Bloody Wrestling Online
Would you like to react to this message? Create an account in a few clicks or log in to continue.

Bloody Wrestling Online

The Number One Cyber Wrestling Online
 
บ้านPortalLatest imagesสมัครสมาชิก(Register)เข้าสู่ระบบ(Log in)

 

 Cataclysm: The Endless Hellfire XLVIII

Go down 
ผู้ตั้งข้อความ
Neferpitou
Moderators
Moderators
Neferpitou


จำนวนข้อความ : 552
Join date : 05/12/2012
Age : 27
ที่อยู่ : The Facility of Banned Organizer

Cataclysm: The Endless Hellfire XLVIII Empty
ตั้งหัวข้อเรื่อง: Cataclysm: The Endless Hellfire XLVIII   Cataclysm: The Endless Hellfire XLVIII EmptyFri May 26, 2017 11:39 pm

Cataclysm: Endless Hellfire
Act XLVIII

------------

  เสียงควบม้าดังขึ้นตลอดทางบนผืนทุ่งแห่งทะเลทราย เสียงฝีก้าวเกือกม้ากระทบลงบนทรายหนาทำให้เสียงการก้าวเดินนั้นเบาลงไปในระดับหนึ่ง ม้าสองตัวพร้อมกับผู้ขี่ในชุดเครื่องแต่งกายดูดีมีราศี มันเป็นชุดเครื่องของนักสู้อัศวินทรงเกียรติ เกราะโครงสีเงินคลุมกายเว้าแสง แวววาวไปกับแสงแดดอันร้อนระอุของผืนแผ่นดินแห่งไลท์ไมล์ ภายในชุดเกราะมีลายสลักสวยงามและของแตกแต่งสีทองดูมีราคาและลายลักษณ์แห่งราชสีห์ที่ปรากฏอยู่ในบางจุดของตัวชุด บวกกับชุดเกราะเหล่านั้นถูกทาสีในบางส่วนเป็นสีน้ำเงินเข้ม มันเป็นสัญลักษณ์บ่งบอกอย่างชัดเจนว่าสองผู้นั้นคือข้าราชการ อัศวินระดับสูงหรือใครในตำแหน่งที่ใหญ่ของกองกำลังสตอร์ม ครูเซเดอร์แห่งนครสตอร์มโฮล์ม ด้วยความที่ทั้งคู่ใช้ผ้าคลุมหัวดูทรงคล้ายกับหมวกฮู๊ดที่ทำจากผ้าไหมชั้นดีคลุมหัวกันความร้อนจากแดดและไอจากบรรยากาศเอาไว้ จึงทำให้มิอาจจะมองเห็นได้ว่าทั้งคู่นั้นคือใครกัน แต่ดูจากรูปการณ์ในตอนนี้ก็เป็นที่ชัดเจนว่าจุดมุ่งหมายที่สองผู้นี้กำลังจะเดินทางไปนั่นคือมงกุฏทองคำหรือดินแดนแห่งซันดาซัส ความเร่งรีบในการควบม้า ท่าทางที่ดูค่อนข้างที่จะตื่นตระหนกต่อให้ไม่เห็นหน้าก็สามารถมองออกแบบนั้น มีความเป็นไปได้ว่าทั้งสองคงจะตระหนักถึงเรื่องร้ายที่อาจจะเกิดขึ้นที่ซันดาซัสแล้วก็เป็นได้

  บัดนี้ก็ใกล้จะถึงจุดหมายเข้าไปทุกที ทั้งสองเริ่มรู้สึกถึงไอร้อนที่ร้อนแรงยิ่งขึ้น มันแตกต่างจากแดดแห่งทะเลทราย มันดูเกร่งกว่านั้นมากราวกับว่าดวงสุริยันอยู่ใกล้ตัวของพวกเขา ไม่นานนักนครที่พังทลายก็อยู่เบื้องหน้าของทั้งสอง พวกเขาแลดูตกใจกับสิ่งที่ประจักษ์อยู่เบื้องหน้าเอามากๆ บรรยากาศที่ดูเงียบงันได้ยินเพียงแต่เสียงเพลิงแผดเผาสิ่งปลูกสร้าง ศพของประชากรบริสุทธิ์ภายในตัวเมือง การทำลายล้างมันได้อยู่เบื้องหน้าของทั้งคู่ ท่าทางของทั้งสองพอจะเดาออกว่าเป็นฝีมือของใครแต่ก็หาได้คาดคิดไว้ว่ามันจะรุนแรงจนถึงขั้นเมืองทั้งเมืองหายไปเช่นนี้ มันแย่เสียยิ่งกว่าสภาพของสตอร์มโฮล์มเสียอีก เพราะเมืองหลวงแห่งนั้นถูกทลายไปเพียงแค่ไม่กี่ส่วนของเมืองทั้งหมด สามารถซ่อมแซม บูรณะใหม่ได้ แต่เมืองแห่งนี้... มันไม่ต่างไปจากเมืองร้าง กลายเป็นมงกุฏที่ถูกพังทลายสิ้นไม่เหลือชิ้นดี

  เมื่อนั้นทั้งสองก็ค่อยๆ ชะลอม้าลงก่อนที่บุคคลผู้หนึ่งที่มีลักษณะคล้ายดั่งว่าเขาจะเป็นบุรุษที่อยู่บนม้าจะค่อยๆ ยกมือขึ้นไปบนศีรษะของตนเอง เปิดผ้าคลุมหัวออกปรากฏเป็นหนุ่มผมสั้นสีขาว เขาคือบุรุษผู้ครอบครองดาบแห่งอดีตกษัตริย์แห่งสตอร์มโฮล์ม กระบี่แห่งเอลทวอร์น นั่นคือโบลทาห์ เฮเมอร์สันหรือที่รู้จักกันดีในนามโบล์ท หรืออีกนามหนึ่งซึ่งเป็นนามทางราชการคือองค์กษัตริย์ลำดับที่สิบแปดแห่งทวีปเอสซิโอนิก เขาค่อยๆ ให้ม้าเดินไปตามทางเดินของเมืองช้าๆ มองดูรอบข้างด้วยสีหน้าที่หวาดกลัวและเศร้าโศก สภาพเมืองที่เละเทะจนมิอาจจะหวนคืนกลับได้ ซึ่งระหว่างที่เขากำลังเดินอยู่นั้น เศษอิฐ หินปูนก็ร่วงลงมาจากอาคาร มันทำให้อาคารหลังหนึ่งเกิดความเสียสมดุลจนถล่มลงต่อหน้าของชายผู้นั้น แต่โบล์ทและผู้ติดตามในเครื่องแต่งกายอัศวินก็ยังคงเดินตรงต่อไปเรื่อยๆ ผ่านไปได้สักพักบนทางเดินมีศพของสตรีผู้หนึ่งที่นอนขวางทางอยู่ ด้วยความที่ทางเดินนั้นใหญ่กว่าร่างของหญิงสาวผู้นั้นหลายเท่าแต่มันก็หาได้เป็นการขัดการสัญจรสำหรับม้าทั้งสองตัวที่จะเดินอ้อมผ่านไปได้เลย กลับกันโบล์ทกลับหยุดม้าลง ก่อนที่จะค่อยๆ ลงไปจากม้า มองดูและเดินเข้าไปหาหญิงผู้นั้นด้วยสีหน้าเศร้าหมอง

เขาก้มลงดูเธอ ก่อนที่จะเห็นศพของสตรีผู้นั้นกอดร่างของเด็กเล็กไว้แน่น ราวกับว่ามันเป็นการปกป้องโดยสัญชาตญาณเมื่อมีภัยอันตรายแม้นภัยนั้นจะมาโดยพลันไม่ทันได้ตั้งตัวก็ตามที สภาพของทารกผู้นั้นก็ไม่ต่างจากเธอเสียเท่าไหร่ ถูกคลอกด้วยเพลิงแห่งความตายแต่ยังพอเห็นสภาพที่ดูดีกว่าผู้เป็นแม่อยู่ องค์ราชัยน์เอามือลูบคลำเด็กเล็กผู้นั้นด้วยความสงสารและตัวเขาเองก็สามารถรับรู้ได้ถึงมือทั้งสองที่มารดาอ้อมกอดเอาไว้ มันยังคงแน่นอยู่แม้นว่าเธอจะสิ้นใจไปแล้ว สภาพของโบล์ทแทบจะพูดอะไรไม่ออก ก้มลงดูศพแม่ลูกคู่นั้นทั้งที่ตัวเองไม่อาจจะทำอะไรได้เลย มันทำให้เขารู้สึกเป็นดั่งตัวตลกที่ปล่อยให้โศกนาฏกรรมเช่นนี้เกิดขึ้นได้

“พวกเขา... คนเหล่านี้... เป็นพลเมืองแห่งทวีป... พลเมืองแห่งข้า” โบล์ทกล่าวขึ้น
“แต่ข้ากลับปล่อยให้เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น โดยที่ข้ามิอาจจะทำอะไรได้เลย”
“อำนาจข้ามีล้นฟ้า... แต่... เพียงแค่คนพวกนี้ข้ายังช่วยไว้ไม่ได้!”

อีกผู้หนึ่งที่ยังคงนั่งอยู่บนม้าอีกตัว แสดงท่าทางที่นิ่งเฉยไม่ตอบโต้วาจาเหล่านั้น ราวกับเขากำลังรับฟังอยู่อย่างไร้วาจาที่จะบอกกล่าว ไม่นานนักคนผู้นั้นจึงเปิดผ้าคุลมหัวออกเช่นกัน มันเป็นสตรีสาวผมสั้นสีขาวผู้เคยประลองกับองค์ราชัยน์ไปไม่กี่วันก่อน เธอคือผู้ที่อาสาเดินทางมาพร้อมกับองค์ราชา ผู้ใช้ปราณวารีแห่งวาร์ชิน ลีอา เธอมองลงดูโบล์ทด้วยสีหน้าที่ไม่ต่างอะไรไปจากเขาผู้นั้น แต่ท่าทางก็ยังคล้ายคลึงว่าเธอสามารถเก็บอารมณ์ได้ดีกว่าโบล์ทอยู่ นั่นคงเป็นเพราะฐานะของโบล์ทคือราชาและเขาเพิ่งได้รับตำแหน่งนี้มา เลยอาจทำให้ตัวเขารู้สึกราวกับผู้ที่กำลังแบกแผ่นดินเอาไว้เพียงผู้เดียว

“ข้าเข้าใจความรู้สึกของท่าน” เธอพูดขึ้น “แต่เรามิอาจจะให้อารมณ์ของเราผันแปรไปโดยเด็ดขาด”
“ตอนนี้เราสองมีหน้าที่ๆ ต้องทำ... และเราควรที่จะทำมันให้สำเร็จนะเจ้าคะ”

โบล์ทที่ได้ยินเช่นนั้นจึงหันหน้าไปหาลีอา มองเธอภายใต้ใบหน้าเศร้าหมองดังเดิม

“เจ้าสามารถทนแรงกดดันพวกนี้ได้เช่นไรกัน?” โบล์ทถามขึ้น
“ชาวเมืองที่ไว้ใจข้าล้มตายไปต่อหน้าต่อตาแบบนี้ เจ้าจะไม่ให้ข้ารู้สึกอะไรเลยงั้นหรือ?”
“ไม่ค่ะ” เธอกล่าวตอบ “ข้าไม่ได้จะสื่อเช่นนั้นกับท่าน...”
“แต่บัดนี้เรามีหน้าที่ๆ ต้องทำ เราก็ควรที่จะทำมันให้ดีกว่า”
“เพื่อที่จะไม่ให้เรื่องเช่นนี้ต้องเกิดขึ้นอีก..”

เมื่อนั้นเธอจึงลงจากม้าตัวนั้น ค่อยๆ เดินเข้าไปหาโบล์ท

“ข้าไว้ใจท่านในฐานะองค์ราชา... อย่างที่คนพวกนี้ไว้ใจท่าน”
“เพราะงั้นสิ่งที่เราสองควรจะทำคือการกำราบศัตรูแห่งบาปให้สิ้นไปจากดินแดนนี้”
“เจ้าพูดถูก...” โบล์ทตอบ “ข้าไม่ควรที่จะให้อารมณ์เหล่านี้บดบังวิสัยทัศน์แห่งข้า”
“ขอบใจนะ...”

  ดูท่าทางว่าโบล์ทจะพอมีกำลังใจมากขึ้นหลังจากที่ลีอาได้พูดเช่นนั้นกับเขา เมื่อนั้นแล้วทั้งสองจึงค่อยๆ เดินกลับเข้าหาพาหนะของตน แต่ก่อนช่วงเวลาที่เขาจะขึ้นม้าก็ได้เกิดเสียงแปลกๆ ดังขึ้นมาจากข้างหลัง มันทำให้ทั้งสองหยุดการกระทำเดิมของตนก่อนที่จะค่อยๆ มองไปรอบๆ ด้วยความหวั่นระแวงเกรงว่าปรปักษ์ร้ายแห่งความตายยังจะคงอยู่ในบริเวณนี้ ทั้งโบล์ทและลีอามองกลับไปทางเบื้องหลัง ชักดาบอาวุธคู่กายของตนเองออกมาเป็นการตั้งรับภัยที่อาจจะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้า ทั้งสองยืนนิ่งรอดูว่าต้นตอของเสียงแท้จริงมันคืออะไร ซึ่งหากเดินรุดไปเองอย่างบุมบ่ามคงอาจจะไม่ใช่เรื่องที่ดีเสียเท่าไหร่ โบล์ทตั้งท่าเตรียมพร้อมที่จะออกเพลงดาบไม่ต่างจากตัวของลีอา แม้นว่าเสียงนั้นจะหายไปแล้วแต่ความสงสัยของทั้งสองคนก็หาได้จางหาย แต่เสียงนั้นกลับหายไปโดยไม่มีปลี่ขลุ่ยดูแปลกผิดปกติ โบล์ทจึงหันไปหาลีอา ก่อนที่ตนจะพยักหน้าส่งสัญญาณบ่งบอกว่าเขาจะเป็นฝ่ายเดินไปดูเสียเอง ลีอาพยักหน้าตอบรับ เช่นนั้นแล้วตัวขององค์ราชาจึงเดินไปตามทางพร้อมกับอาวุธดาบของเขา ด้ามดาบที่เขาถือเกิดปราณสายฟ้าเอ่อล้นจนก่อเป็นคมดาบสายฟ้าขึ้นมา บัดนี้เขายังหาได้ใช้ดาบแห่งเอลทวอร์นแต่เป็นดาบของตนเอง

โบล์ทค่อยๆ ย่องไปเรื่อยๆ ไปตามต้นทางของเสียงนั้น ดูเหมือนว่ามันจะอยู่ที่ทางแยกด้านขวาของตนเอง เขาเริ่มรู้สึกถึงไอปราณอันแกร่งกล้าขึ้นเรื่อยๆ ทุกฝีก้าวที่เขามุ่งตรงไป มันเป็นปราณระดับสูงกว่านักสู้ธรรมดาหลายเท่าตัวนัก ราวกับเป็นสุดยอดพลังที่ไม่กี่คนเท่านั้นจะมีในครอบครอง โบล์ทพิงติดกับกำแพงอาคารก่อนทางแยก โงกหน้าไปทางเสียงนั้นก่อนที่สีหน้าของตนเองจะเริ่มเปลี่ยนไป

“มาเดียร่า? นั่นเจ้างั้นหรือ?” โบล์ททำท่าหลบซ่อน ก่อนที่พูดออกไปและปรากฏตัวอย่างโจ่งแจ้ง

  มันทำให้เด็กสาวแลดูตกใจเล็กน้อย นั่นเพราะเธอกำลังเพ่งสมาธิไปกับวิชาปราณที่ตนกำลังใช้งานอยู่ แสดงว่าไอปราณและเสียงที่ก่อเกิดขึ้นเมื่อครู่นี้มีความเป็นไปได้ที่สุดแล้วที่จะเกิดขึ้นจากเด็กสาวผู้นี้ บัดนี้เธอกำลังรักษาผู้บาดเจ็บหรือนักดาบแห่งเพลิงอยู่ซึ่งท่าทางของเขาบวกกับพลังปราณที่มีอยู่ไม่ค่อยสู้ดีนัก มาเดียร่าจึงต้องรีบช่วยเหลือเบื้องต้นด้วยพลังปราณแห่งชีวิตของตนเอง ภาพที่ปรากฏอยู่ต่อหน้าของโบล์ทนั้นทำให้เขานึกถึงภายภาคอดีต มันมีความรู้สึกเหมือนว่าตัวเขาเองก็เคยประสบอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้มาแล้ว มันคงจะเป็นครั้งแรกที่เขาได้พบกับเด็กหญิงผู้นี้ ความรู้สึกที่อ่อนโยนของเธอที่ช่วยโบล์ทไว้จากความเหนื่อล้าในครั้งนั้น มันเป็นภาพที่ไม่ต่างไปจากตอนนี้เลย เมื่อลีอาเห็นทีท่าของโบล์ทเช่นนั้นจึงรู้สึกตัวว่าบัดนี้หาได้มีภัยอันตรายอันใด แต่คงเป็นสหายขององค์ราชัยน์ เธอจึงเก็บดาบของตนเองเข้าฝักดาบเช่นเดียวกับโบล์ท ก่อนที่หญิงสาวผมสีขาวผู้ใช้ปราณวารีจะตรงเข้าไปหาองค์ราชาของตนเองในขณะที่โบล์ทกำลังตรงเข้าไปหามาเดียร่า ทันใดที่ลีอาตรงไปยังทางแยกนั้น สีหน้าของเธอแลดูตกใจกับสิ่งที่ปรากฏเป็นอย่างมาก ก่อนที่ตนจะวิ่งเข้าไปหามาเดียร่าโดยพลัน แต่กลับกัน.. มันกลับมีความรู้สึกว่าเธอกำลังตรงไปหาชายอีกผู้หนึ่งหรืออัลทานิสเสียมากกว่า

“ท่านอาจารย์!” หญิงสาวผมสั้นสีขาวตะโกนลั่นขึ้นด้วยความตื่นตระหนก

  เธอมุ่งตรงเข้าไปหาอัลทานิสก่อนที่จะคุกเข่าลงมองดูชายนักดาบที่นั่งพิงกำแพง กำลังรับการรักษาจากมาเดียร่าอยู่ เธอเรียกอัลทานิสโดยสรรพนามที่เป็นอาจารย์ ผู้ที่สูงส่งกว่าตัวเธอ แสดงว่าที่เคยเธอบอกกล่าวต่อโบล์ทเกี่ยวกับคนรู้จักของเธอที่ดินแดนแห่งนี้ ทุกอย่างที่เธอเคยพูดถึงว่าหล่อนถูกส่งตัวไปสตอร์มโฮล์มเพื่อกาลอันใดต่อโบล์ทนั้นจะเป็นความจริง หล่อนมองเห็นสภาพแผลไหม้เกรียมหลายจุดบนร่างของอัลทานิสจึงสันนิษฐานได้อย่างชัดเจนว่าเขาเพิ่งไปเจออะไรมา ด้วยความที่เธอเป็นศิษย์แห่งอัลทานิส และเป็นโลหิตสุดท้ายแห่งวาร์ชิน เธอจึงพอรู้เรื่องราวความสามารถ ความแข็งแกร่งของชายผู้นี้ว่าเขาสามารถทำอะไรได้ แน่นอนว่าเพลิงหนึ่งเดียวที่จะสามารถทำอันตรายต่ออัลทานิสได้จะต้องเป็นเพลิงที่เหนือกว่า และอัคคีนั้นก็มีได้เพียงอย่างเดียวนั่นคือจากตัวของไซอาลอท ลีอารู้ซึ้งถึงข้อนี้ดีเธอจึงรีบหันไปหามาเดียร่าที่กำลังทำการรักษาชายผู้นั้นอยู่ในทันที

“เจ้าพอที่จะขับปราณแห่งความตายออกมาด้วยปราณของเจ้าได้หรือเปล่า?” เธอถามขึ้น
“ขะ... ข้า... ไม่ค่อยมั่นใจค่ะ... แต่คาดว่า..”
“อย่าได้ห่วงไปเลยมาลีอา... เด็กคนนี้คือไบร์ทวินด์ เช่นเดียวกับข้า เธอเป็นเศษเสี้ยวของผู้พิทักษ์”
“เพราะงั้นต่อให้หล่อนไม่รู้วิธีการขับปราณออกมายังไง แต่ความสามารถและปราณชีวิตของหล่อนสามารถฆ่าปราณร้ายได้เพียงแค่ออกพลัง” อัลทานิสกล่าว

“แล้วนี่... มันเกิดอะไรขึ้นกันล่ะ?” โบล์ทกล่าวถามขึ้นมา

ทันใดที่วาจานั้นถูกเปล่งออกจากปากของชายผมขาว ทั้งมาเดียร่าและอัลทานิสจึงเงียบไปในทันที ราวกับพวกเขาไม่อยากที่จะตอบมันออกไปเพราะเหตุผลอะไรสักอย่าง แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ บวกกับผู้ถามคือผู้ทรงเกียรติมีฐานะสูงส่งเช่นราชา คงจะมิอาจจะซ่อนวาจาและเมินเฉยได้

“เราถูกโจมตีโดยไซอาลอท..” อัลทานิสพูดตอบ

แต่อะไรแบบนี้ต่อให้ไม่บอกเขาก็พอเดาได้อยู่แล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่ที่องค์ราชาอยากจะรู้คือส่วนของข้อมูลเชิงลึกกว่านี้เสียมากกว่า คงจะประมาณว่าเพราะเหตุใดจึงได้มาตกอยู่ในสภาพเช่นนี้เสียมากกว่า

“ด้วยเหตุผลที่ข้าพอจะเดาได้ว่ามันคิดจะตัดไฟแต่ต้นล้ม สังหารพวกเราเพื่อที่จะไม่เป็นหนอนแมลงก่อกวน” เขากล่าวต่อ
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วเพราะเหตุใดพวกเจ้าถึงรอดมาได้กันละ?” โบล์ทถามต่อ
“ลูเซียส... เขาช่วยพวกเราไว้”
“ว่าไงนะ?!”

  โบล์ทกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ตกใจพอควร นั่นคงจะเป็นเพราะว่าตัวเขาหาได้พบเจอชายหนุ่มผู้นั้นครั้นตั้งแต่เพลิงพิโรธเยือนสตอร์มโฮล์มแล้ว แต่มันก็ทำให้เขาหายข้องใจว่าเด็กหนุ่มสวมแว่นผู้นั้นหายไปแห่งหนในในช่วงเวลาเช่นนี้ ที่แท้เขาก็มาหาชายอัลทานิสตั้งแต่แรกเริ่มตามความประสงค์ของโครนอส อดีตกษัตริย์แห่งสตอร์มโฮล์ม แต่ที่น่าสงสัยแก่โบล์ทในตอนนี้คือหากลูเซียสได้ช่วยชีวิตของทั้งมาเดียร่าและอัลทานิสจริงๆ ละก็แล้วตัวเขาหายไปไหนกันละ ยอมแลกชีวิตเพื่อให้คนพวกนี้รอดยังงั้นหรือ หรือมันเพราะอะไรกันตัวของโบล์ทก็มิอาจจะเข้าใจได้ ชายหนุ่มผมขาวมองเห็นสภาพของหญิงสาวผมสีน้ำตาลที่กำลังรักษาผู้รู้จักรวาล ทันใดที่อัลทานิสกล่าวชื่อนั้นและบอกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นออกมามันทำให้มาเดียร่าจิตตกไปเหมือนกัน เธอก้มลงไปมองลงผืนดินด้วยสีหน้าที่ดูโศกเศร้าจนแทบจะร้องไห้ออกมายังไงยังงั้น

“แล้วลูเซียสหายไปไหนแล้วละ?” องค์ราชากล่าวถามต่อ

  คำถามนั้นยิ่งเป็นการทำให้จิตใจของมาเดียร่าสั่นคลอนลง มันกระทบแก่จิตใจของเธอพอควร เพราะเมื่อใดก็ตามที่พูดถึงชื่อนั้น สิ่งที่เด็กสาวผู้นี้จะสามารถคาดคิดคำนึงถึงได้ก็มีแต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนเท่านั้น อัลทานิสมองเห็นสภาพของมาเดียร่าและเข้าใจเธอดี แต่เขาจะทำยังไงได้ ในเมื่อสหายถามมาเช่นนี้บวกกับสถานการณ์เช่นนี้แล้ว มันก็จำเป็นที่จะต้องให้ผู้ถามนั้นได้รับรู้ถึงเหตุการณ์ด้วยเช่นกัน ถึงเขาจะรู้ดีว่าเธอทำใจไม่ค่อยได้ที่ชายผู้นั้นยอมแลกตัวเองเพื่อที่จะช่วยให้เธอและอัลทานิสรอดจากเพลิงแห่งความตาย แต่หากเงียบต่อไปก็คงไม่ใช่กาลดี นักดาบแห่งเพลิงจึงเตรียมกล่าววาจาของตน ถอนหายใจออกเบาๆ สื่อออกมาถึงความหนักใจของตนที่มีเมื่อจะกล่าวมันออกไป แต่นั่นหาได้เป็นการสื่อให้โบล์ทได้รับรู้ แต่เป็นตัวของมาเดียร่าเสียต่างหาก

“คือว่า...”
“ลูเซียสยอมแลกตัวเองเพื่อให้พวกเรารอดค่ะ!”

จู่ๆ มาเดียร่าได้เปล่งวาจาอย่างพรวดพราด เสียงดังหนักแน่นแทรกอัลทานิสในทันที มันทำให้นักดาบผู้นั้นเงียบไป แลดูตกใจกับท่าทางของหญิงสาวผู้นี้ที่ปฏิบัติออกมาน่าดู

“แลกตัวเอง?”
“เขายอมสวามิภักดิ์ให้ความจงรักภักดีทั้งหมดต่อปีศาจตนนั้น...”
“แลกกับชีวิตของข้าและท่านอัลทานิสค่ะ” เธอเป็นฝ่ายตอบออกมาเองทั้งหมดโดยที่อัลทานิสไม่ได้พูดมันออกไปสักคำ

  แน่นอนว่าการที่โบล์ทได้ยินเช่นนั้นยิ่งเป็นการทำให้เขาตื่นตระหนกไปมากกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ สำหรับชายผู้นี้เขารู้จักลูเซียสเป็นอย่างดี ซึ่งจะบอกว่าเด็กหนุ่มผู้นั้นเป็นดั่งน้องชายของโบล์ทก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกนัก ทั้งสองคนต่างได้รับการเลี้ยงดูจากโครนอสจากเหตุการณ์สงครามปีศาจเมื่ออดีตกาล จนทำให้พวกเขากลายเป็นเด็กกำพร้า โครนอสเสาะเห็นความสามารถในตัวของทั้งสองและด้วยความสงสารจึงรับเลี้ยงทั้งคู่มาด้วยกัน จึงถือได้ว่าพวกเขาได้เติบใหญ่มาพร้อมๆ กัน มันจึงทำให้โบล์ทรับรู้ถึงเรื่องของลูเซียสที่เป็นบุตรแห่งปีศาจเช่นกัน ในเมื่อลูเซียสยอมที่จะสวามิภักดิ์ตัวเองเช่นนี้มันก็กลายเป็นว่าไซอาลอทได้สิ่งที่ต้องการมากกว่าเสียยิ่งกว่าการสังหารผู้ต่อต้านทุกคนบนผืนแผ่นดินแห่งซันดาซัสเสียอีก อีกทั้งโบล์ทยังรู้ซึ้งดีว่าลูเซียสนั้นจงเกลียดลงชังปีศาจมากขนาดไหน และรู้สึกเจ็บปวดทรมานมากขนาดไหนที่ไร้คนรักนอกจากตัวของโครนอสและเขาเอง เมื่อสถานการณ์บีบคั้นให้คนอย่างลูเซียสต้องแลกตัวเองเพื่อคนที่รัก ชายหนุ่มผู้นั้นก็จะยอมทำทุกอย่างเพื่อที่จะให้มาเดียร่าของเขาปลอดภัย ซึ่งนั่นก็หมายถึงเขายอมที่จะสังหารพี่น้องคนละสายเลือดอย่างเนลเรี่ยนได้ หรือกล่าวคือ... ยอมที่จะให้ไซอาลอทสำเร็จความต้องการสูงสุด เขารู้ถึงนิสัยของลูเซียส... ชายผู้นั้นต้องยอมทำตามทุกอย่างที่ไซอาลอทบัญชาเป็นแน่

“มันเป็นความผิดของข้าเอง...” มาเดียร่ากล่าวขึ้นต่อ
“หากข้าไม่เข้ามาวุ่นวายละก็... ทั้งหมดนี่ก็คงไม่เกิดขึ้นหรอก”

เธอพูดออกมาราวกับว่าหล่อนทำทุกอย่างให้พังทลายลงจนมองข้ามความจริงที่ว่าหล่อนนั้นได้ช่วยเหลือชีวิตทั้งอัลทานิสและลูเซียสให้พ้นจากภัยอันตราย หากเธอไม่ปรากฏตัวในช่วงเวลาเช่นนั้น บัดนี้นามของลูเซียสและอัลทานิสคงถูกลบออกไปจากโพรโตเนี่ยนแล้วเป็นแน่แท้ แต่ถึงเธอจะพูดออกมาแบบนั้นก็ตามที แต่ใครกันที่จะมองว่านั่นคือความผิดของเธอ ความหวังดีบริสุทธิ์เช่นนั้นมันเสื่อมคลายไม่ได้เพราะเหตุผลทางจิตใจของมาเดียร่า เธอได้ทำทุกอย่างที่จะสามารถทำได้แล้วเพื่อให้ผลที่ออกมามันดีที่สุด แม้ว่าความจริงแล้วทุกอย่างจะกลายเป็นตรงข้ามกันก็ตามที แต่ไม่ว่าจะเหตุผลอันใดก็ตาม มันก็ยังถือว่าดีกว่าที่จะมาทนเห็นลูเซียสและอัลทานิสตายอยู่แล้ว

“ไม่หรอกมาเดียร่า...” อัลทานิสกล่าว
“เจ้าช่วยชีวิตพวกเราไว้นะ”

“แต่ว่า...” เธอแทรกขึ้น
“ข้ากลับทำให้ตัวเองกลายเป็นตัวถ่วงแก่พวกท่าน... ทำให้พวกท่านต้องพะว้าพะวงกับข้า..”
“มันผ่านมาแล้ว และตอนนี้การที่เราจะมาโทษตัวเองก็คงไม่ใช่เรื่องหรอกนะ” โบล์ทกล่าวแทรกขึ้น

ทันใดนั้นเขาจึงคุกเข่าลง มองหน้าหญิงสาวผู้นั้น มันเป็นสายตาที่เต็มไปด้วยความใส่ซื่อบริสุทธิ์ เหมือนกับเด็กไร้เดียงสา

“ฟังข้าให้ดี...” องค์กษัตริย์กล่าวขึ้น “เราจะนำตัวลูเซียสกลับมา.. ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไร”
“เข้าใจหรือเปล่า?”

  เธอนิ่งเฉยไปสักพัก สบตาโบล์ทผู้เคยช่วยชีวิตของเธอเอาไว้ เธอรู้สึกถึงความอบอุ่นความจริงใจที่บุรุษผู้นี้ให้ความหวังแก่เธอ ความหวังที่จะช่วยสหายของเธอให้พ้นจากคำสาปแห่งไซอาลอทที่ผูกมัดตัวของเด็กหนุ่มดูบาร์นเป็นเวลานานแสนนาน เมื่อนั้นตัวเธอจึงพยักหน้าตอบรับด้วยรอยยิ้มอ่อนๆ มันเป็นกำลังใจที่มากที่สุดเท่าที่หล่อนจะสามารถแสอดงออกมาให้ภายนอกได้เห็น เพราะในความจริงแล้วเธอยังคงรู้สึกถึงความสิ้นหวัง ความเพ้อฝันลมๆ แล้งๆ ที่โบล์ทกำลังพยายามทำต่อเธอ ดั่งว่ามันเป็นแค่เรื่องจินตนการที่ไม่มีวันเป็นจริงเท่านั้น ตัวเธอเองก็ได้สัมผัสถึงความร้ายกาจของไซอาลอทด้วยตัวเองโดยตรงเช่นเดียวกับโบล์ท มันจึงพูดได้ว่าหนทางที่จะทำให้สิ่งนั้นเป็นจริงนั้นค่อนข้างเป็นไปได้ยาก ยกเว้นเพียงแต่ว่า... มีชายผูู้หนึ่งที่จะสามารถทำเรื่องเพ้อฝันเหล่านั้นให้กลายเป็นจริงได้ มันเป็นความหวังเดียวและความหวังสุดท้ายที่โบล์ทจะสามารถคำนึงถึงได้ นั่นคือชายหนุ่มผู้ครองพลังแห่งซินโดร่า พลังหนึ่งเดียวที่จะสามารถโค่นล้มและถือวางอำนาจทุกอย่าง ทั้งความเป็น ความตายของโพรโตเนี่ยนนี้ขึ้นอยู่กับชายนามว่าเนลเรี่ยน เพรสตันเท่านั้น

“เราต้องตามหาเนลเรี่ยน..” โบล์ทกล่าวขึ้น
“เห็นด้วย” อัลทานิสกล่าว “ข้าคาดว่าเด็กผู้นั้นน่าจะอยู่ปราสาทแห่งอาร์ชเดลแห่งดินแดนสโนว์เพลก”
“อันที่จริงข้าได้ส่งคาร์เอลสหายของข้าและชารอนที่เจ้ารู้จักไปที่แห่งนั้น แต่ข้ายังไม่ได้การตอบรับใดๆ จากพวกเขาเลย”
“หรือว่าคนพวกนั้นจะถูกสังหารก่อนแล้ว?” โบล์ทกล่าว
“ไม่มีทาง” อัลทานิสพูดขึ้น “ทั้งสองคนสามารถเอาตัวรอดได้อยู่แล้ว..”
“อีกอย่างชารอนน่ะมีพลังเหนือกว่าพวกเราทุกคนที่อยู่รวมกันที่นี่ซะอีก ข้าคาดว่าพวกเขาทั้งสองคงจะไปถึงที่หมายอย่างปลอดภัย แต่อาจจะเกิดเรื่องอะไรสักอย่างทำให้พวกเขาไม่มีเวลาที่จะส่งข่าวตอบกลับข้า”

“ซึ่งเหตุผลเดียวที่เราทั้งหมดจะสามารถรู้ได้คือเราต้องไปยังสโนวเพลคโดยเร็วที่สุด” โบล์ทกล่าว
“แต่หากเดินทางด้วยม้าบวกกับสมาชิกมากเช่นนี้คงใช้เวลาเกือบสัปดาห์ คงไม่ทันกาล..”
“ไม่..” อัลทานิสแทรก “เราใช้เวลาเพียงชั่วโมงเดียวก็ไปถึงพวกเขาได้”
“ปัญหาคือพวกเราจะตามหาปราสาทแห่งอาร์ชเดลใจกลางแผ่นดินหิมะที่มีสภาพอากาศแปรปรวนให้เจอได้ยังไงมากกว่า”
“อย่างที่ทราบคือดินแดนแห่งนั้นเป็นหนึ่งในสถานที่ๆ อันตรายที่สุดหากพูดถึงสภาพแวดล้อม แล้วบวกกับเวลา อาการบาดเจ็บที่พวกเรามี... โอกาสที่เราจะทนความหนาวเหน็บได้มีเพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น”

  ถึงแม้ว่าอัลทานิสจะรู้ว่าต้องเดินทางยังไงภายในเวลาอันสั้น เขาคงจะหมายถึงการเดินทางด้วยอุโมงค์มิติที่มีแต่ผู้รู้โบราณเท่านั้นที่จะรู้ว่ามันอยู่แห่งหนใด มันเป็นประตูมิติเดียวกันกับที่ชารอนและเนลเรี่ยนเคยได้เดินทางจากคาร์เอลสหายแห่งอัลทานิส หากใช้สิ่งนั้นเพียงชั่วหยิบมือก็สามารถเดินทางไปถึงได้ แต่ปัญหาคือปราสาทแห่งอาร์ชเดลไม่ใช่สถานที่ๆ จะสามารถพบเจอได้ทันทีที่เหยียบย่ำลงผืนดินแห่งสโนว์เพลก แม้มันจะไม่ขยับไปไหนบวกกับเป็นปราสาทที่ใหญ่พอๆ กันกับปราสาทใจกลางเมืองหลวงสตอร์มโฮล์มก็ตามที แต่ด้วยสภาพอากาศไม่ส่งผลดีต่อมนุษย์ พายุหิมะแปรปรวนตลอดเวลา หมอกหนาจนไม่อาจจะมองเห็นเบื้องหน้าได้ บวกกับหิมะที่หนาจนทำให้การเดินทางนั้นลำบากมากกว่าเดิม หากไม่ได้รับการช่วยเหลือจากผู้ชำนาญ ต่อให้ระดับปราณสูงเช่นไรก็มีโอกาสสิ้นใจตายได้ ซึ่งชารอนและคาร์เอลก็เคยเกือบประสบปัญหานั้นมาแล้ว แถมในตอนนี้ร้อยละหกสิบของผู้เดินทาง ลีอา โบล์ท มาเดียร่า อัลทานิสและคาสเตอร์ที่หลบซ่อนตัวเพราะอาการบาดเจ็บ สามในห้าต่างมีสภาพที่ไม่เต็มร้อย มันยิ่งกลายเป็นเรื่องที่ยากเย็นเสียยิ่งกว่าเดิม

“หากท่านเนลเรี่ยนอยู่ที่แห่งนั้นจริง และพวกเราต่างก็พอมีพลังปราณมากพอในระดับหนึ่ง...”
“ข้าว่าการที่เราคนใดคนหนึ่งจะส่งสัญญาณปราณให้แก่เนลเรี่ยนได้ก็พอจะมีโอกาสให้เขาออกมาช่วยพวกเราในแดนหิมะได้นะคะ” ลีอาพูดกล่าวเสนอวิธีการ
“คงเป็นเรื่องยากหน่อยละนะ” โบล์ทกล่าวแทรก “วิชาแขนงตรวจจับเนลเรี่ยนถือว่าสอบไม่ผ่านเลยละ...”
“แล้วชารอนละ?” อัลทานิสกล่าวถามต่อ
“นั่นยิ่งเป็นไปไม่ได้เลย หล่อนอาจจะรู้สึกถึงพลัง แต่หล่อนไม่เคยสัมผัสปราณของพวกเรา โอกาสยิ่งน้อยไปใหญ่”
“งั้นก็แสดงว่าเราต้องเดินทางไปยังปราสาทแห่งนั้นด้วยตัวเองจริงๆ”
“คงจะเป็นแบบนั้น..”

เมื่อนั้นโบล์ทจึงลุกขึ้นยืน มองไปรอบข้างดูสภาพแวดล้อมที่ไม่ค่อยเป็นใจนัก บวกกับสหายผู้ร่วมทางและคนรู้จักของตนที่บาดเจ็บเช่นนี้ การเดินที่จะรีบเดินทางในตอนนี้คงจะไม่ใช่เรื่องที่ดี แต่ยิ่งเสียเวลามากไปเท่าไหร่ก็ยิ่งเป็นภัยเช่นกัน นั่นเท่ากับว่าตัวของไซอาลอทยิ่งเข้าใกล้ความสำเร็จสูงสุดไปมากขึ้นเรื่อยๆ และเรื่อยๆ

“ข้าว่าในตอนนี้พวกเราควรจะพักเตรียมตั...”
“ไม่ค่ะ!” มาเดียร่ากล่าวสวนวาจาขึ้นมาโดยพลัน “พวกเราจะมามัวอยู่เฉยแบบนี้ไม่ได้หรอกค่ะ”
“เราต้องรีบทำอะไรสักอย่างเพื่อช่วยลูเซียสให้เร็วที่สุด...”
“ข้าคนนึงละค่ะที่จะไม่ยอมมาอยู่เฉยในสถานการณ์แบบนี้”

คำพูดของเธอดูหนักหน่วงแตกต่างจากบุคลิกนิสัยของคนที่อ่อนไหว คงจะเป็นเพราะเธอเป็นห่วงชายหนุ่มผู้นั้น หรือหล่อนพอที่จะเข้าใจและมองออกถึงความรู้สึกที่ลูเซียสมีให้แก่เธอแล้ว หากจะมองออกในช่วงเวลาเช่นนี้มันก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเพราะมันถือว่าเป็นการเสียสละที่ยิ่งใหญ่มาก เขายอมแลกเพื่อจะไปอยู่กับความเกลียดชังของตนเอง ยอมที่จะทำเรื่องสกปรกเพื่อเธอเช่นนี้ หล่อนย่อมรู้สึกผิดต่อเขาและอยากที่จะช่วยเขาให้หลุดพ้นอยู่แล้ว โบล์ทมองเห็นสายตานั้นที่เต็มไปด้วยความจริงจัง ไม่ย้อท้อ มันดูไม่เหมือนกับมาเดียร่าผู้หวาดกลัวดั่งเช่นที่เขาเคยเห็นแต่ทีแรกเลย

“เธอพูดถูก... ยิ่งเราเสียเวลามากไปกว่านี้ก็ยิ่งมีแต่ทำให้ไซอาลอทได้กับได้”
“เราควรจะเดินทางไปหาเนลเรี่ยนให้เร็วที่สุด บอกเรื่องนี้กับเขา...” อัลทานิสกล่างต่อ
“ข้าก็เห็นด้วยกับอาจารย์ค่ะ” ลีอาเสริม “ท่านโบล์ท... ข้าว่าพวกเราต้องรีบเตือนท่านเนลเรี่ยนเกี่ยวกับเรื่องนี้”

โบล์ทไม่ตอบกลับวาจาอะไร เงียบขรึมโดยที่ไม่รู้จะตอบอะไรกลับ แต่ในเมื่อเสียงข้างมากประสงค์ที่จะดำเนินการให้เร็วที่สุดเช่นนี้ ต่อให้โบล์ทมีอำนาจล้นฟ้าเช่นไรก็มิอาจจะขัดขวางความต้องการเหล่านั้นได้

“ก็ได้... เราจะเดินทางพรุ่งนี้เช้า”
ขึ้นไปข้างบน Go down
https://www.facebook.com/BillAlfenolf
Neferpitou
Moderators
Moderators
Neferpitou


จำนวนข้อความ : 552
Join date : 05/12/2012
Age : 27
ที่อยู่ : The Facility of Banned Organizer

Cataclysm: The Endless Hellfire XLVIII Empty
ตั้งหัวข้อเรื่อง: Re: Cataclysm: The Endless Hellfire XLVIII   Cataclysm: The Endless Hellfire XLVIII EmptyFri May 26, 2017 11:39 pm

ประตูแห่งหอคอยถูกเปิดขึ้นจากแรงของบุรุษสองคนในชุดแต่งกายสวมผ้าคลุมดำทมิฬทั่วทั้งตัวคล้ายกับผู้คลั่งลัทธิ ทันใดที่มันถูกเปิดออกปรากฏเป็นชายทั้งสามคนที่อยู่ภายนอก ดูท่าพวกเขาเหล่านั้นจะเป็นผู้เหนือกว่าคนภายในทั้งหมด แสงจากภายนอกทำให้เห็นว่าเหล่าบุคคลที่มาเยือนนั้นคือใคร นั่นคือราธ ลูเซียสและตัวของมรเพลิงไซอาลอทที่กลับไปยังถิ่นฐานของตนพร้อมกับแขกคนใหม่ สู่หอคอยแห่งความตายในดินแดนเช็ตเตอร์เรต ฟิยอร์ด ภายในเป็นห้องโถงมืดมิด รอบข้างของตัวหอคอยเต็มไปด้วยพลังแห่งบาป สายตาของเด็กหนุ่มผู้มาเยือนมองไปรอบราวกับว่าตนเองรู้สึกคุ้นเคยไปกับมันอย่างผิดปกติ จากที่โครนอสเคยเล่าให้เขาฟังมาแล้ว เหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น เขาเกิดมาจากดินแดนแห่งนี้จากพิธีกรรมผิดหลักธรรม เมื่อนั้นเขาจึงเริ่มเดินเข้าไปภายในหอคอยอันมืดมิดนั้น ทุกฝีก้าวที่เขาย่างกรายมันให้ความรู้สึกแปลกๆ ความรู้สึกที่บ่งบอกความเป็นตัวเขา รากฐานแห่งเขา ความรู้สึกของคนที่จากสิ่งที่เรียกว่า “บ้าน” เป็นเวลานานแสนนาน

  ถึงกระนั้นก็หาใช่ว่าเขาจะได้การต้อนรับจากคนอื่นดีนัก เหล่าผู้ใช้พลังบาปภายในตัวอาคารกลับมองเขาต่างออกไป นั่นคงเพราะร่างกายของเขาดูเหมือนเป็นมนุษย์ธรรมดา แตกต่างจากคนเหล่านั้นที่เริ่มแปรสภาพเป็นดั่งศพเดินได้ บวกกับไม่เคยมีใครรู้ถึงตัวของลูเซียสเพราะผู้ที่ทำพิธีกรรมทุกคนต่างก็ถูกฆ่าตายสิ้นไปตั้งแต่ครั้นนั้นแล้ว พวกเขาคงจะมองลูเซียสว่าเป็นคนแปลกหน้าที่ไม่สมควรมาอยู่ที่แห่งนี้ หรือาจจะมองเขาเป็นเด็กหน้าละอ่อนพวกพยายามจะมองโลกในแง่ร้ายซึ่งในความจริงเขาก็เป็นแค่เด็กอมมือ หรือว่าควพวกนี้จะเกรงว่าเด็กหนุ่มต่อหน้าของตนจะเป็นสปายที่ถูกส่งตัวมาเพื่อให้ได้รับความไว้วางใจจากไซอาลอทก็มิอาจจะคาดเดาได้ แน่นอนว่าความคิดทั้งหลายทั้งปวลของผู้คนที่นั้นไซอาลอทย่อมรับรู้ถึงมันทุกอย่างอยู่แล้ว นั่นเพราะความคิดของผู้ใช้พลังบาปนั้นมีเป็นเครือข่ายหนึ่งเดียว และมีเฉพาะผู้ที่สร้างมันหรือไซอาลอทเท่านั้นที่จะสามารถเข้าถึงความสามารถสูงสุดนี้ได้ กระนั้นเขาก็หาได้เข้าถึงตัวของลูเซียสแต่อย่างใด ด้วยความที่ว่าลูเซียสคือสิ่งที่แตกต่างไปจากผู้ใช้พลังบาปคนอื่นทุกคน

ระหว่างที่เด็กหนุ่มกำลังเดินตามไซอาลอทไปเรื่อย จู่ๆ ก็มีบุรุษในชุดคลุมสีดำคนหนึ่งเดินเข้ามาขวางทาง ราวกับเขาไม่สนใจเลยสักนิดว่าเด็กผู้นี้จะได้รับความไว้วางใจมาจากใครหรืออะไร แม้ว่าไซอาลอทจะอยู่ใกล้ตัวของลูเซียสแต่เขาก็หาได้สนใจไม่ เขามองเด็กหนุ่มผู้นั้นด้วยสายตาที่ดูไม่รับแขกเสียเท่าไหร่

“ไอ้หนู... ข้าไม่สนหรอกนะว่าเจ้าจะได้รับความไว้วางใจมาจากนายท่านหรือยังไง”
“แต่สำหรับข้า... ไม่ว่ะ!” เขากล่าวขึ้นมาราวกับพยายามที่จะกระตุ้นต่อมเด็กผู้นั้น

แน่นอนว่าจิตใจของลูเซียสในตอนนี้ไม่มั่นคงอย่างที่ควรจะเป็นแล้ว เขาเพิ่งจะทำในสิ่งที่เขาเกลียดที่สุดคือการที่ยอมจะเข้ามาร่วมมือกับไซอาลอทเพื่อปกป้องคนที่ตนเองรัก ซึ่งการที่มาเจอลิ่วล้อของมารร้ายเช่นนี้ย่อมกลายเป็นการทำให้เขาหงุดหงิดขึ้นมาเป็นธรรมดา ราวกับว่าเขาไม่มีอารมณ์ที่จะมาพูดพร่ำทำเพลง เล่นสนุกสนานกับชายผู้นี้ในตอนนี้

“ท่านพ่อ..” ลูเซียสกล่าวขึ้นเรียกไซอาลอท แต่เขาหาได้หันไปมองมารตนนั้นเลย
“มีอะไรหรือบุตรแห่งข้า?”
“สั่งให้มันผู้นี้ไสหัวออกไปจากหน้าข้า”
“ข้ามิอาจจะทำได้หรอกลูเซียส... ที่นี่เราสู้กันด้วยพลัง หากใครไม่พอใจอะไร”
“หรือต้องการอะไร ทุกอย่างล้วนแล้วจะต้องตัดสินด้วยการต่อสู้”
“ก็อย่างที่นายท่านว่านั่นล่ะไอ้หนู... ต่อให้แกเป็นบุตรชายแห่งนายท่านจริง”
“เมื่อมีปัญหา.. เราก็ต้องสู้ หรือฆ่าล่ะนะ”
“แต่สำหรับเจ้า? คงไม่มีความเป็นนักฆ่าเลยสักนิด”

  คำกล่าววาจาถูกเปล่งออกมาจากลมปากของบุรุษผู้นั้นโดยที่ไซอาลอทไม่มีทีท่าว่าจะห้ามเลยด้วยซ้ำ ไหนจะท่าทางที่เขาดูคล้อยตาม หันไปมองดูราวกับความหวังให้ลูเซียสทำอะไรสักอย่าง หรือนี่จะเป็นบททดสอบหนึ่งที่ไซอาลอทต้องการที่จะให้ลูเซียสทำเพื่อที่จะพิสูจน์ พิสูจน์ความจงรักภักดีที่มีให้แก่เพลิงพิโรธผู้นี้ พิสูจน์ว่าเขาจะสามารถทำได้ทุกอย่างเพื่อที่จะปกป้องคนที่ตนเองรัก ต่อให้ว่าจะสังหารใครก็ตามที สำหรับตัวของลูเซียสแล้ว เขาเคยสังหารคนมาแล้วนับร้อยพัน แต่ทุกครั้งเหล่านั้นหาได้เกิดขึ้นจากความประสงค์แท้จริงของหนุ่มเลย มันเป็นความคลั่งที่เขามิอาจจะควบคุมพลังตนเองได้อย่างเสถียรทำให้เกิดโศกนาฏกรรมขึ้น แต่ในครั้งนี้มันต่างออกไป... หากเขาคิดที่จะสังหาร มันจะเป็นการฆ่าครั้งแรกของเขา การฆ่าอย่างแท้จริงที่เขาไม่เคยได้ลิ้มลองว่ามันเป็นเช่นไร ดูท่าความคาดหวังของไซอาลอทจะเป็นการให้ลูเซียสสังหารชายผู้นี้เสีย แต่เขาก็หาได้พูดมันออกไป และตัวของลูเซียสเองก็คำนึงถึงข้อนี้ดี เขาครุ่นคิดภายในใจตั้งแต่แรกเริ่มแล้วว่าไซอาลอทคงจะคาดหวังอะไรเช่นนี้กับเขาแน่ และเขาก็จำเป็นต้องทำเพื่อที่จะให้มารเพลิงได้เห็น ว่าเขาบริสุทธิ์ใจที่จะร่วมกับมารเพลิง

“อย่าบังคับข้า..”
“แล้วเจ้าจะทำยังไงหรือไอ้หนู!”

  สิ้นวาจานั้นบุรุษผู้นั้นจึงยกแขนของตนขึ้น เพียงชั่วพริบตาก่อนที่เขาจะเสกพลังทั้งหมดเข้าที่หัถต์ของตนเพื่อจะโจมตีใส่ลูเซียส เขาถูกหัตถ์สีดำแห่งดูบาร์นพุ่งเข้าโจมตีใส่อย่างรวดเร็วจนแทบจะมองไม่ทัน หมัดข้างนั้นทะลุเข้าไปกลางอกของชายผู้นั้น สร้างบาดแผลขนาดใหญ่ให้แก่เขา เช่นนั้นแล้วลูเซียสจึงดึงมือข้างนั้นของตนกลับ สีหน้าของเขากลับหาได้แสดงอาการอันใดออกมา มันเป็นการสังหารโดยตั้งใจของลูเซียสครั้งแรกและเขาก็ไม่ลังเลที่จะทำเช่นนั้นเลย เขาไม่มีความรู้สึกผิด ไม่มีความอาลัยอาวรณ์ ไม่มีความสงสาร ราวกับเป็นเครื่องจักรสังหาร หรือเขาอาจจะมองในอีกแง่ว่าตนจำเป็นต้องทำ ต้องทำทุกอย่างเพื่อสร้างความไว้วางใจ เพื่อที่จะให้คนรักของตนเองปลอดภัย แต่ถ้ามองอีกแง่หนึ่งละก็มันก็เป็นการสังหารคนบาปคนหนึ่ง คนรกโลกคนหนึ่ง สังหารสิ่งที่ตนเองเกลียดชังอยู่เนิ่นนาน มันจึงไม่ส่งผลอะไรกับเด็กหนุ่มสวมแว่นผู้นี้เลย สิ้นการโจมตีนั้นชายผู้นั้นทรุดลงไปกับผืนดิน เขาสิ้นใจตายแล้ว เหล่าบุคคลอื่นที่เห็นเช่นนั้นเริ่มหวาดกลัวต่อลูเซียสราวกับเห็นบุตรแห่งซาตานเอง ถอยฉากออกไปไร้แรงอาฆาต ความต่อต้านอันใดอีก

“เจ้าทำได้ดีลูเซียส...” ไซอาลอทกล่าวขึ้น “จงจำไว้ว่าโลกแห่งนี้ไม่ได้มีไว้ให้พวกอ่อนแอ”

เด็กหนุ่มไม่ตอบอะไรกลับ ก่อนที่พลังดูบาร์นที่ปกคลุมแขนข้างนั้นของลูเซียสจะค่อยๆ สลายหายไป

“ท่านพ่อ...”
“มีอะไรงั้นหรือ?”
“ข้าอยากจะรู้เรื่องราวทั้งหมด... ที่เคยเกิดขึ้นกับข้า ข้าเป็นใครและมีจุดประสงค์อะไร”

เมื่อไซอาลอทได้ยินเช่นนั้น รอยยิ้มจึงผุดออกมา มันเป็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความคาดหวังที่ตนมีอยู่

“ก็ได้...”
“หากเจ้าต้องการที่จะรับรู้นัก ข้าก็มีอะไรจะให้เจ้าได้ฟังเยอะแยะไปหมด”

“จงตามข้ามา ลูเซียสบุตรแห่งข้า...”
ขึ้นไปข้างบน Go down
https://www.facebook.com/BillAlfenolf
 
Cataclysm: The Endless Hellfire XLVIII
ขึ้นไปข้างบน 
หน้า 1 จาก 1
 Similar topics
-
» Cataclysm: The Endless Hellfire IX
» Cataclysm: The Endless Hellfire XXV
» Cataclysm: The Endless Hellfire X
» Cataclysm: The Endless Hellfire XI
» Cataclysm: The Endless Hellfire XII

Permissions in this forum:คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
Bloody Wrestling Online :: BWO : Special Event :: BWO Novel-
ไปที่: