Bloody Wrestling Online
Would you like to react to this message? Create an account in a few clicks or log in to continue.

Bloody Wrestling Online

The Number One Cyber Wrestling Online
 
บ้านPortalLatest imagesสมัครสมาชิก(Register)เข้าสู่ระบบ(Log in)

 

 Cataclysm: The Endless Hellfire XL

Go down 
ผู้ตั้งข้อความ
Neferpitou
Moderators
Moderators
Neferpitou


จำนวนข้อความ : 552
Join date : 05/12/2012
Age : 27
ที่อยู่ : The Facility of Banned Organizer

Cataclysm: The Endless Hellfire XL Empty
ตั้งหัวข้อเรื่อง: Cataclysm: The Endless Hellfire XL   Cataclysm: The Endless Hellfire XL EmptySun Mar 19, 2017 1:19 am

Cataclysm: Endless Hellfire
Act XL

------------

“นี่นั่นน่ะหรือ? ปราสาทแห่งอาร์ชเดล...”

  เสียงของชายหนุ่มผู้นึงเปล่งออกมาจากปากของตน ท่ามกลางสภาพอากาศอันหนาวเหน็บแห่งดินแดนหิมะ ด้วยเสียงลมคลื่นที่ค่อนข้างกรรโชก จึงทำให้วาจาของเขาสามารถได้ยินได้โดยยาก แต่บุคคลที่อยู่ข้างกายของเขาน่าจะพอได้ยินมันอยู่ ชายผู้กล่าววาจาข้างต้นเป็นชายหนุ่มผมสั้นสีดำ ผิวขาวจนแทบจะซีด เขาคือราธผู้ทรยศ ชายผู้ใช้พลังแห่งวอยด์และข้างกายของเขาก็คือหญิงสาวผู้แต่งตัวในเครื่องแต่งกายคล้ายดั่งเป็นตัวตลกจากละครสัตว์ หล่อนคือหญิงสาวที่ไซอาลอทนั้นได้พบเจอเมื่อไม่กี่วันก่อน เธอคือสิ่งที่ถูกมารเพลิงเรียกว่า “อีกหนึ่งในสิ่งมีชีวิตที่ถูกสร้างขึ้นมาโดยตัวเขา” ที่ทั้งสองได้มาอยู่จุดนี้ ณ ตอนนี้ก็เป็นตามคำบัญชาของมารเพลิงที่สั่งการให้สุดยอดขุนพลทั้งสองนี้จับตัวของเนลเรี่ยนผู้ครองพลังแห่งซินโดร่าที่ซึ่งน่าจะอยู่ภายในตัวปราสาทแห่งอาร์ชเดล บัดนี้พวกเขาได้ยืนอยู่บนยอดเขาที่อยู่ไม่ไกลจากตัวปราสาทนัก จึงสามารถมองเห็นเงาปราสาทได้พอลางๆ คงจะสังเกตการณ์ภายนอกด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง ราวกับว่ากำลังวางแผนเพื่อที่จะทะลวงเข้าไปยังสถานที่แห่งนั้นโดยที่ไม่ให้ผู้อยู่ในปราสาทรู้ตัว

  และอีกอย่างถึงแม้นว่าราธเองจะสามารถสร้างประตูมิติเพื่อไปต่างแดนโดยที่ตนไม่มีความนึกคิด หรือความทรงจำของสถานที่นั้นๆ ได้ก็ตามที แต่ตัวเขาก็มิอาจจะเข้าทะลุไปยังตัวปราสาทได้ เนื่องเพราะการจะใช้กระบวนท่าประตูมิตินั้นต้องผ่านการตรวจจับปราณของตัวบุคคลนั้นๆ เมื่อราธหาได้มีปราณแห่งเนลเรี่ยนที่จะสามารถรับกลิ่น รสได้ เขาก็มิอาจจะใช้วิชานั้นได้ ที่สำคัญ... ถึงแม้ว่าเขาจะมีปราณแห่งซินโดร่าเพื่อไปหาเนลเรี่ยนก็ตามที แต่ปราสาทแห่งนั้นก็มีบาเรียอ่อนๆ ปลกคลุมไปทั่วสถานที่ ทันใดที่มีผู้บุกรุกเข้ามาก็จะสามารถถูกตรวจจับได้ในทันที นั่นจึงถือว่าภารกิจนี้ต้องเฉียบ รวดเร็วและไม่มีคำว่าพลาด

“แล้วทำไมเราไม่เข้าไปสักทีละ?”

  แม้นว่าราธจะรู้ตัวถึงเรื่องพวกนั้นก็ตามที แต่เขาก็ยังถามขึ้นเนื่องเพราะนิสัยที่เป็นคนไม่ชอบเสียเวลา ดูเหมือนว่านิสัยส่วนนี้จะไม่ต่างจากเมื่อครั้นที่เขายังอยู่ในนามและร่างของเซรดริกเลย แต่คำถามนั้นเหมือนจะถูกเมินเฉยโดยหญิงสาวลัคนีย์ผู้นั้น ราวกับว่าตนเองกำลังเหม่อลอยไปกับอะไรสักอย่างอยู่ ท่าทางคล้ายดั่งว่ากำลังจดจ่อในหัวของตนอยู่ ลืมโลกภายนอกไป ตกอยู่ในภวังค์แห่งความคิดแบบนั้นเป็นอะไรที่ทำให้ชายหนุ่มผู้ตั้งคำถามรู้สึกไม่ค่อยยินดีเสียเท่าไหร่ คงเป็นเพราะความรู้สึกที่ถูกเมินโดยคนในระดับเดียวกันละมั้ง ไม่สิ... ณ ตอนนี้ราธน่าจะอยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่าลัคนีย์เสียด้วยซ้ำ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำไมไซอาลอทถึงได้ให้ตัวเขามาร่วมทำภารกิจกับเธอ ด้วยนิสัยอันร่าเริง ทำเป็นเล่นซึ่งไม่เป็นที่น่าไว้ใจแบบนั้น มารเพลิงเกรงว่าเธออาจจะล้มเหลวก็เป็นได้

  ในช่วงเวลานั้นที่เขาถามวาจาออกไป จู่ๆ ชายหนุ่มก็รู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้นมาจากผืนล่างใต้เท้าของตน แม้นว่ามันจะไม่ค่อยแรงนักจนถึงขั้นทำให้คนที่ยืนอยู่ทรุดตัวลงไปก็ตามที แต่มันก็พอที่จะรู้สึกได้ราวกับว่ามีอะไรสักอย่างที่กำลังร่วงลงกระแทกพื้นอยู่เป็นจังหวะๆ ไม่นานนักมันก็เริ่มดังเข้าใกล้เรื่อยๆ จนเห็นเป็นเงาของสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่เป็นเมตรอยู่ใต้ผืนหมอกภายล่างภูเขานั้น นั่นคงจะเป็นเยติแห่งอาร์ชเดล ผู้ปกป้องอาณาเขตของปราสาทจากผู้บุกรุกที่ชารอนและคาร์เอลเพิ่งจะต่อกรไปด้วยไม่กี่วันก่อน

“เจ้าคงจะรู้สึกอยู่ผืนล่างสินะราวกับว่าสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่กำลังเดินไปมาอยู่”
“แต่มันหาได้เดินไปทั่ว แต่เป็นการเดินวนรอบปราสาท” จู่ๆ หญิงสาวผู้นั้นก็กล่าวขึ้น
“นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเราถึงยังไม่บุกเข้าไปในที่แห่งนั้น”

วาจาของหญิงผู้นั้นถูกกล่าวออกไปเป็นการสื่อออกมาว่าสิ่งที่ทำให้พวกเขาไม่บุกเข้าไปเสียทีเป็นเพราะอะไร โดยท่าทางของหล่อนกล่าวออกมาด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม ดั่งเช่นว่าตัวเองได้คาดการณ์อะไรไว้แล้ว

“นั่นคือเยติแห่งอาร์ชเดล... ผู้คุมอาณาเขตปราสาท” เธอพูดต่อ
“เพราะงั้นหากเราคิดจะทะลวงเข้าไป... ก็ต้องจัดการกับสิ่งนั้นก่อน”
“เข้าใจไหมคะ? พ่อรูปหล่อ..” จู่ๆ คำกล่าวที่ดูจริงจังก็ถูกลงท้ายด้วยวาจาคล้ายกับกำลังเล่นอยู่
“แล้วทำไมเราไม่ฆ่ามันซะเลยล่ะ?!” ชายหนุ่มพูดขึ้นด้วยท่าทางที่เร่งรีบ ดูโมโห
“ใจเย็นสิคะรูปงาม... ให้ฉันเรียกแบบนี้คุณจะใจเย็นขึ้นหรือเปล่าเอ่ย?”

  เธอพูดพลางจับร่างของราธไว้ ลูบไล้ไปตามสัดส่วนร่างกายของชายหนุ่มผู้นั้น พยายามที่จะสงบสติอารมณ์ของเขา ไม่สิ... มันดูเหมือนว่าหล่อนกำลังพยายามที่จะเย้ายวนราธผู้นั้นยังไงยังงั้นเลย ชายผู้ใช้ปราณแห่งวอยด์ปัดมือของตน ผลักร่างของหญิงสาวออกไปราวกับไม่สนใจว่าเธอจะทำอะไร มันทำให้หล่อนรู้สึกหงุดหงิดอยู่พอควรจนแสดงอาการคล้ายเด็กเล็กที่งอแงอยากได้ของเล่น เธอถอยฉากออกจากตัวของผู้ใช้ดาบผู้นั้น ก่อนที่จะหันไปมองยังปราสาทที่เป็นเป้าหมาย ภายนอกอากาศเริ่มเย็นลงเรื่อยๆ ซึ่งนั่นทำให้เวลาของพวกเขาน้อยลงไปทุกที มันจึงจำเป็นที่จะต้องทำปฏิบัติการที่ได้รับมอบหมายมาโดยเร็ว

“อากาศแบบนี้... เวลาก็เหลือน้อยลงไปทุกทีน่ะสิ! ข้าว่าเราควรจะรีบจัดการทุกอย่างให้เสร็จๆ จะดีกว่านะ” ราธกล่าว
“ทำแบบนั้นไม่ได้คะที่รัก” จู่ๆ เธอก็เปลี่ยนนามการเรียกราธ “ข้ารู้ว่าท่ารีบเร่งและคิดว่าเยติตนนั้นเป็นแค่สัตว์คลั่ง”
“แต่ปราณของมัน... บวกกับร่างกายของมัน และสภาพอากาศเช่นนี้”
“มันก็ไม่ต่างอะไรจากการที่เราสู้กับนายท่านไซอาลอทเลยนะคะ”

คำพูดนั้นทำให้ราธเงียบปากไปในทันที ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ค่อยเข้าใจสิ่งที่เธอสื่อมาก็ตามที แต่การที่หล่อนพูดแบบนั้น.. หากมันเป็นความจริง มันก็เป็นอะไรที่น่ากลัวเหมือนกัน

“เจ้าคือผู้ใช้พลังแห่งวอยด์ใช้หรือเปล่าคะ?” ไม่ทันไรหญิงสาวผู้นั้นกล่าวถาม
“ใช่..” เขาตอบกลับ “ทำไมหรือ?”
“งั้นเราก็ไม่จำเป็นที่จะต้องฆ่ามัน” เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ดูเฉียบคม ราวกับกลายเป็นคนละคนในทันที เสียงที่ดูเหมือนมีแผนการอะไรบางอย่าง

“ข้าว่าท่านน่าจะเข้าใจสิ่งที่ข้าสื่อนะคะที่รัก..”

แม้นคำพูดจะดูมีน้ำหนักขึ้นก็ตามแต่ การเรียกชายหนุ่มผู้นั้นแบบนั้นยังคงถูกเปล่งตามเคย ผู้ใช้พลังแห่งวอยด์รู้สึกตัวว่าเขากำลังถูกเธอหยอกล้อเล่นราวกับเป็นเด็กเล็กอยู่ คงเพราะหน้าที่ดูค่อนข้างละอ่อนและรูปงามเช่นนี้สร้างความสนใจให้กับเธอ แต่ในใจของเขาคงกะที่จะสังหารเธอทิ้งเสียด้วยซ้ำ แต่เกรงว่าจะมิอาจทำได้เนื่องเพราะหากทำเช่นนั้น ไซอาลอทผู้เป็นนายท่านคงจะไม่ยินดีเอามากๆ

“จะให้ข้าส่งมันไปยังต่างมิติงั้นหรือ?” เขากล่าวขึ้นในคำถามเชิงสำนวนโวหาร “ก็ได้”

  เช่นนั้นแล้วชายหนุ่มจึงทาบมือทั้งสองลงสู่ผืนดินที่ตนเหยียบย่ำ เปล่งพลังปราณอันแรงกล้าออกเพื่อที่จะใช้วิชาสร้างประตูมิติ เขาหลับตาลงและก็อยู่นิ่งไป คงจะเนื่องเพราะกระบวนท่านี้จำเป็นที่จะต้องใช้สมาธิเป็นอย่างมากเพื่อจะสร้างการบิดเบือนของมิติซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะสามารถทำได้เลย ในระหว่างนั้นเองฝีก้าวที่สร้างเสียงดังอยู่ตลอดเวลาก็หยุดลงไปเสียอย่างนั้น เมื่อนั้นปีศาจน้ำแข็งจนแหงนหน้าขึ้นไปบนฟากฟ้าด้วยดวงตาสีน้ำเงินเข้มที่เปล่งแสงออกมาอย่างน่ากลัว มันมองขึ้นมาข้างบนโดยจดจ้องไปยังบริเวณเทือกเขาที่ทั้งสองผู้บุกรุกประจำอยู่ มันคงจะรู้ตัวและสัมผัสกลิ่นไอปราณอันแรงกล้าจากตัวของผู้ใช้พลังแห่งวอยด์ได้ สายตาของเยติตนนี้ดูน่ากลัวราวกับเครื่องจักรสังหารไร้จิตใจที่กำลังจะทำการโจมตีแก่ใครก็ตามที่อยู่ต่อหน้ามัน เช่นนั้นแล้วมันจึงพุ่งร่างของตนเองขึ้นด้วยความเร็วสูง หวังจะกระโดดขึ้นมาบนเทือกเขา ลัคนีย์ที่เห็นท่าไม่ดีเช่นนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องทำอะไรสักอย่าง และแรงปราณคลุมกายปีศาจน้ำแข็งที่พุ่งตรงมาหาพวกเขาอย่างรวดเร็วทำให้ราธเสียสมาธิจนกระบวนการสร้างประตูชะงักลง เขาลืมตาขึ้นด้วยความตกใจกับปราณร้ายนั้นที่เข้าใกล้ตัวเรื่อยๆ

“เจ้าจัดการเรื่องประตูมิติต่อไป..” ลัคนีย์ตะโกนกล่าวต่อราธเพื่อให้เขาจัดการเรื่องของตนต่อไป
“ข้าจะถ่วงเวลาให้!”

  เช่นนั้นแล้วหล่อนจึงกระโดดลงไป พุ่งตรงลงไปหาร่างยักษ์ที่เข้าใกล้ตัวเธออย่างรวดเร็ว หล่อนควักไม้ท่อนยาวคล้ายกับกระบองในรูปทรงของไม้เบสบอล มันมีพลังออร่าสีเขียวซึ่งเป็นปราณแห่งบาปในชนิดรุนแรงคล้ายกับที่เบลล์มีเอ่อล้นไปทั่วไม้ เช่นนั้นแล้วลัคนีย์จึงใช้มันฟาดเข้าในกลางหน้าของปีศาจตนนั้นในขณะที่มันยังไม่รู้ตัว สร้างบาดแผลขนาดใหญ่หลายเท่าตัวผิดกับขนาดของตัวไม้ แถมแรงกระแทกพร้อมกับเสียงของมันคล้ายดั่งว่าเป็นค้อนเหล็กกล้าขนาดมหึมา ทันทีที่กระบวนท่านั้นถูกใช้งานไปแล้วกายาอันใหญ่ยักษ์ของปีศาจตนนั้นจึงปลิวออกไป ราวกับเป็นกระดาษล่อยลอยไปตามแรงลมโหมกระหน่ำ ผู้พิทักษ์แห่งอาร์ชเดลนั้นถูกซัดเข้าไปกระแทกใส่กับกำแพงของปราสาทเข้าอย่างจัง โชคดีที่กำแพงที่ถูกสร้างขึ้นด้วยน้ำแข็งหนานั้นหาได้ทลายลงไปตามแรงนั้น แต่มันก็เป็นรอยราวขนาดใหญ่พอดู ชัดพอที่จะสามารถมองเห็นได้โดยง่าย เช่นนั้นแล้วสาวผู้สร้างความรื่นเริงจึงโรยลงสู่ผืนดิน กวักแกว่งไม้กระบองอาวุธตนไปเรื่อย ก่อนที่จะวางบนหลังของตน และใช้มือทั้งสองข้างห้อยหลังจับเอาไว้ ย่างกรายเข้าไปหาปีศาจเยติช้าๆ

.
.
.
.
.

  และในช่วงเวลาก่อนหน้านั้นไม่นานนัก การต่อสู้ระหว่างผู้ฝึกพลังแห่งซินโดร่าและหญิงสาวแวมไพร์ผู้เป็นคู่ซ้อมยังคงดำเนินต่อไป แน่นอนว่าเรื่องการต่อสู้ชารอนย่อมมีประสบการณ์ที่มากกว่าเป็นไหนๆ เพราะเหตุนั้นเองความได้เปรียบของหล่อนจึงค่อนข้างสูง ในตอนนี้เธอน่าจะมองกระบวนท่า “ดรรชนีจุรีไร้รัก” ของเนลเรี่ยนออกแล้ว จึงทำให้ตัวของหนุ่มผู้คิดค้นท่านั้นมิอาจจะใช้มันได้อีกต่อไป แม้นว่ากระบวนท่านั้นจะมีประสิทธิภาพสูงจนถึงขั้นอาจจะทำให้ตนเองเอาชนะคู่ต่อสู้ได้ แต่เมื่อหล่อนรู้วิธีการใช้ ย่อมเป็นผลทำให้เธอสามารถแก้กระบวนท่า หาจุดอ่อนและนำมันมาใช้เป็นเครื่องช่วยแทนที่จะเป็นการทำลายเธอ กระนั้นเองตัวของเนลเรี่ยนก็มีกระบวนท่าอยู่มาก จากชุดวิชา “หิมะยามเย็น” ที่แม่ของเขาได้สอนเอาไว้ แต่ดูเหมือนว่าเขาจะหาได้ใช้กระบวนท่าใดอีกเลยตั้งแต่เมื่อชารอนสามารถเอาชนะยึดเมฆที่เป็นหนึ่งในส่วนของกระบวนดรรชนีจุรีไร้รักได้ คงจะเพราะรู้ตัวดีว่าชารอนรู้ถึงกระบวนท่าเหล่านั้น จึงไม่กล้าจะใช้จนกว่าจะเจอโอกาสที่เหมาะสมอย่างแท้จริง เช่นนั้นเขาจึงทำได้เพียงแค่ถอย.. ถอย และรอโอกาส!

  และแน่นอนว่าแวมไพร์ผู้นั้นรู้ถึงสิ่งที่เนลเรี่ยนกำลังคาดถึง และเธอไม่ยอมให้มันเกิดขึ้น หล่อนกวัดแกว่งเพลงแส้ไปเรื่อยรบกวนการประสานปราณของหนุ่มน้ำแข็ง แส้เหล่านั้นหาได้กระทบถูกตัวของหนุ่มแต่อย่างใด แต่เป็นปราณวายุต่างหากที่สร้างบาดแผลคมมีดให้แก่เขา ถูกตัดเส้นปราณออกไปทีละส่วนๆ จนเมื่อเนลเรี่ยนรู้สึกตัวอีกที เขาก็มิอาจจะประสานปราณได้อย่างเสถียรแล้ว ซึ่งนั่นถือว่าเป็นหนึ่งในเรื่องสำคัญมากสำหรับผู้ใช้พลังปราณระดับสูงและกระบวนท่าที่มีอานุภาพการทำลายล้างมาก นั่นคือคนเหล่านั้นจะต้องรวบรวมปราณในปริมาณที่พอเหมาะก่อนที่จะขับมันออกเป็นวิชาเพลงต่างๆ ที่ตนได้ฝึกฝน หากถูกตัดเส้นปราณออกไป จริงอยู่ที่ปราณจะสามารถกลับเข้าไปรวมตัวได้ แต่มันก็หาใช่เวลาอันสั้น เมื่อเส้นปราณไม่สามารถหล่อเลี้ยงร่างกายด้วยพลังชีวิตได้ จึงจะทำให้การทำงานอวัยวะของแต่ละส่วนเกิดผิดปกติ ถึงขั้นอาจจะช็อค หมดสติได้กลางคัน

  โชคเข้าข้างที่เนลเรี่ยนรู้ตัวว่าสายปราณของตนเริ่มถูกตัดออกไปทีละเส้น เขาจึงใช้ปราณทั้งหมดที่มีก่อสร้างบาเรียอ่อนๆ ปกคลุมรอบกายเพื่อที่จะใช้เป็นเครื่องป้องกันคมมีดวายุเหล่านั้น ซ้ำยังทำให้ความเร็วของผู้อยู่บริเวณรอบข้างลดลงเป็นเท่าตัว จึงถือว่าเป็นกระบวนท่าที่ดีที่จะใช้สำหรับคู่ต่อสู้ระยะประชิดเช่นแวมไพร์ผู้นั้น ทันใดที่ชารอนรู้สึกถึงเยือกแข็งที่ทำให้ร่างของหล่อนเฉื่อยลง เธอจึงรีบถอยฉาก กระโดดออกไปตั้งหลักในระยะที่ไกลพอดู คงจะเผื่อระยะไว้เพราะไม่รู้ถึงรัศมีอาณาเขตที่บาเรียนั้นว่ามันใหญ่เล็กขนาดไหน แต่มันก็ถือเป็นการทำให้เนลเรี่ยนพอจะมีช่องว่างในการฟื้นคืนพลังของตนกลับมา หล่อนมิยอมออกตัวโจมตีในทันที คงเกรงว่าผลของบาเรียนั้นยังคงทำงานอยู่ ยิ่งความเร็วที่สูงมากเท่าไหร่ ยิ่งจะสร้างแรงลมซึ่งก่อให้เกิดความหนาวเหน็บมากขึ้นมากกว่าเดิม กล่าวคือหากชารอนยังคงอยู่ในรัศมีระยะพลังม่านนั้น กายาของเธอคงมิอาจจะขยับได้อย่างที่ตนต้องการเป็นแน่ เธอต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อที่จะทลายม่านพลังนั้น เช่นนั้นแล้วหล่อนจึงยกแส้ขึ้น บ่งบอกว่าจะใช้กระบวนท่าคลื่นซัดสาดแนวตรง

“จะใช้แรงดันสุญญากาศไขว้งั้นรึ?” เนลเรี่ยนกล่าว รู้ตัวว่าเธอจะใช้กระบวนท่าซัดแรงลมเป็นคลื่นกากบาท

  เขาจึงรีบตั้งรับโดยการสร้างโล่พลังแข็งกล้าขึ้นต่อหน้า มันเป็นผลึกใสโปร่งแสงทำให้ไม่สามารถเห็นมันอย่างง่ายดาย โดยจุดประสงค์หลักของมันคือเพื่อจะป้องกันการโจมตีอันแรงกล้านั้น มันอาจจะช่วยให้เขาพ้นจากอันตรายได้ แต่แรงลมรอบข้างก็พอจะมีโอกาสที่จะสร้างแรงดันทำให้ร่างของเขาปลิวออกไปไกลได้เช่นกัน หากเป็นเช่นนั้นเขาก็อาจจะเสียเปรียบเป็นได้

แต่ชารอนกลับลดแส้ลงอย่างรวดเร็วก่อนที่จะสูดอากาศเข้าไปเต็มปอด มันเป็นอะไรที่แปลกตาสำหรับเนลเรี่ยน เขาไม่เคยเห็นเธอทำอะไรแบบนี้ในการต่อสู้มาก่อน

  เมื่อนั้นเสียงจึงถูกกรีดร้องออกมาอย่างบ้าคลั่ง มันเป็นคลื่นเสียงแหลมดังกึกก้องทั่วผืนห้องแห่งนี้ ทำให้แผ่นกระเบื้องผลึกที่ผืนดินร้าวเป็นรอยชัดเจน เสียงนั้นถูกยิงออกไป หาได้เป็นการยิงเหมือนปืนใหญ่ที่ถูกปล่อยออกจากลำกล้อง แต่เป็นการระเบิดเสียงไปรอบข้างในรัศมีที่ใหญ่พอควร มันส่งผลให้ผลึกน้ำแข็งที่เนลเรี่ยนสร้างซึ่งมีจุดอ่อนเป็นคลื่นเสียงดังแตกออกไปเสี่ยงๆ และไม่ใช่แค่กำแพงน้ำแข็งนั้นที่ถูกทลายแต่เป็นแก้วหูของเนลเรี่ยนที่เจ็บแสบจนแทบจะรู้สึกว่ามันระเบิดออก ซ้ำคลื่นเสียงยังส่งผลให้ร่างกายของหนุ่มผมทองไม่สามารถขยับได้ เขาอยู่นิ่งเฉยราวกับเป็นอัมพาต กลายเป็นโอกาสทองที่ชารอนจะเผด็จศึก ทันใดนั้นเธอจึงกระโจนตัวเข้าไปหาหนุ่มผู้นั้น ตวัดแส้หนามแห่งโลหิตออกหวังจะรัดร่างของชายผู้นั้น

“โครมมมมมมมมม!” เสียงของวัตถุขนาดใหญ่พุ่งชนเข้ากับอะไรสักอย่าง ส่งผลให้ทุกคนที่อยู่ในตัวปราสาทไม่สามารถทรงตัวได้ ทรุดลงไปกับพื้นตามแรงสั่นไหวนั้น มันแรงพอราวกับว่าวัตถุหนักกว่าตันได้เข้ากระแทกกับมวลสารอะไรสักอย่างที่มีความหนาแน่นและน้ำหนักที่ใกล้เคียงกัน

สิ่งนั้นทำให้การต่อสู้ชะงักลงชั่วคราวเนื่องเพราะความสงสัยของบุคคลทั้งสองที่กำลังประลองอยู่กับสิ่งที่เกิดขึ้น ดูเหมือนว่าแรงกระแทกนั้นจะเกิดขึ้นไม่ไกลตัวจากพวกเขานัก หากวัดจากระยะห้องนี้ไปถึงต้นตอเสียงนั้น คงจะเป็นกำแพงน้ำแข็งภายนอกเป็นแน่แท้

“ดูเหมือนองค์รักษ์แห่งอาร์ชเดลจะกำลังต่อกรกับผู้บุกรุก...” คาดาเลียผู้เป็นมารดาของเนลเรี่ยนกล่าวให้เพียงบุตรของเธอฟัง
“ท่าทางกายาของเยติตนนั้นจะกระแทกเข้ากับกำแพงน้ำแข็ง ส่งผลให้เกิดแรงสั่นสะเทือนขึ้น”
“และแม่ก็เพิ่งสามารถตรวจจับพลังปราณภายนอกได้ หนึ่งคือพลังแห่งบาป... และอีกหนึ่งคือพลังแห่งวอยด์”
“คงจะเป็นสมุนแห่งไซอาลอทไม่ผิดแน่..”

“พวกมันมาแล้วงั้นหรือ?” เนลเรี่ยนกล่าวแทรกขึ้น “ไม่คิดเลยว่าจะมาเร็วอะไรขนาดนี้”
“ใครมางั้นหรือคะท่านเนลเรี่ยน?” ชารอนกล่าวถามด้วยความสงสัย

นั่นเพราะเธอไม่ได้ยินถึงบทสนทนาของแม่ลูกคู่นั้น จึงไม่เข้าใจถึงสิ่งที่เกิดขึ้น เธอค่อยๆ ลุกขึ้นมา เดินไปหาเนลเรี่ยนช้าๆ ที่มีปฏิกริยาที่เปลี่ยนไป ชายหนุ่มมีสีหน้าจริงจังซึ่งเป็นใบหน้าที่เธอไม่เคยเห็นมันถูกระบายบนผืนหน้าของเขามาก่อน

“พวกสมุนแห่งไซอาลอทน่ะ..” ชายหนุ่มผมทองกล่าวตอบหญิงสาวผู้ถาม
“คงจะต้องการตัวข้าเป็นแน่แท้!”
“งั้นข้าว่าเราควรจะหยุดการฝึกไว้เพียงเท่านี้ก่อน... หากเป็นอย่างที่ท่านว่าจริง..”
“แสดงว่านี่คงเป็นเรื่องใหญ่และเราจะต้องได้สู้กับพวกมันแน่นอนค่ะ” หญิงผมแดงกล่าว
“เห็นด้วย...”

“แม่ว่าพวกเราควรจะไปยังจุดเกิดเหตุก่อนจะดีกว่า”
“หากช้าละก็... องค์รักษ์อาจจะไม่สามารถต้านทานได้ไหวและเราจะเสียกำลังพลสำคัญไป” หญิงสาวผมฟ้าในร่างอวตารกล่าวกับลูกของเธอต่อ
“ทราบแล้วขอรับท่านแม่”

  ผู้อยู่ภายในตัวปราสาทเริ่มเร่งตัวไปยังจุดเกิดเหตุ โดยที่คาร์เอลนักดาบฆ่าปีศาจที่กำลังพักผ่อนตามไปติดๆ พวกเขาเดินออกไปจนถึงระเบียงขนาดใหญ่ของห้องโถงแห่งนึงเพื่อที่จะสังเกตดูว่าอะไรที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ ความสูงของระเบียงนั้นไม่ค่อยสูงเกินผืนดิน อยู่ในระยะที่พอดี จึงทำให้พวกเขาสามารถมองเห็นถึงสิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างชัดเจนแม้ว่าลมจะแรงขนาดไหนก็ตาม สิ่งที่ปรากฏเบื้องหน้าของพวกเนลเรี่ยนนั้นหาใช่เรื่องดีสำหรับพวกเขาเสียเท่าไหร่ มันคงจะถือได้ว่าเป็นเรื่องร้ายแรงเสียด้วยซ้ำ เงาของผู้ปกป้องปราสาทได้หายไป เหลือเพียงแค่หัตถ์ที่กำลังถูกจมดิ่งลงไปยังประตูมิติที่ก่อขึ้นจากปฐพี คล้ายดั่งแอ่งน้ำขนาดเล็กที่กลืนกินร่างของเยติไปสู่ความว่างเปล่า เวิ้งว้าง นิรันดร์แห่งวอยด์ เช่นนั้นแล้วรูหนอนนั้นก็ถูกปิดลง ตัดแขนของปีศาจน้ำแข็งตนนั้นขาดออกจากร่าง โลหิตอันหนาวเหน็บกระฉูดออกมาดั่งสายน้ำ ก่อนที่มันจะแปรสภาพเป็นของแข็งที่เต็มไปด้วยความเย็น แม้ว่าองค์รักษ์ผู้นี้จะสามารถรักษาแผล ร่างกายของตนได้ในระยะเวลาอันสั้นแม้นจะถูกสะบั้นออกจากกัน แต่หากว่าส่วนของกายามิอาจจะเข้าไปผสานต่อกันได้ ผลที่ออกมาก็เป็นว่ามันไม่สามารถรักษาตัวได้ ได้แต่รอความตายที่กำลังรออยู่เท่านั้น ซึ่งทุกสิ่งอย่างเป็นไปตามการคาดการณ์ของลัคนีย์โดยทั้งสิ้น แม้นว่าเธอจะดูเป็นพวกขี้เล่นยังไงก็ตามที แต่เรื่องสมองการคิดแผนการของเธอ ทั่วใต้หล้ามิอาจจะมีใครสามารถเทียบทัดได้

  บัดนี้เหลือเพียงแค่ผู้บุกรุกทั้งสองที่ยืนอยู่ผืนล่างดงหิมะแห่งดินแดนสโนวเพลค ถูกจดจ้องโดยผู้อยู่ในตัวปราสาท ทั้งสองรับรู้ถึงสายตาเหล่านั้นที่กำลังจดจ้องพวกเขา จึงเงยหน้าขึ้นไป ประจัญศึกสายตากับคู่ต่อสู้ของพวกเขา และนั่นก็คือเป้าหมาย... ชายหนุ่มผมทองผู้มีพลังซินโดร่า พลังที่ถูกสร้างขึ้นโดยผู้พิทักษ์ พลังที่เป็นหนึ่งเดียวแห่งยุทธภพ พลังแห่งชัยชนะ... นั่นคือสิ่งที่ไซอาลอทต้องการ นั่นคือสิ่งที่ลัคนีย์และราธได้รับมอบหมาย นั่นคือสิ่งที่พวกเขาจะต้องนำมันกลับไปหานายท่านอัคคีของพวกตน

หญิงสาวในร่างของตัวตลกฉีกยิ้มของเธอออกมา มันดูน่ากลัวราวกับว่าเธอกำลังพึงพอใจอะไรสักอย่าง

“อุ๊ยตายแล้ว... ยัยแก่หน้าเหี่ยวนั่นยังไม่ตายอีกหรอกหรอ?” เธอตะโกนกล่าววาจาออกมาดัง พูดกับผู้ที่อยู่ในตัวของปราสาท ซึ่งคนที่จะเป็นผู้หญิงที่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าได้ก็มีเพียงแค่ชารอนเท่านั้น

สายตาของหญิงสาวแวมไพร์ดูเปลี่ยนไปในทันทีเมื่อได้ยินถึงเสียงคำพูดนั้น เห็นลักษณะปรากฏของเหล่าผู้บุกรุกจนชัดเจน สีหน้าที่ดูไม่เชื่อในสายตาแบบนั้น บวกกับคำพูดที่ถูกเปล่งออกไปของลัคนีย์แบบนั้น มันเหมือนกับเป็นการให้ความรู้สึกว่าชารอนต้องรู้จักคนเหล่านี้เป็นอย่างดีเป็นแน่แท้

“ลัคนีย์... ราธ... พวกท่านน่าจะตายไปแล้วนี่หน่า?” ชารอนกล่าวขึ้น “ข้ามั่นใจว่าข้าสังหารพวกท่านด้วยน้ำมือของข้าแล้วนี่!”
“งั้นก็ขอโทษที่ทำให้ผิดหวังด้วยนะชารอนที่ข้ายังไม่ตาย” ราธตอบ
“และก็... ยังไม่เปลี่ยนเลย ไอ้การที่พูดกล่าวแสดงความเคารพต่อศัตรูเนี่ย”
“แต่เอาเหอะนะ ยังไงเสียข้าก็ยืนอยู่ตรงนี้” เขากล่าวต่อ “ถ้าคิดว่าตัวเองแกร่งพอก็ฆ่าข้าให้ได้ครั้งนี้ซะละ”

บทสนทนาที่พูดออกไปแสดงความเป็นที่รู้จักกัน แต่หาได้เป็นในนามของญาติมิตรแต่เป็นศัตรูคู่อาฆาตเสียมากกว่า ซึ่งสิ่งเหล่านั้นทำให้คนนอกอย่างเนลเรี่ยนมิสามารถเข้าใจถึงได้ เขาดูค่อนข้างงุนงงกับสิ่งที่ชารอนพูดออกไป

“เจ้าคงสงสัยสินะว่าทำไมหญิงสาวที่เจ้าแอบชอบเนี่ยถึงพูดกล่าวต่อศัตรูราวกับเป็นคนรู้จัก” คาดาเลียกล่าวขึ้น
“ก็พอสงสัยอยู่ครับท่านแม่..” เขากล่าว “ดะ! ดะๆ เดี๋ยวก่อน.... ผมไม่ได้แอบชอบเธอนะ!”
“ปากไม่ตรงกับใจเลยแฮะลูกแม่” เธอกล่าว “แต่เรื่องนั้นเอาไว้ทีหลังดีกว่า...”
“ชายผู้นั้นคือราธ ชายผู้ที่เจ้าเห็นโลกแห่งอดีตที่แม่เคยให้เจ้าได้เห็น”
“คนที่สู้กับชารอนเมื่ออดีตกาล... ตอนนั้นหรอกหรือ?”
“ถูกต้องแล้วละ... เขาคือปีศาจเมื่ออดีตที่บุกมายังโลกาแห่งนี้พร้อมกับกองทัพแห่งวอยด์”
“แต่น่าแปลกที่ทำไมเขาถึงได้ร่วมมือกับไซอาลอทซึ่งที่น่าจะเป็นศัตรู”

  เธอพูดกล่าวเป็นคำถามขึ้น มันเป็นข้อสงสัยที่ตั้งขึ้นมา ซึ่งนั่นก็จริงของเธออยู่เหมือนกัน ผู้ที่ซึ่งเคยเป็นผู้บุกรุก ผู้เป็นกองทัพแห่งวอยด์ที่ต้องการดวงดาวแห่งนี้เคยถูกต่อต้านโดยผู้พิทักษ์แห่งโพรโตเนี่ยนซึ่งหนึ่งในนั้นคือไซอาลอท หากมองในแง่ความเป็นจริงแล้วพวกเขาน่าจะไม่น่าที่จะมาอยู่ร่วมกันได้เพราะความเกลียดชังที่มีต่อกันเสียด้วยซ้ำ แต่พวกเขาก็มิสามารถหาคำตอบได้ว่าเพราะอะไรกันถึงได้เป็นเช่นนั้น เพราะราธมีแผนอะไรบางอย่างหรือนั่นเพราะไซอาลอทเน่าเปื่อย เลวร้าย วิปลาสจนถึงขั้นที่ยอมเป็นฝ่ายร่วมมือกับวอยด์เอง แต่ที่แน่ๆ จุดประสงค์ของเหล่าวอยด์และไซอาลอทนั้นก็หาได้ต่างกันเท่าไหร่ มันคือการยึดครองดวงดาว กลืนกลินและทำลายล้างมันให้สิ้น

“แล้วหญิงคนนั้น...” ชายหนุ่มถามแทรกขึ้นกับแม่ของตน
“ลัคนีย์.. เธอเป็นเหมือนกับเบลล์ สิ่งมีชีวิตที่ถูกสร้างขึ้นมาโดยไซอาลอทเอง แต่มันหาได้เป็นการสังเคราะห์แต่แรกเริ่ม พวกนั้นคือศพ! ศพเดินได้... เจ้าน่าจะรู้สินะเนลเรี่ยนว่าพลังแห่งบาปมันแกร่งกล้าจนแทบจะมีความคิดเป็นของตัวเองและมากพอที่จะสามารถควบคุมกายาที่น่าเปื่อยให้กลับมาอยู่ในสภาพคงรูปเหมือนดั่งว่ามันมีชีวิตโดยผ่านทางการดูดกลืนพลังชีวิตของคนอื่น นั่นคงอาจจะเป็นเหตุผลที่ทำไมเธอถึงยังไม่ตายก็อาจจะเป็นไปได้”
“แม่กำลังจะบอกว่าเหล่าผู้ใช้พลังแห่งบาปโดยมากนั้นเป็นคนที่ตายไปแล้ว”
“และถูกควบคุมโดยปราณแห่งบาปงั้นหรือขอรับ?” ชายหนุ่มถามต่อ
“จะว่าแบบนั้นก็ไม่ผิดหรอกจ๊ะ”

  นั่นคือหนึ่งในหลักการความรู้สำหรับผู้ใช้พลังแห่งบาป โดยผู้ใช้ส่วนใหญ่นั้นมักจะเป็นศพที่เดินได้ นั่นเพราะกายาหยาบร่างธรรมดาที่ยังมีจิตวิญญาณและสติมิอาจจะต้านทานความเลวทราม ร้ายกาจของพลังได้ ผู้ที่จะสามารถควบคุมมันได้จะต้องแข็งแกร่งและวิปลาสจนเข้าถึงแก่นพลังได้อย่างแท้จริงเท่านั้น มีน้อยคนที่จะสามารถเป็นเช่นนั้นได้ กล่าวคือคนกว่าครึ่งที่เป็นข้ารับใช้ เป็นสมุนแห่งไซอาลอทนั้นต่างเป็นศพที่ผู้ควบคุมพลังแห่งบาปชุบชีวิต ควบคุมเป็นหุ่นเชิดโดยพลังแห่งบาปก็ไม่ผิดเพี้ยน แต่ในกรณีของเบลล์และลัคนีย์อาจจะเป็นข้อยกเว้น จริงอยู่ที่ว่าทั้งสองคือศพเดินได้ แต่หาได้ถูกพลังแห่งบาปควบคุมอย่างเต็มร้อย พวกเขาเพียงแค่มีพลังแห่งบาปที่คอยควบคุมร่างกายที่ไม่สามารถขยับได้ด้วยตัวเอง แต่สติ จิตนั้นต่างออก มันเป็นพลังแห่งบาปที่รวมตัวกับร่างกายจนเป็นหนึ่ง สร้างความนึกคิดของตนเอง เอกเทศจากการควบคุมเชิดโดยสิ้นเชิง กล่าวคือมันได้เป็นการสร้างบุคคลๆ หนึ่งให้มีชีวิต ซึ่งก็ไม่ต่างจากการชุบชีวิตขึ้นมาหรือสร้างบุคคลใหม่นั่นเอง

“แหม่ไม่คิดเลยว่าผู้ครอบครองพลังแห่งซินโดร่าจะรูปงามเช่นนี้”
“ไหนจะอีกคนผู้มีดาบใหญ่คนนั้น กำยำ ดูหล่อเสียเหลือเกิ๊นนนนน” วาจาของหญิงสาวตัวตลกเปล่งออกมาอีกครั้ง ซึ่งในครั้งนี้เป็นการโฟกัสหลักไปที่หนุ่มๆ ทั้งสอง

ไม่ทันไรเธอจึงหันไปหามิตรของตนซึ่งเป็นผู้ใช้พลังแห่งวอยด์

“ขอโทษทีนะที่รัก... พอดีผู้ชายแถวนี้หล่อไปหมด”
“ชักอยากจะหยอกล้อเล่นด้วยเสียแล้ว!” เธอกล่าวมันกับชายผมดำผู้เป็นมิตร
“หุบปาก..” เขากล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ดูน่ากลัว ไม่ต่างจากไซอาลอทที่เคยพูดกับเธอเลย
“รีบจัดการงานให้เสร็จดีกว่า...”
“จ๊าๆ”

“แหม่... แวมไพร์ไม่พอ ยังมีเสน่ห์ล่อปีศาจอีกงั้นหรือจ๊ะ”
“ลูกแม่เนี่ยช่างเร่าร้อนนักเนอะ” ผู้เป็นมารดาเอ่ยขึ้น แซวลูกของตนเอง “เหมือนพ่อของลูกเลย...”
“ไม่เอาน่าท่านแม่.. เรื่องความหล่อเนี่ยแม่ก็รู้อยู่แล้วว่าผมไม่แพ้ใครหรอก”

“ท่านเนลเรี่ยน...” ชารอนกล่าวขึ้นมาต่อ “ข้าจะจัดการเจ้าผู้ใช้พลังแห่งวอยด์นั่น”
“ส่วนท่านก็จัดการกับหญิงสาวผู้นั้นเสียนะคะ”
“แต่ระวังให้ดี พวกนั้นไม่ใช่แค่นักสู้ธรรมดา”
“ฉันรู้น่า” ชายหนุ่มตอบ “พวกนั้นก็อายุแก่พอๆ กับเธอนั่นละ”
“พวกของแบบนี้มันไม่ใช่คนธรรมดาอยู่แล้วละนะ”
“เวลาแบบนี้ท่านยังจะ?!” เธอเปล่งเสียงขึ้นด้วยอารมณ์จัด
“แหม่แค่หยอกเล่นเท่านั้นเอง” เขากล่าว “งั้นก็ตามที่ว่านั่นละ... ฉันจะจัดการยัยตัวตลกนั่น”

“ไม่..”

เสียงของหนุ่มร่างกำยำผู้ใช้ปราณเหล็กไหลกล่าวแทรกขึ้น มันเป็นน้ำเสียงที่ดูเงียบขรึม เต็มไปด้วยความจริงจัง โดยที่ทุกคนต่างไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ ที่แน่ๆ เสียงนั้นทำให้เนลเรี่ยนและชารอนหันไปหาคาร์เอลผู้นั้นด้วยความสงสัย
ขึ้นไปข้างบน Go down
https://www.facebook.com/BillAlfenolf
Neferpitou
Moderators
Moderators
Neferpitou


จำนวนข้อความ : 552
Join date : 05/12/2012
Age : 27
ที่อยู่ : The Facility of Banned Organizer

Cataclysm: The Endless Hellfire XL Empty
ตั้งหัวข้อเรื่อง: Re: Cataclysm: The Endless Hellfire XL   Cataclysm: The Endless Hellfire XL EmptySun Mar 19, 2017 1:20 am

“เจ้ารออยู่ที่นี่เนลเรี่ยน” เขากล่าวต่อ “ข้าจะจัดการปีศาจร้างตนนั้นเอง”

วาจาถูกเปล่งออกพร้อมกับหัตถ์ที่กำดาบไว้แน่น มันยิ่งทำให้สถานการณ์แลดูจริงจังเสียยิ่งกว่าเดิม ดูคล้ายคลึงว่าคาร์เอลนั้นได้มีความแค้นส่วนตัว หรือกาลอันใดเป็นแน่

“แต่ว่าท่านไม่ช่วยเนลเรี่ยนจัดการกับยัยนั่นดีกว่าหรอคะ?” ชารอนแทรกขึ้น
“ลำพังกำลังท่านคงเดียวข้าเกรงจะ..”
“ข้าบอกว่าข้าจะจัดการเองไง!” มันเป็นน้ำเสียงที่ดูจริงจังมาก ตะโกนตอกจนหญิงสาวเงียบไป แต่เพราะเหตุใดเขาถึงได้พูดแบบนั้น
“ข้าจำเป็นที่จะต้องจัดการมันด้วยตัวเอง” เขาพูด “และอีกอย่าง...”
“พวกนั้นมาที่นี่เพราะจุดประสงค์เดียว นั่นคือต้องการตัวของเนลเรี่ยน”
“การที่จะให้เนลเรี่ยนออกไปร่วมสมรภูมิรบในตอนนี้ถือว่าไม่ใช่เรื่องที่ฉลาดเสียเท่าไหร่”
“แต่ลัคนีย์มีปราณที่เหนือกว่าคนธรรมดาหลายเท่าตัวนักนะคะ”
“เพราะแบบนั้นไง... ข้าถึงจะจัดการด้วยตัวเอง”

ทันใดนั้นเขาก็เงียบไป จดจ้องปีศาจร้ายร่างหญิงสาวตัวตลกรูปงามด้วยความอาฆาต

“ข้ามีเรื่องส่วนตัวที่จะต้องสะสาง...” เขากล่าวมันออก

  พวกเขาไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่คาร์เอลสื่อออกมา แต่มันชัดเจนเสียยิ่งกว่าอะไรว่าเขามีความแค้นต่อปีศาจร้ายตนนั้นขนาดไหน มันคงเป็นเรื่องเมื่ออดีตของเขาที่ไม่มีใครในที่นี้รู้ถึงความจริงนอกเสียจากลัคนีย์ผู้นั้น เช่นนั้นแล้วหนุ่มนักดาบจึงกระโจนตัวออกไป กระโดดลงไปยังผืนดินทุ่งหิมะ ตามด้วยชารอนที่ตามไปติดๆ เหลือเพียงแค่เนลเรี่ยนที่มิอาจจะทำอะไรได้ นอกจากยืนรอเสียเท่านั้น เขารู้ว่าตัวเขาเองก็พอที่จะร่วมสู้ได้แน่แม้นประสบการณ์จะไม่มากเท่ามิตรสหายทั้งสองคนนั้น แต่คงจะเป็นเพราะความรู้สึกของเขา ความเคารพที่มีต่อคาร์เอลที่จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการต่อสู้นั้น มันคงจะเป็นเรื่องที่เขามิอาจจะล้ำเส้นเข้าไปยุ่งได้ เช่นนั้นแล้วการรอคอย.. จึงน่าจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในตอนนี้ และอีกอย่าง สิ่งที่คาร์เอลได้กล่าวออกไปมันก็ถูกต้องแล้ว เขาไม่ควรที่จะเอาตัวเองเสี่ยงเข้าไปในการต่อสู้นี้ เพราะเขาคือกุญแจทั้งหมดที่จะนำความพินาศต่อโพรโตเนี่ยนหรือไซอาลอท

เขาทำได้แค่มองดู สังเกตการณ์เหล่านักสู้ทั้งสี่ท่านที่อยู่บนผืนดินแห่งแดนหิมะ โดยที่พวกเขาเหล่านั้น จ้องมองกันและกัน หาได้เปิดฉากเริ่มโจมตีแต่อย่างใด

“ชารอน...” คาร์เอลกล่าวขึ้น
“มีอะไรหรือคะ?”
“แม้ว่าข้าจะเสียเปรียบขนาดไหนก็ตาม หรือว่าบาดเจ็บจนถึงตาย”
“อย่าได้เข้ามายุ่งกับการต่อสู้นี้เด็ดขาด” เขากล่าว

  เธอไม่ตอบอะไรกลับไป ซ้ำยังมีท่าทางแสดงออกอย่างชัดเจน ความประหลาดใจที่มีต่อนักดาบผู้นั้น ท่าทางที่เธอไม่เคยเห็นเขาเป็นได้แสดงออกมา แม้ว่ามันจะดูไม่สมเหตุผลว่าทำไมเธอจึงไม่สามารถเข้าไปยุ่งเกี่ยวได้ ทั้งที่ผลของการต่อสู้ก็น่าจะชัดเจนว่าคนระดับคาร์เอลผู้ซึ่งเป็นแค่มนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งมิอาจจะเอาชนะสิ่งมีชีวิตที่ถูกสร้างขึ้นโดยไซอาลอทได้หรอก แต่เธอก็รับฟังมัน ไม่กล่าวเถียงอะไรไปอีก คงจะเป็นเรื่องความเคารพ และศักดิ์ศรีที่คาร์เอลมีอยู่ หากเธอเข้าไปยุ่ง.. มันก็จะเท่ากับเป็นการทำลายสิ่งที่หนุ่มผู้นั้นมีอยู่ทั้งหมด คงจำเป็นที่จะต้องปล่อยให้ชายผู้นั้นสะสางสิ่งที่เขาพูดถึงกับปีศาจหญิงผู้นั้นเสียดีกว่า

  เช่นนั้นแล้วชายหนุ่มผู้นั้นจึงยกดาบอันใหญ่โตของตนขึ้น ชี้มันไปที่เบื้องหน้าของตน มีเป้าหมายเป็นผู้ที่ตนจะชำระแค้น ลัคนีย์ที่เห็นเช่นนั้นก็ยิ้มเริงร่าอย่างพึงพอใจ ทั้งที่แรงอาฆาต จิตสังหารมันพุ่งเข้าสู่กายาของเธออย่างเต็มเปี่ยม หล่อนแทบจะไม่รู้สึกถึงความกลัว กลับกันกลับตื่นเต้นไปกับมัน ซึ่งท่าทางที่แสดงออกมานี้มันแทบจะเป็นเหมือนกับร่างอวาตารของไซอาลอทในยามนึกสนุกกับความคิดของผู้คนก็ไม่ผิดเพี้ยน แน่นอนว่าท่าทางแบบนั้นมันย่อมสร้างแรงกดดัน อารมณ์ฉุนเฉียว ความโมโหให้กับคาร์เอลอยู่แล้ว เหมือนกับว่าเขากำลังถูกเธอเหยียบย่ำศักดิ์ศรีความเป็นนักสู้จนป่นปี้

“อ่อ.. ข้าจำได้แล้ว..” จู่ๆ หญิงสาวผู้นั้นก็กล่าวขึ้นมา
“ใบหน้าแบบนั้น อาวุธชิ้นนั้น.. เจ้า... ข้าจำได้”
“นึกว่าตายไปแล้วซะอีก!”

“ข้าจะตายก็ต่อเมื่อหัวของเจ้าหลุดออกมาจากบ่าเท่านั้น...” หนุ่มผู้นั้นตอบกลับ

“โอ้!” เธอเปล่งเสียงออกมา “อย่างงั้นหรอกหรือ?”
“พอนึกๆ ดูแล้ว... ข้าก็ไม่น่าสบประมาทท่านเลย” เธอกล่าว
“นึกว่าบาดแผลที่ข้าเคยให้ไปครั้งนั้นจะทำให้ท่านตายเสียอีก”
“ก็นะ... ตอนนั้นท่านกรีดร้องลั่นเสียขนาดนั้น ใครจะไม่คิดละว่าท่านกำลังจะตาย!”

“ไอ้บาดแผลแค่นั้นมันไม่ทำให้ข้ารู้สึกเจ็บปวดดั่งเช่นตอนที่เจ้าพรากทุกคนไปจากข้าหรอก!”

“แหม่... ก็ปีศาจของข้าแค่หิวเท่านั้นเอง” เธอพูดแทรกขึ้น
“ก็เลยจำเป็นที่จะต้องให้อาหารพวกมันโดยการกินเพื่อนกลุ่มทหารรับจ้างพเนจรของท่านละนะ”
“จะให้ทำไงได้ละ คนพวกนั้นปราณมันสูงพอที่จะทำให้สัตว์เลี้ยงของข้าอิ่มนี่หน่า..”
“และในเมื่อที่ท่านรอดมาจากครั้งนั้นได้ ไม่โดนกลืนกินด้วยปีศาจของข้า”
“เจ้าควรจะขอบคุณข้าไม่ใช่รึไงคะที่รัก..”

  คงจะเป็นเรื่องราวที่มีแต่ทั้งสองเท่านั้นที่จะสามารถเข้าใจได้ เรื่องราวที่พวกเขาได้ประสบพบเจอกัน ดูเหมือนว่าสิ่งที่คาร์เอลพูดถึง การสะสางเรื่องราวนั้นคือการที่จะฆ่าหญิงสาวผู้นี้ซึ่งเป็นผู้พรากชีวิตมิตรสหายของเขาไป นั่นคงจะเป็นเหตุผลที่ทำไมเขาถึงได้แค้นปีศาจนัก ถึงได้ยืนกรานปฏิเสธ ต่อต้านเหล่าปีศาจและฆ่าพวกมันอย่างไร้จิตใจ เพราะสิ่งที่พวกมันเคยทำกับเขา... นั่นคือสิ่งที่ไร้จิตใจเสียยิ่งกว่า!

  เมื่อบทสนทนาจบลง สถานการณ์ก็เริ่มตรึงเครียดมากขึ้น ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบงันเว้นแต่เสียงคลื่นลมกรรโชกแห่งความเย็นแล่นไปตามทางเท่านั้น มันหาได้สร้างความหนาวเหน็บให้แก่ใครเลย เพราะความคิดที่อยากจะสังหาร อยากจะจัดการปรปักษ์ของตนมันได้ครอบคลุมความคิดทั้งหมด คลุมสภาพร่างกายทั้งหมด คลุมสมองไม่ให้รู้สึกหนาวเย็น ไม่ให้รู้สึกถึงอะไรภายนอกๆ เสียจากสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าเท่านั้น... ในตอนนี้มันมีสิ่งเดียวที่จะสามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ถึงความคิดของบุคคลทั้งสี่

ฆ่า! ฆ่า! และฆ่า!

และบัดนี้... การต่อสู้ครั้งใหญ่... มันกำลังจะอุบัติขึ้น!
ขึ้นไปข้างบน Go down
https://www.facebook.com/BillAlfenolf
 
Cataclysm: The Endless Hellfire XL
ขึ้นไปข้างบน 
หน้า 1 จาก 1
 Similar topics
-
» Cataclysm: The Endless Hellfire XI
» Cataclysm: The Endless Hellfire XII
» Cataclysm: The Endless Hellfire XLV
» Cataclysm: The Endless Hellfire XIV
» Cataclysm: The Endless Hellfire XXX

Permissions in this forum:คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
Bloody Wrestling Online :: BWO : Special Event :: BWO Novel-
ไปที่: