...
...
..
'นี่ท่านพ่อว่ายังไงนะครับ?'
'พ่อบอกว่าพ่อกำลังจะตาย'
คำพูดที่ได้ยินจากปากของพ่อยังคงวนเวียนอยู่ในหัวของผม....
'หมอหลวงตรวจพบว่าพ่อเป็นโรคที่เขาเรียกว่ามะเร็ง และคงมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน"
ในทีแรกผมไม่เชื่อว่าคนอย่างพ่อจะป่วยหรือเป็นโรคอะไรที่ร้ายแรง แต่ทำไมพอพ่อบอกผม ผมถึงรู้สึกว่าพ่อดูแก่และโทรมลงไปเป็นสิบๆปี
ดวงตาสีน้ำตาลเข้มที่ผมเห็นมาทั้งชีวิตของพ่อไม่เคยโกหก และครั้งนี้ก็ด้วย
"มันเป็นโรคที่ยังทางรักษาไม่ได้ แต่หมอบอกว่าพ่อคงอยู่ได้อีกแค่ 2 ปีเป็นอย่างมาก"
ผมรู้สึกไม่มีเลือดเลี้ยงบนใบหน้า และรู้สึกเหมือนโลกหยุดหมุน ตัวแข็งขยับร่างกายไม่ได้
ทำไมกันนะ?....ผมถึงไม่เคยสังเกตเลย
เส้นผมที่แซมสีเทาของพ่อ...ใบหน้าที่ผอมลงไปกว่าเมื่อก่อน....
พ่อกำลังจะตาย.....
ผมสะบัดหน้าไล่ความคิดออกไป ยันตัวลุกขึ้น ก่อนจะยกผ้าห้มออกจากร่างกาย
ตอนนี้ก็มืดแล้ว...น่าจะเที่ยงคืนได้แล้ว แต่ผมก็ยังนอนไม่หลับ เพราะเรื่องที่พ่อบอกผม
'แล้วฮานะ...ฮานะรู้เรื่องนี้รึยัง'
ผมถามพ่อขณะพยายามข่มน้ำเสียงที่สั่นเครือ
ผู้เป็นพ่อยิ้มตอบ
'ยัง..ยังไม่รู้'
'แล้วทำไมพ่อถึงบอกผม'
'พ่อต้องการให้ลูกเตรียมตัวสำหรับการสืบทอดตระกูลของเรา'
ในตอนนั้นผมรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างถาโถมเข้ามาในร่างกาย รู้สึกหนักอึ้งและชาไปทั้งร่าง
'ถึงมันจะเร็วไปสักหน่อย...แต่ลูกคือความหวังของตระกูลเรา'
เขาค่อยๆเดินมาหาผม และหยุดตรงหน้าผม
ผมเงยหน้ามองดวงตาของพ่อ....
นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นพ่อร้องไห้ออกมา
ตั้งแต่เกิดมาพ่อไม่เคยร้องไห้ให้พวกเราเห็น.....และไม่เคยกอดผมจนกระทั่งตอนนี้
ชายที่ผมเห็นมาทั้งชีวิตโน้มตัวลงมากอดผม มันเป็นความรู้สึกที่อบอุ่นที่สุดในชีวิตที่ผมเคยได้รับ
ถึงพ่อจะเคยทำดีกับผมแค่ไหน พูดดีกับผมแค่ไหน....แต่ตั้งแต่แม่จากเราไปเมื่อหลายปีก่อน.....
ทำไมผมถึงคิดโง่ๆอย่างนั้นนะ.....
ทำไม...ทำไม...ทำไม....ทำไมผมถึงเกลียดพ่อ.........
ทำไมผมถึงคิดที่อยากออกไปจากที่นี้....
ผมไม่เคยได้คำตอบจนในตอนนั้น
'ขอโทษนะ...ชูตะ'
น้ำเสียงสั่นเครือของพ่อและอ้อมกอดนั้น...ทำให้ผมได้คำตอบ.....
น้ำตาอุ่นๆของผมค่อยๆไหลรินออกมา ผมกอดพ่อแน่นขึ้น...รู้สึกอย่างอยู่อย่างนี้ไปตลอด
ผมได้คำตอบแล้ว....ว่าที่นี่คือบ้านของผม....
ตัดกลับมาที่ปัจจุบัน....ขณะนั่งคิด ... ดวงตาของผมก็เริ่มอุ่นอีกครั้ง
ผมกำลังร้องไห้อีกครั้ง
มือทั้งสองข้างกำแน่นจนเจ็บ แต่ในใจกลับรู้สึกอัดอั้น ผมมองดูพระจันทร์ยามราตรีผ่านหน้าต่างห้องนอน
คำพูดและการกระทำของพ่อทำให้ผมคิดได้ในตอนท้าย.....
ความกดดันที่ผมได้รับมาทั้งชีวิตกำลังเพิ่มขึ้นมากเป็นเท่าตัว
ผมรังเกียจพวกมัน.....แต่ผมจะไม่ปฏิเสธมันอีกต่อไป......
ผมจะไม่หนีอีกแล้ว.....ผมจะสู้
ผมใช้แขนเสื้อสับน้ำตา ระงับอาการสั่นของตนเอง เราจะต้องเข็มแข็งมากกว่านี้.... เราจะต้องสลัดความคิดเก่าๆออกไปให้หมด
เท็ตสึยะ ชูตะที่เหลวไหลไม่ได้ความคนนั้นไม่มีอีกแล้ว
ตอนนี้....ผมคือความหวัง....ผมคือผู้นำของตระกูลคนต่อไป
ผมคือมังกรผู้ทะเยอทะยาน ผมจะไม่ร้องไห้อีกต่อไป
ผมจะทำทุกอย่างเพื่อตระกูล....และเพื่อพ่อ....
และผม....จะไม่ทำให้พ่อผิดหวัง
...............................................................................................................................................................
2 ปีผ่านไป.....
ใจกลางเมืองโอวาริ ฤดูใบไม้พลิ
ศพของไดเมียวที่ยิ่งใหญ่อย่างโนบุนางะถูกทำพิธีศพอย่างสมเกียติร์ที่ใจกลางเมือง ประชาชนและขุนนางต่างร้องไห้ด้วยความเสียใจหลังจากเสียท่านผู้นำที่เก่งกาจที่สุดในประวัติศาสตร์ของโอวาริ
รวมถึงยังมีเหล่านักรบและซามูไรจำนวนมากจากแคว้นพันธมิตรรวมถึงไดเมียวมารวมพิธีศพที่เมืองโอวาริกันพร้อมหน้าพร้อมตาด้วยความโศกเศร้าอาลัย
เท็ตสึยะชูตะในชุดขุนนางเต็มยศสีดำสนิท วัย 17 ปีกำลังยืนมองเปลวเพลิงที่เผาไหม้โลงศพที่ตกแต่งอย่างสมศักศรีดิ์ของผู้เป็นพ่อด้วยแววตาเรียบเฉยและเย็นชา
เขาโอบกอดฮานะน้องสาวที่ร้องไห้ไม่หยุดตั้งแต่เช้า
ชายหนุ่มมองผู้คนรอบๆตัวที่กำลังเศร้าโศกกับการจากไปของผู้นำอันเป็นที่รัด
แต่ทำไม....เขาถึงไม่มีน้ำตา.....เขาเสียใจที่พ่อจากไป.....แต่ทำไมกัน...
เสร็จสิ้นพิธีเผาและพิธีทางศาสนา เขาก็ต้องปลีกออกมาคุยกับพวกขุนนางชั้นสูงที่ตำหนักเรื่อง การสืบทอดบัลลังค์
ในเวลาสองปีมานี้ ชูตะได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นกุนซือ วางแผนการรบ ซึ่งมีขุนนางจำนวนมากที่ไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ เพราะอายุของเขา แต่เขาก็ได้แสดงศักยภาพในการวางแผนการปราบกบฎมานับไม่ถ้วนจนประจักษ์แก่สายตาทุกคน
แต่ชูตะเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าการเป็นไดเมียวนั้นยากกว่าหลายเท่าตัวนัก เพราะตลอดสองปี โนบุนางะได้ถ่ายทอดความรู้หลายๆอย่างและสอนการทำงานให้แก่ลูกชายเองโดยตรง
การประชุมเป็นไปได้อย่างราบรื่น....และทุกคนลงความเห็นว่าจะแต่งตั้งให้ชูตะขึ้นเป็นไดเมียวในวันถัดมา......
และหลังจากที่เข้ารับตำแหน่งได้ไม่กี่เดือน มีขุนนางจิตกบฎจำนวนมากถูกสั่งเก็บด้วยฝีมือของชูตะ และแน่นอน เมื่อมีการพลัดเปลี่ยนบัลลังค์ นั่นย่อมหมายถึงสงครามกบฎ.....
ถึงชูตะจะสามารถจัดการพวกกองทัพกบฏที่มาระรานได้ทุกครั้ง แต่มันก็มาไม่หมดสักที เพราะเห็นว่าชูตะนั้นอายุน้อย และคงว่าแผนเองไม่เป็น รวมถึงเรื่องความสามารถ....และนั้นทำให้ชูตะต้องจัดการอะไรบางอย่าง
ชูตะได้จัดทัพไปตีหนึ่งในแคว้นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในสมัยนั้นหรือแคว้นซะสึมะ ซึ่งเคยเป็นอริเก่าตั้งแต่สมัยพ่อของเขา
และชายหนุ่มก็ได้ตั้งใจจะให้ทุกอย่างจบลงในวันนั้น
ไดเมียวของแค้วนซะสึมะหรือโทะกุงาวะ เป็นไดเมียวอายุมากที่มากไปด้วยความสามารถและประสบการณ์และเจ้าหล่ห์เหมือนหมาจิ้งจอก เป็นศัตรูที่ประมาทไม่ได้
แต่นั้น...ไม่ทำให้มังกรหนุ่มผู้ทะเยอะทะยานมีความกลัวแม้แต่น้อย.....