Bloody Wrestling Online
Would you like to react to this message? Create an account in a few clicks or log in to continue.

Bloody Wrestling Online

The Number One Cyber Wrestling Online
 
บ้านPortalLatest imagesสมัครสมาชิก(Register)เข้าสู่ระบบ(Log in)

 

 Cataclysm: The Endless Hellfire XXXIX

Go down 
ผู้ตั้งข้อความ
Neferpitou
Moderators
Moderators
Neferpitou


จำนวนข้อความ : 552
Join date : 05/12/2012
Age : 27
ที่อยู่ : The Facility of Banned Organizer

Cataclysm: The Endless Hellfire XXXIX Empty
ตั้งหัวข้อเรื่อง: Cataclysm: The Endless Hellfire XXXIX   Cataclysm: The Endless Hellfire XXXIX EmptySun Mar 12, 2017 12:32 am

Cataclysm: Endless Hellfire
Act XXXIX

------------

  ภายในห้องโถงปราสาทเยือกแข็งแห่งอาร์ชเดล สถานที่ว่างเปล่ากว้างขวางพอที่จะใช้เป็นลานประลองแห่งการต่อสู้ได้ ตัวห้องดูสว่างสะอาดตา ตกแต่งด้วยกระเบื้องคล้ายผลึกน้ำแข็งที่สามารถสะท้อนแสงได้ในระดับหนึ่ง พื้นกระเบื้องนั้นก่อเกิดเสียงขึ้นคล้ายเป็นแก้วกระทบผืนดินทุกครั้งที่ฝีก้าวของชารอนและเนลเรี่ยนย่างกรายลง กำแพงรอบห้องก็ถูกสร้างด้วยวัตถุดิบที่คล้ายคลึงกับพื้นกระเบื้อง แต่มันหาได้สะท้อนแสงมากเท่ากับตัวกระเบื้องเหล่านั้น ส่วนด้านบนของห้อง บนเพดานนั้นก็ไม่ต่างจากปราสาทธรรมดาทั่วไปที่จะตกแต่งด้วยลายสลักสวยงามบ้าง แผ่นผลึกที่ติดบนเพดานบ้าง แต่ที่น่าแปลกคือที่ข้างบนนั้นมีพลังปราณเอ่อล้นอยู่เต็มไปหมด เป็นพลังปราณสีฟ้าคล้ายกับปราณน้ำและน้ำแข็ง ลอยบนอากาศราวกับเป็นก๊าซมวลสารเบา ดูเหมือนว่าห้องนี้จะใช้เป็นสถานที่การฝึกฝนของเนลเรี่ยนในระหว่างที่เขาอยู่ในปราสาทแห่งนี้ โดยผู้ที่คุมการฝึกก็เป็นมารดาของเขา ผู้ซึ่งเป็นเจ้าของปราสาทแห่งนี้ ในตอนนี้มีเพียงแค่คู่ชายหญิงทั้งสองที่อยู่ในห้องแห่งนั้น แม้นว่าอันที่จริงตัวของคาดาเลียผู้เป็นแม่จะเดินตามชายหนุ่มผู้ใช้ปราณน้ำแข็งอย่างใกล้ชิด แต่ก็มีเพียงแค่บุตรของเธอคนเดียวเช่นกันจะสามารถมองเห็นหล่อนได้

เมื่อนั้นทั้งสองจึงได้หยุดลงที่ใจกลางของห้อง ก่อนที่ชายหนุ่มจะหันไปด้านข้างของตนเอง ซึ่งดูเหมือนว่าจะหันไปหามารดาของตนราวกับว่ามีอะไรจะคุยกับเธอสักอย่าง

“ข้าสงสัยพอดูครับท่านแม่...” เขากระซิบหาคาดาเลียผู้เป็นแม่
“ทำไมท่านถึงเลือกให้การฝึกฝนขั้นสุดท้ายของผมเป็นการเจอกับชารอนงั้นหรือขอรับ?”

เด็กหนุ่มผู้เป็นลูกถามด้วยความสงสัย ทำให้หญิงผมสีฟ้าที่มีแต่ชายผู้นี้มองเห็นหันไปหา

“ก็อย่างที่แม่ได้กล่าวไปเมื่อตอนนั้น... เธอมีพลังในระดับทัดเทียมกับปู่ของเจ้า”
“แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลทั้งหมดหรอกนะ อันที่จริงแล้วนั่นเป็นเพราะวิธีการต่อสู้ของเธอด้วย”
“การเข้าหาศัตรูแบบบู้แหลกบ้าบิ่นคือสิ่งที่หล่อนใช้ในการต่อสู้”
“ด้วยความที่กายาเหนือกว่าคนปกติทั่วไป จึงทำให้หล่อนทำแบบนั้น” คาดาเลียกล่าว

“แล้วมันเกี่ยวยังไงกันครับ?”

“ก็ถ้าพูดง่ายๆ คือ... วิธีการต่อสู้ของเธอและไซอาลอทนั้นเหมือนกันเลยมิผิดเพี้ยนไงละ”
“เลยมีโอกาสมากที่ลูกอาจจะจับทางของมารเพลิงได้ผ่านทางตัวของชารอน” เธอกล่าวตอบ

  ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นเอง ชารอนได้พบเห็นกับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่เบื้องหน้า ชายหนุ่มที่กำลังคุยกับอะไรสักอย่างที่ตนไม่สามารถมองเห็น ราวกับคุยกับลมอากาศ แต่เธอก็พอจะรู้ดีว่าเขากำลังสนทนาอยู่กับใคร แม้นว่าจะไม่ได้ยินคำพูดเหล่านั้นเลยแม้แต่น้อย แน่นอนว่าการคุยแบบกระซิบเช่นนั้นมันทำให้คนนอกอย่างเธอรู้สึกหงุดหงิดอยู่เล็กน้อย ราวกับกำลังถูกเมินเฉยทั้งที่เนลเรี่ยนเป็นฝ่ายร้องขอให้เธอเป็นคนช่วยฝึกฝนขั้นตอนสุดท้ายนี้ เมื่อนั้นหญิงสาวจึงดึงแส้ออกมาจากเอวของหล่อน พยายามที่จะเรียกความสนใจกับหนุ่มผมทองผู้นั้น เขากลับไม่รู้สึกถึงอะไรเลย มิทันไรที่แส้วิญญาณของหญิงผู้นั้นได้ก่อเกิดปราณแห่งวายุ สร้างเสียงแหวกลมกรีดวิญญาณดังลั่นขึ้นทั่วทั้งห้องนั้น นั่นทำให้เนลเรี่ยนรู้สึกถึงพลังของเธออย่างชัดเจน กระนั้นสิ่งที่ทำให้ชายผู้นั้นหันกลับไปหาเธอ หาใช่เป็นปราณที่พุ่งออกมาอย่างแรงกล้า แต่เป็นจิตสังหารของเธอที่มีต่อเขา มันแรงกล้าราวกับว่าตัวหล่อนกำลังคิดที่จะฆ่าเขาอย่างจริงจัง เขาก็ไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมเธอถึงต้องแสดงอารมณ์นั้นทั้งที่นี่เป็นแค่การฝึกเท่านั้น

“แล้วก็ระวังให้ดีละเนลเรี่ยน... ชารอนน่ะเป็นคนที่จริงจังกับการต่อสู้มาก”
“ถึงแม้ว่าจะเป็นการฝึกก็ตามที.. แต่ความคิดของเธอก็คิดดั่งคนที่กำลังต่อสู้กันจริง”
“เป็นพวกกระหายเลือดละนะ... ตามที่เจ้าคิดละ เป็นดั่งแวมไพร์”
“นั่นก็หมายถึง บางทีหล่อนอาจจะสังหารเจ้าเลยก็ได้” ผู้เป็นมารดาเอ่ยขึ้น

  วาจานั้นทำให้เนลเรี่ยนมองหญิงสาวผู้นั้นในทางที่ต่างออกไป ทั้งจิตสังหารบวกกับวาจาที่แม่ของเขากล่าวมาต่อเช่นนี้ มันทำให้หนุ่มผู้มองชารอนราวกับว่าเธอเป็นปีศาจไปเลย ในระดับที่ทัดเทียมกับไซอาลอทเสียด้วยซ้ำ ทั้งปราณที่สูงกล้าของเธอ ทั้งจิตเพ่งอาฆาตเหล่านั้น ทำให้หนุ่มผู้นี้ขนลุกราวกับหวาดกลัวดั่งเช่นในยามที่เขาได้ประจัญหน้ากับเพลิงพิโรธเองเลย ความรู้สึกเหล่านั้นแทบจะทำให้หนุ่มผู้นี้ไม่กล้าที่จะก้าวขาของตัวเอง ขยับกายได้ตามที่ต้องการ ราวกับตัวเองถูกสาปให้นิ่งกลายเป็นหินเลยยังไงยังงั้น แถมท่าทางของชารอนก็เริ่มเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ท่าทีที่เริ่มดูคึกคักอย่างแปลกๆ รอยยิ้มที่ฉีกออกจากมุมปากแลดูน่ากลัวแทนที่จะเป็นน่าหลงไหล ดวงตาที่เริ่มแดงฉาน บวกกับร่างกายที่เริ่มเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ผิวหนังที่ดูตึงเกร็งราวกับเป็นผู้มากกำลัง ออร่าสีเลือดที่ไหลพุ่งออกมาจากร่างกาย นั่นหรอกหรือคือแวมไพร์ นี่หรอกหรือคือความรู้สึกที่ได้รับเมื่อยืนอยู่ต่อหน้านักสู้ปีศาจเช่นนี้

  น่าแปลกที่ทำไมเธอถึงสามารถควบคุมปราณทั้งสองได้โดยที่ไม่เป็นอันตรายอันใดเลย ปกติแล้วผู้ที่มีปราณธาตุพิเศษจะไม่สามารถใช้ปราณพื้นฐานทั้งสิบสองธาตุได้เลยด้วยซ้ำ แตกต่างจากหญิงสาวชารอนผู้นี้ที่ไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย เธอกลับสามารถควบคุมปราณลมและโลหิตได้ตามปกติ โดยทั่วไปแล้วหากผู้มีพลังธาตุพิเศษ หรือผู้ที่มีพลังธาตุสามัญนั้น หากตนเองได้สำเร็จกระบวนปราณสายของตน บรรลุจนถึงขั้นที่สามารถที่ปล่อยมันออกเป็นพลังงานแล้วจะไม่สามารถฝึกปราณพิเศษหรือสามัญได้แล้วแต่ตัวบุคคล นั่นเป็นเพราะร่างกายของคนเราได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อรับปราณได้เพียงชนิดเดียวเป็นหลัก แล้วแต่บุคคลที่จะเลือกฝึกหรือมีพลังด้านใดมาแต่กำเนิด บางคนอาจจะเกิดมามีพลังธาตุสามัญ บางคนอาจจะธาตุพิเศษ บางคนอาจจะไม่มีเลยเป็นดั่งภาชนะที่จะสามารถรับปราณใดก็ได้ในยามที่ฝึกฝน หรือจะได้รับจากสภาพแวดล้อมที่อยู่อีกที

หากฝืนที่จะฝึกพลังสายด้านตรงข้ามกับตัวเอง เช่นหากผู้มีพลังสายแห่งวอยด์ตั้งใจจะฝึกฝนปราณธาตุวารี ผลที่ออกมาคือร่างกายของบุคคลเหล่านั้นจะไม่สามารถรับปราณทั้งสองชนิดได้ไหว จนเกิดการรั่วไหลของปราณออกจากร่างหรือในอีกนัยหนึ่งคือลมปราณแตกซ่านนั่นเอง หากเป็นเช่นนั้นแล้วร่างกายอาจจะได้รับอันตรายจนถึงขั้นเสียชีวิตไปเลย อาจจะหัวใจวายเฉียบพลันไปจนถึงกายาระเบิดออกโดยไม่รู้ตัว แต่ด้วยเหตุใดกันที่ชารอนกลับไม่เป็นเช่นนั้น เธอดูปกติ ซ้ำยังมีพลังมากกว่าเดิมหลายเท่าตัวเสียด้วยซ้ำเมื่อใช้ปราณทั้งสองพร้อมกัน

“ท่านแม่... มันไม่ดูแปลกไปหน่อยหรือขอรับ?” เนลเรี่ยนกระซิบขึ้น
“เรื่องอะไรหรอจ๊ะ?”
“ชารอน... ทำไมเธอถึงสามารถใช้ปราณสายสามัญและสายพิเศษได้กันละ?”
“ทั้งที่ไม่น่าจะมีใครสามารถทำได้อยู่แล้วไม่ใช่หรอครับ?” เด็กหนุ่มผู้ใช้ปราณเยือกแข็งถามด้วยความสงสัย

“จำกัดทางสายเลือดน่ะ” หญิงสาวผมสีน้ำเงินตอบ “เธอเป็นหญิงสาวแวมไพร์จากตระกูลอัลเชเลีย..”
“แสดงว่าเธอเป็นแวมไพร์จริงๆ สินะ..” ชายหนุ่มแทรกขึ้น
“ใช่.. และเธอก็แก่กว่าแม่และตัวของปู่ของเจ้าเองด้วยซ้ำ” หล่อนกล่าวตอบ

“เธอคือแวมไพร์เพียงตนเดียวที่อยู่เหนือหลักธรรมชาติ ตัวของหล่อนคือคนเดียวที่สามารถกักเก็บปราณทั้งสองชนิดได้โดยไม่เป็นอันตรายอันใด เนื่องเพราะเส้นปราณภายในกายของเธอเดินไม่เหมือนกับคนทั่วไป ปกติแล้วคนอื่นจะมีสายพลังปราณที่เดินวนไปทั่วร่างกายเป็นดั่งภาชนะที่กักเก็บพลังงานไว้ภายในตัว หากมากเกินไปจะไม่สามารถกักเก็บไว้ได้และลมปราณแตกซ่านโดยตลอด”

“อย่าบอกนะว่าแม่กำลังจะบอกว่า..” เนลเรี่ยนพยายามจะกล่าวขึ้น
“ใช่... เจ้าก็น่าจะสังเกตเห็นตั้งแต่เมื่อครั้นที่เจ้าได้เห็นเธอใช้ปราณโลหิตครั้งแรกแล้ว”
“ตัวเธอนั้นลมปราณแตกซ่านอยู่ตลอดเวลา... ด้วยเส้นปราณที่หาได้วนเป็นสายเดียวแต่แตกแขนงออก ใช้รูขุมขนเป็นทางผ่านปล่อยปราณ และดูดกลืนพลังธรรมชาติตามธาตุที่ตนเองมี”
“พูดง่ายๆ คือปราณลมที่เธอใช้ตลอดคือผ่านจากการดูดพลังจากภายนอกแล้วกักเก็บเข้ามาสู่ภายใน ใช้มันเป็นอาวุธชิ้นแรกเพราะสะดวกที่สุดและสามารถใช้มันเท่าไหร่ก็ได้ตามที่ต้องการ”

“ซึ่งหล่อนก็เหมือนกับไซอาลอทนั่นละ... ต่างกันตรงที่ไซอาลอทนั้นสามารถกักเก็บปราณทั้งสองได้อย่างสมบูรณ์แบบผ่านทางการวิวัฒนาการร่างของตน จากผู้พิทักษ์ในโครงสร้างมนุษย์ กลายเป็นปีศาจกึ่งโครงสร้างมนุษย์ แต่ก็ยังใช้หลักการเดียวกับชารอนโดยดูดกลืนปราณพลังเพลิงเข้าหาตัว แม่ว่าเจ้าก็น่าจะสังเกตได้กับระเบิดเมื่อไม่กี่วันก่อนในเขตแดนของดินแดนแห่งเพลิง ไฟร์วอร์คเกอร์ เครเทอร์... นั่นล่ะที่ว่าทำไมไซอาลอทถึงดูดพลังเข้าหาตัวเองจากสิ่งมีชีวิตอื่นๆ หรือวัตถุอื่นและสามารถปลดปล่อยมันออกไปได้โดยที่ปราณไม่เสื่อมคลาย ชารอนเองก็เช่นกัน... ปราณของหล่อนคือสิ่งไม่เสื่อมคลาย”

“นั่นก็คือพวกเขาเป็นสิ่งที่คล้ายคลึงกัน.. แม่จึงให้ข้าฝึกกับเธอเพื่อเป็นเหมือนดั่งการทดลองต่อสู้กับเพลิงพิโรธเองสินะ” หนุ่มกล่าวขึ้นต่อ
“ถูกต้อง... แต่แน่นอนว่าไซอาลอทคือผู้พิทักษ์ส่วนชารอนคือแวมไพร์ ระดับมันต่างกันแม้ว่าจะไม่มากเท่าไหร่”
“ก็ยังถือว่ามารเพลิงเหนือกว่าอยู่ดี”

คำบรรยายเหล่านั้นยิ่งทำให้ชายหนุ่มรู้สึกหวาดกลัวต่อชารอน แม้นตนเองจะเป็นผู้มีพลังพิเศษเหนือคนอื่นที่สามารถโค่นมารเพลิงได้ก็ตามที แต่สิ่งที่คาดาเลียกล่าวมาทั้งหมดยิ่งทำให้เนลเรี่ยนทำอะไรไม่ถูก จนแทบจะตั้งสมาธิกับการต่อสู้ที่กำลังจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย

“จำไว้ให้ดีนะคะท่านเนลเรี่ยน... ว่านี่คือการฝึกขั้นตอนสุดท้ายของท่าน”
“เช่นนั้นแล้วข้าจะไม่อ่อนข้อให้ตัวท่านโดยเด็ดขาด! และแน่นอนว่าหากข้าพลั้งมือไปแม้แต่น้อยก็อาจจะสังหารท่านได้”
“เพราะฉะนั้นตั้งสมาธิแล้วเอาชนะข้าให้ได้นะคะ!”

  นั่นคือสิ่งที่เธอกล่าวออกมาต่อชายหนุ่ม แน่นอนว่าที่เธอพูดมามันก็ถูกต้องทั้งหมด นี่คือการฝึกขั้นสุดท้ายที่อาจจะแลกด้วยชีวิตของเขา หากไม่สามารถผ่านด่านทดสอบนี้ไปได้ หนทางที่จะหยุดยั้งเพลิงพิโรธก็ไม่อาจจะเป็นจริงได้ นั่นย่อมหมายถึงหนทางเดียวที่เนลเรี่ยนจะต้องทำนั่นคือการเอาชนะชารอนให้ได้ แม้ว่าเขาจะเคยสู้กับหล่อนมาและเอาชนะได้แล้วครั้งหนึ่ง แต่นั่นเป็นเพราะสร้อยคอแห่งคาดาลที่เธอสวมมัน ถึงเธอจะสวมมันในครั้งนี้ด้วยก็จริงแต่ก็หาได้ขาดสติเหมือนเช่นเมื่อคราวก่อน คงเป็นเรื่องที่ยากกว่าเดิมหลายเท่าตัวเลย บัดนี้เขาต้องตั้งสมาธิทั้งหมด เตรียมตัววางแผนที่จะใช้ในการต่อกรกับหล่อน ถึงแม้ว่าเธอจะเป็นพวกบู้แหลกแต่การจะไม่มีแผนอันใดเลยก็ไม่ใช่เรื่องที่ดี พลังแบบนั้นสามารถสะบั้นร่างของคนธรรมดาให้ขาดได้ภายในฉับเดียว ถึงแม้ว่าเนลเรี่ยนจะไม่ใช่คนธรรมดาแต่หากถูกชารอนโจมตีเข้าอย่างแรงก็อาจถึงชีวิต เท่ากับทุกฝีก้าวที่เขาจะย่างกราย ทุกการแกว่งกายที่ตนจะกระทำล้วนแล้วแต่วัดชะตาชีวิตของตัวเองและชัยชนะ

(ใจเย็นก่อนเนลเรี่ยน... ตั้งสมาธิสิ... เราเคยเอาชนะหล่อนมาแล้วครั้งหนึ่ง)
(อีกอย่างเราก็พอจะจับทางการใช้กระบวนท่าของเธอได้แล้วตั้งแต่ครั้งนั้น)
(การต่อสู้ที่เน้นระยะกลาง นั่นเราก็พอจะได้เปรียบกว่า... แต่การเข้าใกล้ตัวอย่าได้พูดถึงเลย)
(แถมต้องห้ามต่อสู้เป็นระยะเวลานานเช่นนี้มันไม่ใช่เรื่องง่ายด้วยสิ ถ้าจะต้องรีบจบ ก็ต้องใช้กระบวนท่านั้นเท่านั้น)

“เป็นอะไรไปคะท่านเนลเรี่ยน.. ข้าอุตส่าห์เปิดช่องว่างเพื่อให้ท่านเปิดเกมก่อนเสียตั้งนาน”
“หรือจะให้ผู้ช่วยฝึกเป็นคนเปิดเกมไปเสียเอง!”

ชารอนพลางพูดในขณะที่เนลเรี่ยนกำลังครุ่นคิดถึงสิ่งที่กำลังจะทำ คำพูดเหล่านั้นทำให้ชายหนุ่มเสียสมาธิพอดู แต่ยังดีที่เขาไม่ออกตัวไปโดยไม่คำนึงถึงว่าเธอกำลังมีแผนการอะไร

(อย่าเพิ่งหัวเสียกับสิ่งที่หล่อนพูด... ไม่ต้องคิดถึงอะไรเลย หล่อนแค่พยายามที่จะยั่วเรา)
(ยั่วยุ... จริงสิ!) ชายหนุ่มคิดในใจตัวเองต่อโดยที่ยังไม่ตัดสินใจที่จะจู่โจมสาวผู้นั้นไปเสียที

“เงียบไปเลยน่ายัยแก่! ข้าจะเริ่มศึกตอนไหนก็เป็นสิทธิ์ของข้า!”
“ว่าไงนะคะ?!”

  คำเสียดสีถูกเปล่งออกไปแก่สตรีรูปงาม แน่นอนว่าถึงมันจะเป็นความจริงก็ตามแต่การที่ผู้หญิงจะโดนว่าด้วยคำพูดแบบนี้ย่อมเป็นอะไรที่ทนไม่ได้สำหรับหล่อนอยู่แล้ว ชารอนดูท่าจะโกรธพอควรกับการที่เนลเรี่ยนพูดเช่นนั้น มือกำแส้วิญญาณของตนไว้แน่นราวกับว่ากำลังจะระเบิดอารมณ์ออกมา แม้นเธอรู้ว่าเขากำลังคิดจะก่อกวนเธอด้วยความกวนโอ๊ย แต่มันย่อมไม่ใช่การกระทำที่ไม่ได้คิดอะไรแน่ แต่เธอก็ไม่ยอมโจมตีไปหาเนลเรี่ยนเช่นกัน ซึ่งท่าทางที่แสดงออกราวกับทำอะไรไม่ถูกของชารอนนั้นสร้างความมั่นใจให้แก่เนลเรี่ยน เขายิ้มขึ้นอย่างพึงพอใจ คาดว่าสิ่งที่เขากำลังจะทำมันคงได้ผลเป็นอย่างดี

“เอาล่ะๆ... ข้าจะเริ่มการฝึกเลยก็ได้” เนลเรี่ยนกล่าวขึ้น “แต่ว่าขออะไรอย่างนึง..”
“ช่วยปัดฝุ่นเคลอะที่ติดอยู่กับร่างของเธอหน่อยจะได้หรือเปล่าละ?”
“ข้าไม่อยากจะไอจามเพราะฝุ่นที่ติดอยู่กับวัตถุโบราณหรอกนะ”

“ท่านนี่มัน....” เธอกัดฟันพูดมันออกไปด้วยความฉุนเฉียว

(ดูท่าว่าหล่อนจะเป็นพวกห่วงสวยห่วงงามอยู่ เพราะงั้นการที่โดนกระแทกแดกดันไปด้วยคำพูดแบบนั้นคงทำให้โมโหไม่น้อย)
(ถือว่าได้ผลสำหรับพวกบ้าบู้แหลกล่ะนะ)
(งั้นที่เหลือก็...)

“กึกกกกกกก!”

  จู่ๆ ความคิดที่อยู่ภายในหัวของหนุ่มผู้นั้นก็ชะงัก เขารู้สึกแปลกๆ กับตัวราวกับว่าตัวเองหายใจไม่ออก แถมยังไม่สามารถขยับกายาได้ เมื่อก้มลงไปมองดูจึงเห็นว่าแส้ของเธอได้รัดเข้าที่คอของชายผมทองผู้นั้นเสียแล้ว แต่ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? เขาไม่เห็นเสียด้วยซ้ำว่าเธอเหวี่ยงหรือตวัดแส้ของตนเลย ร่างกายที่นิ่งพร้อมทั้งท่าทางการจับอาวุธแบบนั้นมันจะสามารถเหวี่ยงแส้มาที่คอของเขาได้เช่นไรกัน? ทั้งที่มือถือข้างนั้นก็นิ่งเฉย จับแส้ไว้โดยไม่คิดที่จะโจมตีด้วยซ้ำ ความสงสัยเกิดขึ้นภายในหัวของเนลเรี่ยน เขาเริ่มมองดูสายแส้เหล่านั้นดีๆ จึงพบกับว่ามันยาวออกมาเสียยิ่งกว่าที่มันควรจะเป็น แต่แส้ที่ยืดออกเป็นเท่าตัวนั้นหาใช่แส้ของจริงแต่อย่างใด มันถูกสร้างขึ้นโดยปราณโลหิตของชารอน จับตัวเป็นสายคล้ายเถาวัลย์ เลื้อยๆ ไปช้าๆ ตั้งแต่ยามที่เนลเรี่ยนพูดยั่วยุแล้ว ด้วยความที่ชายหนุ่มมัวแต่สนุกและสนใจกับการทำให้ชารอนเสียสมาธิจนเกินไป สบประมาทกับการที่หล่อนแสดงอารมณ์เป็นหน้ากากหลอกล่อตน จนไม่ยักเห็นว่าเธอได้ทำเช่นนี้ไปตั้งแต่ต้นแล้ว

  เมื่อนั้นชารอนจึงกระตุกแส้ของตนลง ดึงคอของเนลเรี่ยนราวกับจะหักคอชายผู้นั้น การกระทำนั้นทำให้คางของชายหนุ่มผู้ใช้ปราณเยือกแข็งกระแทกลงกับพื้นกระเบื้องอย่างแรง ทำให้เขารู้สึกมึนหัว มองเห็นเบื้องหน้าไม่ชัด แต่ด้วยความที่หญิงผู้นั้นดึงมันลงด้วยกำลังเกินคน จึงทำให้ร่างของชายหนุ่มเด้งกระดอนขึ้นมาจากพื้นหลังจากแรงกระแทกนั้น ลอยอยู่กลางอากาศราวกับคนที่ไม่รู้สึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัว หากเป็นคนธรรมดาที่โดนไปเช่นนั้น กระดูกส่วนคอคงหลุดออกและเสียชีวิตไปแล้ว แต่เนลเรี่ยนหาได้เป็นเช่นนั้น เขายังมีสติอยู่ครบแต่เลือนลางเพราะการกระทบกระเทือน เมื่อนั้นชารอนจึงอาศัยจังหวะนั้นพุ่งตัวเข้าไปอย่างรวดเร็ว กระโดดยกขาถีบร่างของชายหนุ่ม โดยเป้าหมายพุ่งเข้าสู่กลางท้องทำให้เนลเรี่ยนรู้สึกจุกจนกายาปลิวออกไป กระแทกเข้าใส่กำแพงของห้อง ร่างกายของเขาไม่อาจจะขยับได้เลยหลังจากการโจมตีอย่างแรงนั้น แทบจะลุกขึ้นมาด้วยขาทั้งสองไม่ไหว แต่หนุ่มผมทองหาได้ยอมแพ้ เขาคลานขึ้นมาช้าๆ หันหน้าไปหาหญิงสาวผู้นั้น ค่อยๆ กระพริบตาของตัวเอง ส่ายหน้าไปมาเรียกสติคืนกลับ

ชายหนุ่มกระอักโลหิตออกมาจากปากของตนในทันที นี่เป็นแค่การโจมตีชุดแรกที่แวมไพร์สาวมอบให้แก่เขา มันยังทำให้ชายผู้นี้บาดเจ็บจนเลือดกระอักได้แล้ว

“ไม่ก้มลงไปเลียเลือดของข้าหน่อยหรอ... แค๊กๆๆ” เนลเรี่ยนกล่าวพลางไอด้วยความเจ็บปวด
“ก็เห็นว่าแวมไพร์ชอบดูดเลือดนี่นะ..”

วาจานั้นกล่าวออกไป เท้าของชารอนจึงแกว่งตามไปโดยที่เล็งเข้าไปกลางหน้า... ไม่สิ! คงกะจะเตะปากที่อยู่บนใบหน้าของชายผู้นั้นให้ฟันหลุดออกมาเพื่อความสะใจตนแหงๆ

  แต่ขาของเธอก็หยุดลง พร้อมสีหน้าที่ตกตะลึงว่ามันเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร... สิ่งที่ประจักษ์ต่อสายตาของแวมไพร์สาวเป็นอะไรที่เธอไม่อยากจะเชื่อ หนุ่มผู้นั้นใช้มือทั้งสองรับกระบวนเตะของเธอได้อย่างสบาย ราวกับว่ามันไม่ได้สร้างความเจ็บปวดอะไรให้กับเขาเลยแม้แต่น้อย ทั้งที่ลูกเตะนั้นแรงพอที่จะทำลายเสาหินได้สบายๆ แท้ แต่เขากลับรับมันได้.. ด้วยมือเปล่า! ไม่สิ! ด้วยปราณน้ำแข็งบางๆ ที่ก่อขึ้นมาบนมือเป็นดั่งเกราะเหล็กกล้ากันการโจมตีนั้น หญิงสาวรู้สึกได้ทันทีที่มันกระทบต่อขาข้างนั้นของเธอ หล่อนเจ็บราวจนแทบจะรู้สึกว่ากระดูกของเธอหักเพราะไอเย็นแข็งกล้านั่น มันได้แช่ขาส่วนนั้นของเธอจนไม่อาจจะดึงกลับมาหาตัวได้ จึงกลายเป็นว่าชารอนตกอยู่ในสภาพเสียเปรียบโดยสิ้นเชิง

“อารมณ์ร้อนแบบนี้แสดงว่ายังไม่หมดวัยทองล่ะสิ..” หนุ่มผู้นั้นยังไม่หยุดที่จะกล่าววาจาก่อนกวนเธอ
“ข้าก็บอกแล้วไงว่าข้าจะเริ่มก็ต่อเมื่อข้าต้องการ..” เขากล่าว “ก็ถือว่าเป็นผลสำเร็จที่จข้ายุยงให้เจ้าโมโหละนะ”
“แม่ของข้าได้พูดถึงเรื่องของเจ้าไว้เยอะพอควร จนพอจะรู้นิสัยตัวเจ้า”
“เช่นนั้นแล้วข้าเลยรอจังหวะนี้เพื่อให้เจ้าติดกับ.. และขอแนะนำกระบวนท่าที่ข้าได้เรียนมาละนะ!”

  หญิงสาวได้กลิ่นไอปราณแรงกล้ามาจากข้างหลัง มันเย็นเฉียบราวกับว่าโดนหิมะทาบผิว เมื่อหล่อนสังเกตไปดูจากข้างหลังจึงพบกับว่ามีอาวุธมีดสั้นทั้งสิบพุ่งเข้าหาตัวเธอด้วยความเร็วที่เท่ากับ อยู่ที่ทิศที่ต่างกันไป เมื่อนั้นเธอจึงยกแส้ของตนเพื่อจะใช้เป็นการป้องกันตัว ตวัดแส้จนเกิดเป็นพายุซัดครืนใส่มีดพวกนั้นจนกระเซ็นออกไป ถึงกระนั้นมันหาได้ช่วยให้คมมีดเหล่านั้นหยุดการโจมตี มันยังพุ่งเข้ามาหาตัวเธอราวกับไล่ตาม หล่อนจึงรีบใช้แส้ฟาดใส่มือทั้งสองของเนลเรี่ยน ทลายน้ำแข็งที่ตรึงร่างเธอไว้ ก่อนจะถอยฉากออกไป เช่นนั้นแล้วมีดทั้งสิบเล่มเหล่านั้นจึงหยุดลงที่เบื้องหลังของเนลเรี่ยน เมื่อชารอนสังเกตดีๆ แล้วเธอจึงเห็นได้ว่ามีดเหล่านั้นได้จัดอยู่ในรูปแบบที่ดูเป็นระเบียบ ด้านซ้ายห้าและด้านขวาห้า คล้ายดั่งกงเล็บปลายหัตถ์ของสัตว์ร้ายมิมีผิดเพี้ยน มันทำให้เธอดูตะลึงกับสิ่งที่เห็น อย่างว่าตนรู้จักกระบวนท่านี้เป็นอย่างดี

(ดรรชนีมากรักงั้นหรือ?... นั่นมันกระบวนท่าของนายหญิงคาดาเลียนี่หน่า)
(แต่ที่ต่างออกไปคือมันหาใช่นิ้วเป็นการโจมตี แต่เป็นคมมีดเสียต่างหาก)
(จะเป็นไปได้ยังไงกัน? นั่นไม่ใช่กระบวนท่าที่จะฝึกได้อย่างรวดเร็วและปรับเปลี่ยนตามควมถนัดนี่หน่า)
(แต่กระนั้น ท่วงท่า ลีลาการใช้งาน หากมองมีดเหล่านั้นเป็นโครงรูปมือแล้วมันก็ไม่ต่างจากดรรชนีมากรักเลย)
(ไม่ผิดแน่.. ท่านเนลเรี่ยนจะต้องสำเร็จกระบวนท่านี้จนบรรลุกระบวนเยือกแข็งกลืนสมุทรแล้ว!)

  ชารอนคิดในใจราวกับว่าตนเองรู้ถึงกระบวนท่าที่เนลเรี่ยนใช้อยู่ในตอนนี้ สำหรับตัวเธอที่เคยประลองกับคาดาเลียอยู่หลายครั้งคราในอดีตย่อมรู้จักชุดกระบวนท่า “หิมะยามเย็น” ของเธอเป็นแน่ ชุดกระบวนท่าที่มีท่าย่อยอยู่ด้วยกันมากมายซึ่งเคยสร้างความโด่งดังให้แก่ยุทธภพมาแล้วในกาลก่อน ว่ากันว่าลำพังเพียงกระบวนท่าดรรชนีมากรักและเยือกแข็งกลืนสมุทรซึ่งเป็นท่าย่อยของกระบวนหิมะยามเย็นก็สามารถเอาชนะกองทัพปีศาจแห่งไซอาลอทได้สบายๆ หากเนลเรี่ยนได้ใช้งานกระบวนท่าดรรชนีมากรักได้ถึงจะเป็นรุ่นดัดแปลงก็ตามที นั่นย่อมหมายความว่าเขาได้ร่ำเรียนกระบวนท่าทั้งหมดของคาดาเลียจนสำเร็จแล้ว แต่ก็มิสามารถคาดเดาได้ว่ากระบวนท่าเหล่านั้นจะเป็นการดัดแปลงหรือรุ่นต้นฉบับดั่งเช่นหิมะยามเย็นเคยได้ใช้เมื่อกาลก่อน

“เจ้าคงรู้จักกระบวนท่าดรรชนีมากรักของมารดาข้าสินะชารอน..”
“แต่คมมีดทั้งสิบเหล่านี้ไม่ใช่กระบวนท่าที่เจ้าจะสามารถคาดเดาได้ในทันที เพราะว่าข้าจะได้ปรับแต่งมันเพื่อความสะดวกของตนเองเป็นกระบวนมีด”
“ข้าตั้งชื่อมันว่าดรรชนีจุรีไร้รัก!”

(งั้นแสดงว่ากระบวนท่ามันคงจะไม่ต่างจากดรรชนีมากรักซะทีเดียว แต่ยังไงก็ตามแต่เราจะประมาทไม่ได้)
(เท่าที่รู้คือการใช้ดรรชนีมากรักจะแบ่งเป็นสามช่วงนั่นคือ “ศรพยศ” ที่เพิ่งใช้ไปเมื่อครู่)
(เดาว่าช่วงต่อไปคงจะใช้ “ยึดเมฆ” แล้วปิดฉากด้วย “ห่าฝนอุกกาบาต”)
(ที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือรูปแบบการใช้ของยึดเมฆ เนลเรี่ยนจะดัดแปลงหรือคงตามท่าดั้งเดิม)
(แต่เป็นไปได้มากกว่าที่จะเปลี่ยนไปหมดยกเว้นผลของท่านั้น ซึ่งเป็นการแช่แข็งเราไว้เป็นเป้านิ่ง)
(ต้องมองให้ออกว่าเนลเรี่ยนจะใช้มันยังไงและตอนไหน?)
(ตัดสินด้วยการล่อเป้าโจมตีแล้วกัน)

  เช่นนั้นแล้วตัวของหญิงสาวแวมไพร์จึงรุดตัวไปข้างหน้า สะบัดแส้ไปมาอย่างบ้าคลั่งราวกับพยายามจะพุ่งเข้าจัดการเนลเรี่ยนในทันที แต่ความจริงที่เธอทำเช่นนั้นมีเป้าหมายเพื่อป้องกันตัวเองจากมีดทั้งสิบที่จะเข้าโจมตีร่างของเธอด้วยกระบวนช่วงศรพยศ ไม่ให้คมมีดตามล่าสามารถแตะต้องตัวของเธอได้ และก็เป็นอย่างที่เธอคาดการณ์เอาไว้ เนลเรี่ยนยังคงให้มีดเหล่านั้นเข้าหาตัวเธอ พยายามที่จะทลายการป้องกันของหล่อน แต่แรงลมที่สูงกว่าและรวดเร็วกว่ามิอาจจะทำให้อาวุธแทงทะลุเหล่านั้นผ่านร่างเธอได้เลย ชารอนพอที่จะมองออกว่ากระบวนท่าของเนลเรี่ยนและนายหญิงคาดาเลียนั้นต่างกัน แม้นจะใช้หลักการเดียวกันในการใช้งานก็ตามแต่ โดยท่าของนายหญิงจะใช้มืออันแท้จริงของหล่อนในการโจมตีซึ่งมันเป็นการโจมตีระยะประชิด แต่ของเนลเรี่ยนนั้นสร้างกงเล็บผ่านทางมีดทั้งสิบ ดูเหมือนจะเป็นการโจมตีระยะกลางและไกลเสียมากกว่า เพราะงั้นหญิงสาวจึงทำทุกอย่างเพื่อที่จะเข้าใกล้ตัวของชายหนุ่มผมทอง

  เธอพอที่จะเห็นว่าทุกครั้งที่เนลเรี่ยนออกโจมตีจะขยับนิ้วมือเหมือนกับเป็นการควบคุมมีด หากมีเวลาพอที่จะสังเกตว่านิ้วไหนจะทำการโจมตีก็พอที่จะเดาออกว่ามีดเล่มไหนจะมาจากทิศใด เนลเรี่ยนมัวแต่ใส่ใจกับการเจาะทะลุการป้องกันนั้นจนลืมตัวว่าหญิงสาวได้เข้าใกล้ตัวแล้ว เธอสะบัดแส้วิญญาณที่เต็มไปด้วยปราณโลหิตออก พุ่งเข้าหาร่างของชายหนุ่ม แต่เขากลับไม่หลบมันไปเลยแต่น้อย ซ้ำยังแสดงท่าทางยืนรอมันให้พุ่งตรงเข้าไปหาตัว

“ยึดเมฆ!”

เสียงของเนลเรี่ยนถูกเปล่งออกอย่างดังสื่อการใช้งานกระบวนท่า ทันใดที่วาจานั้นถูกกล่าว ไอเย็นได้ก่อขึ้นทั่วผืนอากาศสร้างความหนาวเหน็บให้แก่หญิงสาวผู้หมายมุ่งจะเผด็จศึก แช่แข็งร่างของเธอจนน้ำแข็งคลุมทั่วกาย

(อะไรกัน?! ตอนนี้เลยงั้นหรือ..?)

ชารอนมิอยากจะเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัว ราวกับว่าตนเองหาได้คาดหมายว่าชายหนุ่มผู้ที่สู้กับเธอจะใช้กระบวนท่านี้ในทันทีทันใด เช่นนั้นแล้วเนลเรี่ยนจึงกระโดดถอยฉากออกไป ผสานมือทั้งสองเข้าเตรียมจะใช้กระบวนท่าส่วนที่สาม ห่าฝนอุกกาบาต ทันใดมีดทั้งสิบเล่มจึงลอยขึ้นเหนือฟากฟ้า ตั้งมุมฉากเตรียมดิ่งลงไปหาเป้าหมายซึ่งเป็นแวมไพร์ แต่เหล่ามีดทั้งสิบเล่มเหล่านั้นได้สร้างมีดน้ำแข็งขึ้นมาอีก กลายเป็นคมมีดกว่าร้อยพันเตรียมจะทะลุร่างของชารอน และแล้วคมมีดทั้งหลายจึงได้พุ่งลงไป

โดยเนลเรี่ยนมิทันได้สังเกตเลยว่าได้มีไอร้อนแปลกๆ พุ่งออกมาจากรอยแตกของน้ำแข็งที่เกาะร่างของหญิงสาวผู้นั้น ไม่นานนักเยือกแข็งที่เกาะร่างของชารอนจึงแตกออกเป็นเสี่ยงๆ

ปรากฏเป็นร่างของหญิงสาวในลุคที่ดูต่างออกไป ดวงตาสีแดงฉานราวกับเป็นอัญมณีแห่งโลหิต ปราณสีแดงที่พุ่งออกมาทั่วกาย คมเขี้ยวที่ผุดออกมาจากปาก ดูเหมือนเธอจะเอาจริงกับการต่อสู้นี้แล้ว แรงซัดของหล่อนที่ทำให้ปราณน้ำแข็งของชายหนุ่มแตกเป็นเสี่ยงๆ ส่งผลให้มีดทั้งร้อยกว่าเล่มกระจัดกระจายปลิวออกไปต่างทิศ โดนวายุซัดกระหน่ำขนมีดน้ำแข็งบางเล่มแตกเป็นเสี่ยง

ชายหนุ่มพยายามใช้แขนของตนบังลมที่พุ่งเข้ามาหาตัว เมื่อมันสงบลง จึงค่อยๆ ลดมือลง... แต่ร่างของแวมไพร์ผมแดงได้หายไปแล้ว! ชายหนุ่มหันซ้ายแลขวามองไม่เห็นใครอยู่รอบข้าง

“ดูเหมือนเธอจะใช้กระบวนท่าผันผายวายุ” คาดาเลียกล่าวต่อบุตรของเธอ
“เป็นกระบวนท่าที่เคลื่อนตัวเร็วอย่างกับลม แต่ต้องขยับไปมาเพื่อไม่ให้สูญเสียความเร็ว”
“ยิ่งเธอใช้ท่านี้นานเท่าไหร่ ความเร็วของหล่อนยิ่งสูงมากขึ้นเท่านั้น”
“แม่ขอแนะนำให้ลูกให้ยึดเมฆอีกครั้งเพื่อตรึงร่างของเธอไว้”

“แต่... ยึดเมฆหาได้ผลได้เธอเลยนะครับท่านแม่” เนลเรี่ยนกล่าวตอบ

“เราแค่ต้องการตรึงร่างของเธอไว้ชั่วขณะ... เมื่อเจ้าได้โอกาสนั้น”
“ก็รีบใช้กงเล็บเยือกแข็งเผด็จศึกเธอซะ”
“พูดง่ายแต่มันทำยาก... งั้นผมจะลองดูแล้วกัน!”

  ชายหนุ่มปล่อยปราณไอเย็นออกจากร่างของตัว แผ่ขยายมันออกไปทั่วห้องหวังจะใช้เป็นการจับร่างของชารอนที่ขยับไปมาอย่างรวดเร็ว เขาเริ่มทำให้อุณหภูมของห้องเย็นลงอย่างรวดเร็ว จนอยากที่สิ่งมีชีวิตธรรมดาจะมีชีวิตรอดจากความหนาวเหน็บนี้ได้ เช่นนั้นแล้วเขาก็เริ่มมองเห็นเงาร่างของชารอนเลือนลางไปตามลมปราณที่เอ่อล้นและคลุมกายเธอทั่วผืนห้อง เห็นเธอขยับไปมาด้วยความเร็วน่าเหลือเชื่อ มิทันไรตัวของหล่อนก็พุ่งเข้ามาเนลเรี่ยน เปิดเพลงเตะเข้าไปกลางใบหน้าของชายหนุ่ม แม้นเขาจะมองมันเห็นแต่ก็ไม่อาจรับความเร็วนั้นไว้ได้ทัน ร่างของเขาลอยขึ้นเหนืออากาศ ชายหนุ่มพยายามจะผลักตัวออกจากจุดนั้น แต่ก็มิอาจจะทำได้ เขาถูกแส้แห่งวิญญาณรัดร่างเอาไว้แน่น ก่อนที่มันจะเปลี่ยนสภาพเป็นแส้หนามเจาะเข้าทะลุผิวของหนุ่มผู้นั้น โลหิตสีแดงของเนลเรี่ยนไหลรินลงสู่ผืนดิน ทันใดนั้นหญิงสาวจึงโยนร่างของหนุ่มออกไป ทำให้เนลเรี่ยนลอยไปตามอากาศ เธอใช้แส้สังหารนั้นฟาดฟันใส่ร่างของเขาต่อราวกับเป็นเครื่องจักรสังหารไร้จิตใจ

“มีดข้าจงมา!” เสียงของเนลเรี่ยนเปล่งออก เรียกมีดน้ำแข็งของตนเข้าหาตัว

  เขาหยิบมีดสั้นทั้งสองที่พุ่งเข้ามา มันคือมีดคู่ใจที่ตนใช้มันอยู่ตลอด หนึ่งมีดในรูปสองง่ามและอีกหนึ่งในสภาพคล้ายมีดสั้นธรรมดาคือมีดที่เขาถือไว้ เมื่อนั้นชายหนุ่มจึงเริ่มฟาดฟันมีดของตนรับเพลงแส้กรีดวิญญาณ เสียงของคมมีดกระทบแส้เกิดเป็นเสียงเหล็กกล้าฟันกระทบใส่กัน ทั้งสองออกเพลงวิชาของตนโจมตี ตั้งรับใส่กันไม่หยุดยั้งราวกับไม่เหน็ดเหนื่อยเลย ชารอนที่เห็นเช่นนั้นจึงประสานปราณวายุเข้าหาตัว ก่อนจะเหวี่ยงแส้ออกไปสร้างแรงลมกากบาทเข้าใส่ร่างของชายหนุ่มอย่างจัง เนลเรี่ยนที่ถูกคลื่นปราณซัดใส่ ไถลตัวออกไปด้วยแรงลมที่ผลัก โชคดีที่เขาใช้มีดทั้งสองตั้งรับคมวายุนั้นไว้ได้ มิเช่นนั้นร่างของเขาคงได้รับบาดแผลขนาดใหญ่แล้ว บัดนี้ทั้งสองหยุดกระบวนท่าทุกอย่าง เตรียมรอจังหวะที่เหมาะสมเพื่อที่จะออกวิชากระบวนท่าโจมตี

“กระบวนท่าของนายหญิงมิอาจจะใช้กับข้าได้หรอกค่ะท่านเนลเรี่ยน..”
“ด้วยตัวข้าที่รู้ถึงวิชาของเธอ... ก็ย่อมได้เปรียบท่านอยู่แล้ว” ชารอนกล่าวขึ้นทั้งที่เธอน่าจะเข้าสู่โหมดแวมไพร์คลั่งไร้สติ
“ก็ไม่นึกเลยละนะว่าแวมไพร์จะแกร่งอะไรปานนี้” ชายหนุ่มผมทองกล่าวขึ้น
“แต่ยังไงซะท่าทีของเธอก็ดูหวั่นๆ เหมือนกันกับชุดวิชาหิมะยามเย็นของแม่ข้า”
“แสดงว่าอันที่จริงแล้วเจ้าก็เกรงพอดูสินะว่ากระบวนท่าดัดแปลงของข้าจะต่างไปขนาดไหน?”

เธอเงียบไปหลังจากที่วาจานั้นถูกเปล่งออก

“แต่ข้าก็ผิดหวังพอควรนะคะ... ที่กระบวนดัดแปลงของท่านมิค่อยต่างจากของมารดาท่านเสียเท่าไหร่” เธอตอบ
“นั่นแค่กระบวนท่าชุดแรก...” ชายหนุ่มกล่าวสวนกลับ “เดี๋ยวจะได้เห็นดีกันในกระบวนท่าต่อไปแน่”
“ข้าจะแสดงสิ่งที่ข้าฝึกมาทั้งหมดให้เจ้าได้เห็นเอง!”

“งั้นก็ช่วยแสดงให้ข้าเห็นด้วยละค่ะ ว่าท่านได้เติบโตขนาดไหน?”
ขึ้นไปข้างบน Go down
https://www.facebook.com/BillAlfenolf
 
Cataclysm: The Endless Hellfire XXXIX
ขึ้นไปข้างบน 
หน้า 1 จาก 1
 Similar topics
-
» Cataclysm: The Endless Hellfire XVI
» Cataclysm: The Endless Hellfire I
» Cataclysm: The Endless Hellfire II
» Cataclysm: The Endless Hellfire XIX
» Cataclysm: The Endless Hellfire III

Permissions in this forum:คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
Bloody Wrestling Online :: BWO : Special Event :: BWO Novel-
ไปที่: