิสกล่าวขึ้น “เจ้าถูกไซอาลอททำร้ายมารึ?!”
“ชะ... ใช่” คาสเตอร์ตอบ

เขาเงียบลงไปทันทีเมื่อคาสเตอร์ตอบคำถามของเขา เริ่มเกรงกลัวที่ได้ยินแบบนั้น นั่นเพราะตัวเขาหวาดกลัวต่อเพลิงพิโรธมาแต่เนิ่นนานแล้ว

“ให้ตายเถอะ.. เจอเคสยากอีกแล้วสิเนี่ย” ผู้เป็นเจ้าของบ้านบ่นขึ้นมา
“โอเค.. ข้าต้องขอให้ท่านนั่งอยู่บนโซฟานี้สักพัก และห้ามขยับไปไหนโดยเด็ดขาด” อัลทานิสกล่าวต่อคาสเตอร์ผู้บาดเจ็บ

  เมื่อนั้นเขาจึงเดินเข้าไปยังห้องนอนที่มาเดียร่านอนหมดสติอยู่ ค้นหาเครื่องใช้ในการรักษาจากตู้ในตัวห้องนั้น ด้วยความที่สภาพบ้านค่อนข้างเงียบงันเพราะผู้คนอยู่กันเพียงไม่กี่คน มันจึงทำให้เสียงของการขุดคุ้ยหาของนั้นดังลั่นบ้าน ตัวของชารอนแวมไพร์สาวผมแดงและคาร์เอลดาบยักษ์ล่าปีศาจนั้นก็หาได้อยู่ในบ้านหลังนี้แล้ว เนื่องด้วยที่ว่าอัลทานิสต้องการให้ชารอนนั้นตามหาตัวของเนลเรี่ยนอย่างทันที จึงได้ส่งตัวของเธอและคาร์เอลไปยังสถานที่ๆ มีความเป็นไปได้ที่สุดที่หนุ่มผู้มีปราณน้ำแข็งจะอยู่ได้ นั่นคือดินแดนหิมะแห่งสโนวเพลก ทันใดที่ชารอนได้ยินความเป็นไปได้ของเนลเรี่ยนที่อาจจะรอดอยู่ เธอจึงไม่รอช้าที่จะไปตามหาตัวของชายผมทองผู้นั้นราวกับตัวเองเป็นห่วงตัวชายผู้นี้น่าดู นี่ก็ผ่านไปได้สักห้าชั่วโมงแล้วหลังจากที่ทั้งสองคนนั้นได้เดินทางไปยังดินแดนเยือกแข็ง หากว่าทั้งสองใช้ถ้ำมิติที่พวกเขาใช้เดินทาง ป่านนี้คงจะถึงจุดหมายแล้ว โดยเหตุที่อัลทานิสต้องการให้คาร์เอลไปกับชารอนนั้นก็เพื่อที่จะนำทางอะไรหลายๆ อย่างแก่หญิงสาวที่เดินทางข้ามยุคกว่าสองทศวรรษจนอาจจะจำอะไรไม่ค่อยได้แล้ว

  แต่ที่น่าแปลกคือตัวของลูเซียสนั้นกลับอยู่ที่นี่ ไม่ได้ไปตามหาตัวเนลเรี่ยนเหมือนกับทั้งสองคนนั้น นั่นเป็นเพราะตัวของอัลทานิสเองก็ประสงค์เช่นนั้น นักปราชญ์ผู้นี้มองว่าในยามเช่นนี้มันจะเป็นอะไรที่เหมาะกว่าที่ลูเซียสจะเป็นคนดูแลมาเดียร่าแทนที่จะเป็นตัวเขาเอง ด้วยความที่ลูเซียสนั้นทั้งมีใจให้แก่เธอ ไหนจะพอรู้อะไรเกี่ยวกับตัวเธอมากกว่าอัลทานิสเองด้วย มันจึงเป็นอะไรที่ง่ายกว่ามาก อีกทั้งนิสัยของเจ้าของบ้านหลังนี้นั้นค่อนข้างเกลียดที่จะมานั่งดูแลเด็กหรือวัยรุ่นเพราะมันค่อนข้างยุ่งยากกว่าการมานั่งดูแลคนวัยกลางคนขึ้นไป และอีกเหตุผลหนึ่งที่อัลทานิสต้องการให้ลูเซียสอยู่กับเขามากกว่านั่นเพราะว่าเขารู้จักตัวของลูเซียสอยู่พอควรจากโครนอสผู้เป็นสหาย ด้วยความที่ลูเซียสมีพลังปราณแห่งบาปในตัวในรูปแบบพิเศษแตกต่างจากพลังบาปธรรมดาหรือดูบาร์นนั้น มันอาจจะเป็นกุญแจสำคัญที่จะทำให้อัลทานิสค้นพบวิธีการรักษาผู้ที่ถูกพลังแห่งบาปกลืนกินให้หายขาดเป็นปลิดทิ้งได้ และตัวของลูเซียสเองก็ผสานตัวเข้ากับปราณจนแทบจะเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างสมบูรณ์ หาได้กลืนกินกายหยาบหรือทำอันตรายใดแม้แต่น้อย ซ้ำยังปกป้องตัวของชายหนุ่มตลอดเวลาอีกต่างหาก มันจึงเป็นเหตุผลที่ทำไมอัลทานิสถึงเลือกให้ลูเซียสรออยู่ที่นี่

  ผ่านไปได้สักพักอัลทานิสจึงเดินออกมาจากห้องพักของตนพร้อมกับลูกแก้วปราณที่ตนใช้ในการรักษามาเดียร่าเมื่อไม่นานมานี้ นำมันไปไว้ต่อหน้าของผู้ป่วย ก่อนที่มันจะลอยออกไปจากหัตถ์ของอัลทานิส ล่องลอยอยู่กลางอากาศโดยหาได้มีผู้ใดจับมันไว้ ตัวของแขกผู้มาเยือนค่อนข้างเกิดความสงสัยกับสิ่งที่นักปราชญ์กำลังคิดจะกระทำ ดูตกใจเล็กน้อยเมื่อใยปราณเส้นเล็กๆ นับหมื่นพุ่งออกมาจากลูกแก้วปราณสีใส แต่เขาก็มิสามารถทำอะไรกับมันได้ เหล่าเส้นพลังปราณนั้นทะลุเข้าไปในกายาของคาสเตอร์ในทันที ยิ่งเป็นการทำให้ชายผู้นั้นตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นต่อหน้าของตน สีหน้าของเขาดูตื่นกลัวเอามาก ทั้งวิตกกับสิ่งที่เกิดขึ้นและไหนจะพลังปราณแห่งบาปที่มีส่วนที่ทำให้ความคิดของมนุษย์แปรปรวนผิดปกติ อย่างที่ทราบกันว่าคนส่วนมากแล้วที่มีพลังแห่งความตายนี้ ต่างโรคจิต วิปลาส สติฟันเฟื่อง จิตใจไม่อยู่กับตนกันทั้งนั้น นั่นเพราะพลังนี้มีส่วนต่อจิตใจของมนุษย์เข้าถึงสู่วิญญาณ ด้วยความที่ร่างกายของมนุษย์นั้นมีปริศนาที่ไม่สามารถหยั่งถึงได้อยู่มาก กลไกที่ไม่สามารถวิเคราะห์และบรรลุความเข้าใจที่ว่าวิญญาณเชื่อมต่อกับร่างกายเป็นดั่งประตูเชื่อมโยงเข้าเป็นหนึ่งเดียว มันคือสิ่งที่พลังแห่งบาปสามารถเข้าถึงได้ และทำการควบคุมจิตใจของคนจนบ้าคลั่งไปในที่สุด น้อยคนนักที่จะไม่เป็นเช่นนั้น ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือลูเซียส

คาสเตอร์หันไปมองอัลทานิสทันใดดั่งว่าตนมีอะไรจะกล่าวต่อชายผู้นั้น สงสัยกับสิ่งที่เกิดขึ้นจนมิอาจนิ่งเฉยได้

“จะ... เจ้ากำลังทำอะไรของเจ้า?” คาสเตอร์กล่าวถามขึ้นในทันที
“อะไร?” อัลทานิสแทรกขึ้น “ก็รักษาเจ้าไง..”
“หากเจ้าไม่สงบอารมณ์ในขั้นตอนการดูดพลังแห่งความตายออกจากร่างของเจ้าล่ะก็..”
“ลมปราณของเจ้าได้แตกซ่านจนตายแน่” อัลทานิสพูดต่อ
“แสดงว่า...” คาสเตอร์แทรกขึ้น
“ก็ตามนั้นล่ะ เจ้าถูกโจมตีโดยไซอาลอทเอง พลังแห่งความตายได้กัดกินร่างของเจ้าจนกว่าเจ้าจะตายหากไม่ทำการดูดมันออก”
“แต่ถึงกระนั้นที่ข้าพอทำได้จากลูกแก้วนี้ก็เพียงแค่ดูดปราณออกจากกายภาพ”
“ไม่สามารถทำได้กับปราณที่ฝังลงสู่วิญญาณ..”

“เจ้าพูดบ้าอะไรกัน?!” คาสเตอร์กล่าวด้วยความตกใจ “ไม่มีพลังปราณอันสามารถเข้าถึงวิญญาณของมนุษย์ได้หรอกหรือ?”

“พลังแห่งบาปมันซับซ้อนกว่าที่เจ้าคิดคาสเตอร์..” อัลทานิสกล่าว
“มันเป็นพลังธาตุพิเศษในตารางปราณทั้งหมด อย่าลืมสิ!”
“เพราะงั้นจงเงียบปากลง ทำใจให้สงบซะ”

  ระหว่างที่อัลทานิสกำลังกล่าววาจาของตนไป เขาก็ลากเก้าอี้ไม้มาใกล้ตัวของคาสเตอร์ นั่งลงไปและเริ่มตรวจเช็คร่างกายของคาสเตอร์อีกครั้ง ในครั้งนี้เขาตรวจมันอย่างละเอียด ใช้พลังปราณของตนคลุมกายของผู้ป่วยไว้เหมือนเป็นดั่งการสแกนร่างผ่านพลังปราณแห่งเพลิงของชายผู้นี้ เขาเริ่มสัมผัสได้ถึงความประหลาดภายในร่างกายของคาสเตอร์ มันดูผิดปกติแตกต่างไปจากมาเดียร่าโดยสิ้นเชิง ชายหนุ่มรู้สึกได้ถึงพลังปราณแห่งความตายที่เข้มข้นกว่าที่มันควรจะเป็นมาก ดั่งว่าคาสเตอร์นั้นไม่ได้แค่ถูกโจมตีโดยปราณแห่งบาปแต่เป็นตัวเขาเองที่เคยครอบครองพลังนั้นด้วย และมันก็ถูก เขาเคยครอบครองมัน พลังแห่งเบลล์ ก่อนที่ไซอาลอทจะดูดกลืนพลังกลับคืนไปหาเจ้าของที่แท้จริง อีกทั้งยังตรวจจับได้ถึงร่างกายที่เสียหายมากกว่าปกติหลายเท่าตัวนัก จนแทบจะดูเหมือนศพเดินได้เลยไม่ผิดเพี้ยน ไม่แตกต่างจากเหล่าหมอผีผู้ใช้พลังแห่งความตายเลย อัลทานิสสามารถรู้สึกได้ว่าพลังแห่งบาปได้กลืนกินอยู่ ณ จุดๆ เดียวของร่างกายของคาสเตอร์ หากไม่นับที่ใบหน้าที่ถูกแผดเผาโดยเพลิงพิโรธแล้ว มันก็มีแค่จุดเดียวนั่นคือกลางอกของชายผู้นั้นที่มีแผลเหมือนถูกกัดกินพลังเลย ที่น่าแปลกคือที่จุดๆ นั้นเขาแทบจะไม่มีร่องรอยแผลจากการถูกโจมตีสักนิด

  เมื่อนั้นอัลทานิสจึงคลายพลังเพลิงคลุมกายลงและในระหว่างนั้นลูกแก้วปราณได้ดูดกลืนพลังปราณเข้าสู่ตัวอย่างมาก และปราณสีเขียวที่ดูน่ากลัวนั้นก็ดูเข้มข้นเสียยิ่งกว่าครั้นที่มันได้ดูดกลืนปราณจากมาเดียร่าเสียอีก แน่นอนว่าสิ่งนั้นมันทำให้อัลทานิสตกใจพอควรจนเกิดคำถามในใจขึ้น ชายผู้เป็นลูกค้าของเขาเคยไปมีพลังแห่งความตายแบบลับๆ ยังงั้นหรือ ทันใดนั้นเขาจึงดึงเสื้อของคาสเตอร์ขึ้น พบกับว่าส่วนของหน้าอกของชายผู้นั้นซีดเผือด ดูแห้งกร้านราวกับเซลล์ภายในได้ตายไปอย่างสมบูรณ์ มันซีดจนสามารถอวัยวะภายในได้เลย และหัวใจเองก็สามารถมองเห็นได้จากภายนอกด้วยซ้ำ แต่สีของหัวใจของชายผู้นี้หาได้ปกติเหมือนกับบุคคลทั่วไป มันดำสนิทราวกับว่ามันได้กักเก็บอะไรร้ายๆ ไว้เต็มไปหมด เส้นเลือดที่ปูดขึ้นทั่วอกเป็นสีม่วงประหลาดราวกับว่าเลือดหาได้เดินไปหล่อเลี้ยงอย่างเต็มที่ แถมมันยังดูเหมือนว่ามีอะไรกัดกินส่วนนั้นจนเป็นแผลหลายจุดดั่งแผลไหม้ประหลาดที่ไม่สามารถคาดเดาได้ว่าอะไรทำให้มันเป็นเช่นนั้น น่าแปลกคือเขายังมีชีวิตอยู่ได้เช่นไรกับสภาพร่างกายแบบนี้ เพราะมันดูไม่เหมือนว่าเขาได้รับอะไรแบบนี้มาในยามที่เขาต่อกรกับเทพอัคคีเลย มันดูคล้ายว่าเขามีอาการนี้อยู่นานมากแล้วซะด้วยซ้ำ คงจะสักสัปดาห์เห็นจะได้

“เจ้าไปทำอะไรมากัน?” อัลทานิสกล่าวถามด้วยความสงสัย
“ข้า...?” คาสเตอร์พูดตอบ “เจ้าพูดเรื่องอะไร?”
“อย่ามาทำเป็นไม่รู้เรื่องเลยดีกว่า... ไอ้สภาพร่างกายของเจ้าที่ปรากฏอยู่มันไม่ต่างอะไรจากศพเดินได้ด้วยซ้ำ”
“บอกข้ามาว่าเจ้าไปทำอะไรแปลกๆ กับร่างกาย พลังปราณหรืออะไรหรือเปล่า?” อัลทานิสกล่าวถามซ้ำ

“ข้าไม่คิดว่าข้าทำอะไรไปนะ..” คาสเตอร์ตอบกลับหน้าตาเฉย

อัลทานิสได้ยินเช่นนั้นหาได้เชื่ออย่างสนิทใจ กลับกันเขารู้สึกว่าคาสเตอร์ดูไม่เนียนเลยที่จะทำการโกหกคนอื่น และยิ่งโกหกกับผู้มีความรู้เรื่องศาสตร์การแพทย์เช่นนี้ย่อมไม่ใช่วิธีที่ฉลาดนัก

“เจ้ามั่นใจงั้นหรือ?” เจ้าของบ้านถามขึ้นอีกครั้ง แต่สีหน้าที่ดูจริงจังมากยิ่งขึ้น
“เจ้ากำลังโกหกข้าใช่ไหม?”
“โกหกอะไรของเจ้า?”
“อย่ามาตอแหล..” อัลทานิสกล่าวสวน “สภาพแบบนี้มันมีได้แค่เฉพาะพวกที่เกิดความคิดบ้าๆ เอาพลังแห่งบาปฝังลงเข้าตัวอย่างเดียวนั่นล่ะ”
“และสภาพที่ทำให้ร่างกายของเจ้าเป็นถึงขนาดนี้ได้ มันย่อมไม่ใช่ปราณระดับธรรมดา”
“มันคงเป็นพลังแห่งความตายบริสุทธิ์จากผู้ใช้ระดับสูงเลยทีเดียวสินะ..” เขาอธิบายต่อ
“เพราะฉะนั้นบอกมา.. เจ้าไปทำอะไรกับร่างกายของเจ้า?”

คาสเตอร์ที่ได้ยินเช่นนั้นจึงมิสามารถกล่าววาจาหลอกลวงอันใดได้อีกต่อไป ต่อให้เขาจะตีเนียนขนาดไหนก็ตาม เมื่อนั้นเขาจึงสูดอากาศเข้าไปก่อนจะถอนหายใจออก ดั่งว่ากำลังครุ่นคิดว่าตนจะยอมบอกชายผู้นั้นกับสิ่งที่ตนกระทำลงไปหรือไม่

“ข้าใช้กลลวง..” คาสเตอร์ยอมตอบมันไป
“ใช้กลไกของข้าเพื่อที่จะดึงพลังแห่งความตายส่วนหนึ่งออกมาจากเบลล์แห่งบาป”
“หวังจะใช้มันเพื่อเป็นใหญ่” เขากล่าว “แต่ข้าไม่นึกเลยว่ามันจะไม่เป็นดั่งที่ข้าคาดการณ์ไว้...”
“สักนิดเดียว..”

แน่นอนว่าระหว่างที่คาสเตอร์กล่าววาจาของตนไป มันทำให้อัลทานิสโมโหกับการกระทำนั้นของชายผู้เป็นแขก

“คิดจะเป็นใหญ่?” อัลทานิสกล่าว “เจ้าคิดบ้าอะไรของเจ้า?!”
“สิ่งที่เจ้าทำคือการคิดจะฆ่าตัวตาย และดูสิว่ามันทำอะไรกับร่างกายของเจ้า!”
“พวกเราต่างรู้ว่าพลังแห่งบาปมันทำอะไรได้และพวกโง่ที่ใช้มันโดยไม่รู้ถึงความอันตรายของมันต่างก็ตายกันเพราะลมปราณแตกซ่านทั้งนั้น”
“ใครก็ตามที่ถูกพลังแห่งบาปกัดกินแทบจะไม่มีโอกาสรอดเลยด้วยซ้ำ!”
“มันก็เหมือนกับการที่เจ้าถูกอาบยาพิษ และใช่! เจ้ารู้ดีว่ามันรู้สึกยังไงเพราะเจ้าสังหารคนด้วยวิธีนั้น”
“รอความตาย... อย่างทรมาณ ทั้งกายาและจิตใจ”
“เจ้าอยากจะเป็นแบบนั้นงั้นหรือ?”

  ผู้ป่วยที่ได้ยินเช่นนั้นหาได้ตอบวาจาอันใดกลับไป เขาเงียบไป ก้มหน้าลงราวกับเพิ่งรู้ตัวว่าตนเองทำผิดอันใดลงไป คิดได้ว่าหากไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น หากไซอาลอทไม่ดึงพลังออกไปจากร่างของตนล่ะก็เขาคงอาจจะตายไปแล้วเพราะทนพิษบาดแผลของพลังปราณชั่วนี้แล้ว พอลองคิดดีๆ แล้วเขาก็รู้สึกตัวว่ากายาของตนรู้สึกผิดปกติไปตั้งแต่ได้รับพลังแห่งความตายมา ตั้งแต่ที่ตนได้เห็นนิมิตที่ไซอาลอทเข้ามาอยู่ในห้วงมิติความฝันของตน ทั้งร่างกายที่แทบจะไม่สามารถกวัดแกว่งเพลงดาบได้ดั่งใจนึก ทั้งเนื้อตัวที่อ่อนแอลงไปอย่างชัดเจนจนแทบจะไอออกมาพร้อมกับเสมหะโลหิต มันล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นจากปราณแห่งความตายทั้งสิ้น อัลทานิสรู้ตัวดีว่าแม้เขาจะถามคาสเตอร์ด้วยคำถามเมื่อครู่ไป เขาไม่มีทางจะได้คำตอบกลับคืนมาอย่างแน่แท้ เมื่อนั้นเขาจึงลุกจากเก้าอี้ที่ตนนั่ง

“รอดูอยู่ในสภาพนี้ประมาณครึ่งชั่วโมง” อัลทานิสกล่าว
“เมื่อเส้นใยปราณเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีปราณที่แตกต่างไป หรือพูดง่ายๆ ปราณของเจ้า”
“ให้เรียกตัวข้าในทันที.. เมื่อนั้นข้าจะทำการรักษาเจ้า”

  เมื่อชายเจ้าของบ้านกล่าวจบเขาจึงเดินจากคาสเตอร์ไป เดินไปเรื่อยตามทางก่อนที่จะเข้าไปยังห้องครัวซึ่งมีชุดโต๊ะครอบครัวที่สามารถนั่งพักได้ อัลทานิสหยิบขวดเครื่องดื่มมึนเมาที่ตนได้ดื่มไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนมา เปิดฝาจุกออกก่อนที่จะรินน้ำเมาลงไปใส่แก้วโดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่าในห้องนั้นมีชายอีกคนนั่งอยู่ในสภาพที่เคร่งเครียดน่าดู ลูเซียส เขาแสดงสีหน้าที่ไม่ค่อยสู้ดีนักราวกับว่ากำลังครุ่นคิดถึงอะไรสักอย่าง ท่าทางจะเป็นสิ่งที่อัลทานิสกล่าวออกไป เพราะหากลองมองย้อนดูแล้ว มาเดียร่าก็มีสภาพเช่นเดียวกับคาสเตอร์ นั่นก็หมายความว่าหญิงสาวผู้นี้อาจจะตายตอนไหนก็ได้ ด้วยความที่เธอตกอยู่ในภวังค์ กลายเป็นเจ้าหญิงนิทราเช่นนี้ เขาก็แทบมองไม่ออกเลยว่าเมื่อไหร่เธอจะฟื้นขึ้นมา เมื่อไหร่เธอจะหายเป็นปกติเสียที จากที่อัลทานิสกล่าวต่อคาสเตอร์ มันแทบไม่มีหนทางที่มาเดียร่าจะหายขาดได้เลยสักนิด ดั่งคนถูกอาบยาพิษ มันก็ไม่ต่างอะไรจากการรอความตายเสียด้วยซ้ำ

“ที่ท่านพูดออกไป... มันจริงหรือขอรับ?” ลูเซียสกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ดูหดหู่พอควร

เจ้าของบ้านหยุดรินเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หันไปมองชายหนุ่ม ในบรรยากาศที่เงียบเช่นนี้ มันยิ่งทำให้สถานการณ์ดูตรึงเครียดมากขึ้นเป็นเท่าตัว

“เจ้าหมายถึงเรื่องอะไรหรือลูเซียส?” ชายผู้นั้นกล่าวถามคืน
“ท่านรู้... ว่าท่านไม่สามารถรักษาคนพวกนั้นให้หายขาดได้”
“ใช่หรือเปล่า?” เด็กหนุ่มกล่าวถามซ้ำ

  และสิ่งที่เกิดขึ้นตามมาคืออัลทานิสที่เงียบตัวไป ไม่กล่าวอะไรออกมาสักนิด แน่นอนว่าตัวเขานั้นรู้ตัวว่าเขามิอาจจะรักษาคนพวกนั้นให้หายขาดได้ เขาก็เคยบอกมันไปกับชารอนแล้ว และนั่นคือเหตุผลที่ทำไมลูเซียสถึงอยู่ที่นี่ เพราะเขาอาจจะเป็นผู้เดียวที่สามารถรักษาแทนตัวเขาได้ แต่ก็ยังไม่สามารถรู้ได้ แต่ลำพังแค่กำลังของอัลทานิสเองก็คงไม่ไหว แม้นหนุ่มผู้นี้จะเป็นส่วนหนึ่งของไซอาลอทก็ตาม เด็กหนุ่มรู้ตัวในทันทีว่าคำตอบมันคืออะไร เขามองอัลทานิสด้วยสายตาที่จริงจัง ไม่กล่าวอะไรไป แต่มันแสดงถึงวาจา การกระทำอย่างชัดเจน ความคิดที่มีต่ออัลทานิสที่ว่าชายผู้นี้ก็แค่พยายามจะให้ความหวังอันสวยงามที่มันไม่มีจริงต่อพวกเขาเท่านั้น ไอ้ความหวังที่สวยงาม... มันจะไปมีได้ยังไงล่ะ นี่มันไม่ใช่โลกแห่งแฟนตาซีที่เราสามารถคิดอะไรเองได้ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นก็มีแต่ความโศกเศร้า ความทุกข์ทรมาณเท่านั้น ทั้งยิ่งความตายได้ตื่นขึ้นจากการหลับไหลแบบนี้ ไอ้คำพูดสวยๆ เหล่านั้นมันแทบจะไม่มีน้ำหนักเลย และลูเซียสก็ไม่ใช่คนโง่ เขาไม่ได้คล้อยตามกับวาจาเหล่านั้น และเขาก็ไม่เคยมองว่าโลกนี้ดีอะไรเลย แม้นว่าโครนอสจะพยายามสอนเขาในแง่ดีก็ตาม แต่ความจริงแล้วมันก็แค่ลมปากที่ทำให้เราคิดว่าวันพรุ่งนี้เราจะอยู่รอดได้เท่านั้น เขาคือปีศาจและอยู่ในโลกของการโกหก และเขารู้ว่าอัลทานิสกำลังโกหกเขาอยู่

  อัลทานิสพยายามจะทำเหมือนว่าเขาไม่ได้ยินคำถามนั้น หนุ่มผู้นั้นกระดกแก้วขึ้น ให้น้ำเมาไหลรินลงไป ลิ้มรสอันหอมหวานของเครื่องดื่ม พยายามลืมเลือนคำถามที่ถูกกล่าวถามขึ้น แต่มันก็ไม่สามารถทำให้ความคิดเหล่านั้นหลุดออกไปจากหัวของอัลทานิสได้ ลูเซียสยังคงจดจ้องอัลทานิสอย่างจริงจัง ยังคงรอคำตอบที่ตนกล่าวออกไป ไม่ว่าจะทางใดทางหนึ่ง เขาจะต้องได้รับคำตอบจากนักปราชญ์คนนี้ให้ได้

“ตอบข้า..” หนุ่มสวมแว่นกล่าวต่อ

เจ้าของบ้านวางแก้วลงไปกับโต๊ะไม้ จ้องหน้าของหนุ่มบรรณารักษ์ที่ยังคงรอคำตอบ

“นั่นคือเหตุผลที่ทำไมข้าให้เจ้าอยู่ที่นี่...” อัลทานิสตอบ
“ข้าไม่สามารถทำมันได้ด้วยตัวเอง แต่เจ้า... เจ้าคือเลือดพิเศษ”
“ข้าพอรู้จักเจ้าพอควรจากโครนอส ข้าเลยคิดว่าเจ้าอาจจะเป็นคนเดียวที่สามารถทำสิ่งที่คนอื่นไม่สามารถทำได้ด้วยดูบาร์นของเจ้า”

“และอีกอย่าง...” เขากล่าวขึ้นต่อหลังจากที่เงียบไปเมื่อครู่

“ทันทีที่ข้าสัมผัสมือของเจ้า ข้ารู้ว่าเจ้ามีใจให้กับหญิงคนนั้นขนาดไหน?”
“พวกเจ้าทั้งคู่เหมือนกัน เลือดพิเศษ.. และเข้าใจกันถึงแก่น”
“หากสถานการณ์ย่ำแย่และเราทั้งสองไม่สามารถรักษาเธอได้จริงๆ”
“ข้าอยากให้เธอ.. และเจ้าอยู่ร่วมกัน จนกว่าจะถึงวาระสุดท้ายนั้น”
“ข้าอยากให้เจ้าทำใจ และเจ้าก็รู้..”
“คำกล่าวของข้ามันแค่ลมปากทำให้โล่งใจ แต่โลกที่เราอยู่.. มันไม่ได้สวยแบบนั้น”
“ข้าคิดว่าเจ้าคงจะเข้าใจว่าทำไมข้าถึงทำแบบนี้”

  หนุ่มพลังเพลิงกล่าววาจาของตนเองจนเสร็จ เขายกขวดเหล้าไปหาชายหนุ่มที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของเขา ลูเซียสส่ายหน้าเป็นการบ่งบอกว่าเขาไม่ต้องการดื่มมันในตอนนี้ เจ้าของบ้านที่เห็นเช่นนั้นจึงดึงขวดกลับเข้ามาหาตัว เอาฝาจุกขวดปิดปากขวดจนสนิทและวางมันลงไปบนโต๊ะ ก่อนที่จะยกขวดแก้วที่มีเหล้าเหลืออยู่ไม่นานนักขึ้น กลืนน้ำเมาลงคออีกครั้งจนหมดแก้ว ค่อยๆ วางแก้วลงไปใกล้กับขวด เขาดูไม่เร่งรีบอะไรเลย ออกเฉื่อยๆ เสียด้วยซ้ำราวกับว่าปล่อยให้เวลามันเดินไปโดยที่ตัวเองไม่ทำอะไร

“อย่างไรก็ตามแต่..” จู่ๆ อัลทานิสก็กล่าวขึ้นมา
“เจ้าเคยใช้ดูบาร์นดูดกลืนพลังปราณชนิดอื่นหรือเปล่า?” เขาถามลูเซียส

เด็กหนุ่มค่อนข้างสงสัยกับคำถามที่ถูกถามขึ้นมา เขาลองมานึกดูว่าตนเองเคยใช้พลังเมือกสีทมิฬนี้ดูดกลืนพลังของใครมาหรือไม่ แต่เขาคิดออกเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้นที่เคยทำแบบนั้น เมื่อครั้นที่อดีตองค์กษัตริย์แห่งสตอร์มโฮล์มวานให้เขาช่วยเรื่องดาบแห่งเอลทวอร์น ครั้งนั้น... ครั้งที่เขาได้ดูดกลืนพลังของ..

ไซอาลอทเข้าสู่ตัวเอง!

“ข้าเคย... ครั้งเดียวขอรับ..” เขาตอบ
“แต่มันเป็นพลังแห่งความตาย.. ของไซอาลอท”
“ข้ารู้” อัลทานิสกล่าวแทรกขึ้น “ข้าสัมผัสมันได้..”
“กล่าวคือตัวเจ้าสามารถกลืนกินปราณได้อย่างสมบูรณ์ จนกลายเป็นของตนเอง”
“มันเป็นสิ่งที่คาสเตอร์ ฉันหรือใครก็ตามในโลกนี้ไม่สามารถทำได้”
“ความสามารถในการกลืนกิน มีเพียงแค่เจ้า... กับผู้สร้างของเจ้า ไซอาลอทเท่านั้น”

“แต่ข้าสงสัย..” หนุ่มสวมแว่นกล่าวขึ้น
“ทำไมไซอาลอทถึงไม่สามารถดูดกลืนพลังแห่งซินโดร่าได้กันล่ะ?”
“ท่านเป็นส่วนหนึ่งของมารเพลิง ท่านน่าจะพอรู้อยู่แล้ว... มิใช่หรือ?”เขาถามนักปราชญ์

มันสร้างความสนใจให้กับอัลทานิสในทันทีเมื่อได้ยินคำถามแบบนั้นจากปากของลูเซียส ราวกับว่าไม่เคยมีใครถามสิ่งที่น่าสนใจแบบนี้กับเขาเลยสักนิด

“นั่นสินะ..” ชายผู้นั้นกล่าวตอบ
“งั้นก็ตามข้ามาสิ..”

------------

  ท่ามกลางดินแดนเยือกแข็ง ผืนแดนที่มีทุ่งน้ำแข็งเต็มไปหมด พร้อมทั้งเทือกเขาสูงชันที่ยากแก่การปืนป่ายเพราะแรงชมกรรโชกอย่างหนัก ปะปนด้วยหิมะทำให้ผู้คนที่เดินอยู่ยากที่จะมองเห็นข้างหน้าไปอย่างชัดเจน แม้นแต่แสงยังไม่สามารถผ่านหมอกหนาแห่งความเย็นไปได้อย่างเด็ดขาด บัดนี้มีเงาของสองบุคคลกำลังเดินไปท่ามกลางทุ่งหิมะนั้น ร่างของหญิงสาวหุ่นงามนำหน้าหนุ่มร่างกำยำพร้อมดาบเหล็กไหลขนาดใหญ่อยู่ นั่นคือชารอนและคาร์เอล พวกเขาแลดูจะเดินไปเรื่อยโดยที่ไม่รู้จุดหมายเบื้องหน้าว่าจะไปแห่งหนใดได้ เนื่องด้วยสภาพทางวิสัยทัศน์สามารถเห็นได้ยาก อีกทั้งยังไม่รู้ว่าเนลเรี่ยนอยู่ที่ไหนอย่างตายตัวอีกต่างหาก จึงทำให้พวกเขาเดินไปอย่างกับคนหลงทางเช่นนี้ จากข้อมูลที่อัลทานิสได้บอกไว้ก่อนที่พวกเขาจะเดินทาง มันมีความเป็นไปได้ที่สุดที่เนลเรี่ยนจะอยู่ที่ปราสาทอาร์ชเดล ปราสาทแห่งน้ำแข็งร้างขนาดมหึมาใจกลางตัวดินแดนของสโนวเพลกเป็นเวลานาน และคาดว่าตัวของเนลเรี่ยนอาจจะกำลังฝึกฝนเพื่อควบคุมพลังแห่งซินโดร่าอยู่ก็เป็นได้ นั่นคือสิ่งที่นักปราชญ์ได้บอกไว้ แต่ถึงปราสาทจะใหญ่โตขนาดไหนก็ตาม แต่ด้วยสภาพแวดล้อมแบบนี้มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลยที่จะหาจุดหมายให้เจอ อีกทั้งยังไม่สามารถถามใครได้เนื่องเพราะสภาพแวดล้อมไม่เป็นใจแก่การอยู่อาศัยจนผู้คนย้ายเรือนไปจนหมด นั่นคือพวกเขาต้องแข่งกับเวลาเพื่อที่จะหาเนลเรี่ยนให้เจอ เพราะหากช้า พวกเขาก็อาจจะหนาวตายก็เป็นได้

  ด้วยความหนาวเหน็บระดับต่ำกว่าจุดศูนย์ จึงเป็นครั้งแรกที่ชารอนจะสวมเครื่องแต่งกายหนาทึบ ปิดบังเรือนร่างแทบทุกส่วนจนมิด แม้ว่าเธอจะเป็นแวมไพร์อมตะที่ไม่มีวันแก่ก็ตามที แต่สภาพอากาศแบบนี้ก็สามารถทำให้เธอหนาวตายได้เหมือนกัน ไม่ต่างจากคาร์เอลนัก เขาก็สวมชุดหนาพอๆ กับเธอเพื่อป้องกันอากาศอันหนาวเหน็บ ทั้งสองยังคงเดินไปเรื่อยตามทุ่งกว้างที่มองไม่เห็นที่สิ้นสุด ยกขาเหยียบลงสู่ผืนดินได้ยากเนื่องด้วยหิมะหนาจนสูงเกือบถึงเข่า จนต้องคลุมพลังปราณไว้ส่วนเท้าเพื่อทำให้การขยับสะดวกขึ้นมาในระดับหนึ่ง คาร์เอลก้มตัวลง หยิบวัตถุอะไรสักอย่างออกมาจากกระเป๋าเสื้อ กำมันไว้ก่อนจะดูมัน มันคือเข็มทิศบอกทาง แต่น่าเสียดายที่มันไม่ทำงานอย่างที่มันควรจะเป็น ตัวเข็มมันหมุนไปเรื่อยอย่างรวดเร็วราวกับว่าในตอนนี้พวกเขาทั้งสองได้อยู่ในเขตสนาแม่เหล็กเลย แบบนี้พวกเขาจักไปรู้ได้เช่นไรว่าตอนนี้พวกเขากำลังเดินทางไปแห่งหนใด และไปถูกหรือเปล่า จากที่อัลทานิสบอกไว้ พวกเขาควรจะเดินทางไปยังทางใต้ของทวีปเพื่อง่ายต่อการหาปราสาท แต่เมื่อมันเป็นแบบนี้แล้วคงยากที่จะไปทิศใต้เสียแล้ว

“เข็มทิศใช้การไม่ได้...” คาร์เอลกล่าวขึ้นบอกสาวแวมไพร์
“แล้วกัน.. แบบนี้เราจะเดินทางไปถูกได้ยังไงล่ะคะ?” ชารอนกล่าวถาม
“ข้าก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน” หนุ่มผู้นั้นตอบ “หวังว่าเราอยู่ใกล้กับปราสาทแห่งนั้นก็น่าจะดี...”
“แล้วเราจะทำไงดีล่ะคะ?”
“ข้าก็ไม่รู้..” เขาตอบ

  พวกเขากล่าวบทสนทนาระหว่างที่เดินไปตามทาง เมื่อคาร์เอลพูดจบมันก็หาได้ทำให้ทั้งคู่หยุดฝีก้าวเดินเลย ทั้งสองยังคงเดินตรงต่อไปโดยไม่รู้หนทางข้างหน้าอยู่ โชคดีที่ตอนนี้ฟ้ายังไม่มืดลง แต่ในอีกไม่ช้ามันคงจะเป็นแบบนั้นแน่ เช่นนั้นแล้วอะไรหลายๆ อย่างยิ่งจะลำบากไปใหญ่บวกกับอุณหภูมิที่มีความเป็นไปได้ที่จะต่ำลงเป็นเท่าตัวอีกต่างหาก เช่นนั้นแล้วมันยิ่งจะเป็นปัญหาสำหรับพวกเขาทั้งสองเป็นแน่แท้ ทางที่ดีที่สุดในตอนนี้คือพวกเขาต้องเร่งตัวหาปราสาทแห่งนั้นโดยเร็ว หรือไม่ก็จำเป็นที่จะต้องพักเอาแรงและหนีความหนาวในถ้ำแน่ ด้วยความที่บริเวณโดยรอบมีภูเขาเนินสูงขึ้นเยอะพอควร จึงมีความเป็นไปได้ที่จะเจอถ้ำสักแห่งที่เหมาะแก่การพักผ่อนในช่วงเวลาค่ำคืน

“เจ้าได้ยินหรือเปล่า?” จู่ๆ หญิงสาวผมแดงก็กล่าวขึ้นมา หยุดฝีก้าวของตนในทันที

คาร์เอลที่เห็นเช่นนั้นจึงหยุดตามด้วยความสงสัย ก่อนที่จะเริ่มหันไปรอบๆ มองดูว่ามันมีอะไรหรือเปล่า

“พอได้ยิน..” เขากล่าวตอบ “เหมือนเสียงอะไรสักอย่างกระทบลงกับพื้น..”
“หินถล่มงั้นหรือ?” เธอแทรกขึ้น
“เปล่า..” คาร์เอลตอบ “ถ้าเสียงหินมันไม่เป็นจังหวะแบบนี้หรอก”

เหมือนพวกเขาจะได้ยินเสียงอะไรสักอย่างกระแทกลงสู่ผืนดิน จากบทสนทนาน่าจะพอคาดเดาได้ว่าสิ่งที่ทำให้เกิดเสียงนั้นท่าจะใหญ่พอดู

“ก็จริง..” เธอกล่าว “แต่มันถี่เหมือนกันนะ..”
“หรือว่าจะ?!”
“เสียงฝีเท้างั้นหรือ?”

  มันเริ่มดังขึ้นมาเรื่อยๆ จนปรากฏเป็นเงาอะไรสักอย่างต่อหน้าพวกเขา เป็นร่างเหมือนดั่งอสูรยักษ์ขนาดใหญ่พอๆ กับหินผายังไงยังงั้น น่าจะสูงราวๆ สามเมตรเห็นจะได้และขนาดตัวที่ใหญ่ยิ่งกว่าคาร์เอลหลายเท่าตัวนัก มันเป็นเหมือนดั่งปีศาจแต่ไม่ใช่ปีศาจที่เกิดขึ้นจากพลังไสยศาสตร์แห่งบาปเลยสักนิด คล้ายกับเป็น... อสูรเก่าแก่ที่อาศัยอยู่ที่แห่งนี้เป็นเวลานานเสียมากกว่า มันหยุดตัวลงต่อหน้าของชารอนและคาร์เอล แต่พวกเขาก็ยังไม่สามารถมองเห็นลักษณะหน้าตาของปีศาจร้ายตนนั้นได้ ทันใดนั้นมันจึงเปล่งเสียงคำรามต่อหน้าของบุคคลทั้งสอง ราวกับมันมองเห็นศัตรู พยายามจะจู่เป็นการป้องกันตัว... หรือคิดจะจู่โจมเสียเองด้วยซ้ำ!

“เยติ... งั้นหรอ?!”
ขึ้นไปข้างบน Go down
https://www.facebook.com/BillAlfenolf
 
Cataclysm: The Endless Hellfire XXXV
ขึ้นไปข้างบน 
หน้า 1 จาก 1
 Similar topics
-
» Cataclysm: The Endless Hellfire IX
» Cataclysm: The Endless Hellfire XXV
» Cataclysm: The Endless Hellfire X
» Cataclysm: The Endless Hellfire XI
» Cataclysm: The Endless Hellfire XII

Permissions in this forum:คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
Bloody Wrestling Online :: BWO : Special Event :: BWO Novel-
ไปที่: