Bloody Wrestling Online
Would you like to react to this message? Create an account in a few clicks or log in to continue.

Bloody Wrestling Online

The Number One Cyber Wrestling Online
 
บ้านPortalLatest imagesสมัครสมาชิก(Register)เข้าสู่ระบบ(Log in)

 

 Cataclysm : Act III

Go down 
2 posters
ผู้ตั้งข้อความ
Neferpitou
Moderators
Moderators
Neferpitou


จำนวนข้อความ : 552
Join date : 05/12/2012
Age : 27
ที่อยู่ : The Facility of Banned Organizer

Cataclysm : Act III Empty
ตั้งหัวข้อเรื่อง: Cataclysm : Act III   Cataclysm : Act III EmptyFri Apr 17, 2015 8:29 pm

Cataclysm : Act III 2q2h0de

''แม้นว่าจะหลบซ่อนพวกมันได้... แต่นั่นยิ่งเป็นการทำให้ทุกอย่างแย่ลงไปกว่าเดิม''

เมื่อกองทัพแห่งโคล ริม หลบซ่อนตัวจากเหล่ากองทัพปีศาจ ณ ดินแดนรกร้างแห่งนี้... มันกลับกลายเป็นการทำให้ทุกอย่างแย่ลงไปกว่าเดิม เมื่อหามีผู้ใดที่สามารถหยุดยั้งมารเพลิงปีศาจไซอาลอทลงได้ กลายเป็นว่าคาถาแห่งบาปที่ถูกเปิดโดยมารตนนี้ได้ทำงานรุนแรงเสียยิ่งกว่าเดิมเนื่องเพราะออร่าแห่งความมืดนี้ได้เข้าปกคลุมไปทั่วทั้งแดนเอสซิโอนิก มันทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ท้องฟ้าที่มืดมิดชั่ววันชั่วคืนราวกับว่าดวงจันทร์ได้หยุดอยู่กับที่ตลอดเวลา เกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่ในแต่ละแดนทั่วทวีป

ยอดเขาอัลทาริค.... เดิมที่แห่งนี้ถูกเรียกว่าภูเขาวิสกี้ ดินแดนที่ขึ้นชื่อที่สุดเรื่องเครื่องดื่มสุราและของมึนเมา มันเป็นแหล่งเริงรมย์ชั้นยอดสำหรับนักท่องเที่ยวดี ๆ เลย สำหรับพวกนักเดินทางหรือพวกนักสู้แล้วที่นี่อาจจะเป็นที่เหมาะ ๆ ที่สุดสำหรับพวกเขาแล้วที่ใช้พักผ่อนในยามเทศกาล แต่เมื่อคาถาแห่งบาปเริ่มแผงฤทธิ์ของมันออกมา มันได้เกิดภัยพิบัติขึ้น... แผ่นดินไหวทั่วทั้งดินแดนนั้น ภูเขาได้งอกขึ้นมาจากพื้นดินโดยผิดธรรมชาติและปิดกั้นดินแดนนั้นให้เหมือนกับเป็นดินแดนปิดตายไปโดยสิ้นเชิง ผู้คนไม่สามารถออกจากดินแดนนั้นได้ด้วยทางพื้นดิน แม้แต่ทางน้ำยังยากด้วยซ้ำไปด้วยเพราะเขตแดนมันสูงชันจากผิวน้ำราวร้อยเมตร กล่าวคือมันมิอาจสามารถที่จะออกไปได้เลย แม้แต่การสร้างท่าเรือที่นั้นยังแทบเป็นไปไม่ได้ เมื่อนานเข้า ๆ ผู้คนในที่นั้นเริ่มอดอยากเพราะขาดอาหาร ซึ่งทุนเดิมก็ไม่ได้เป็นเมืองเกษตรกรรมอยู่แล้ว และท้ายที่สุดคนเหล่านั้นก็ตายไปโดยที่ภายนอกไม่อาจจะเข้าช่วยได้เลย

ปล่องภูเขาไฟร์วอร์กเกอร์... ดินแดนแห่งไฟในปัจจุบันซึ่งไม่อาจมีผู้ใดสามารถจะใช้ชีวิตอยู่ได้ เนื่องด้วยคาถาแห่งบาปได้ทำให้เกิดภูเขาไฟปะทุทั่วดินแดนอย่างผิดธรรมชาติเช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นในภูเขาวิสกี้ ผู้คนที่อาศัยอยู่แถว ๆ นั้นจึงเริ่มอพยพย้ายถิ่นฐานไปยังดินแดนอื่นที่มนุษย์ยังสามารถอยู่ได้  อีกทั้งยังมีดินแดนสโนว์เพลคที่เกิดภัยพิบัติทำให้หิมะตกโดยไม่รู้จักคำว่าหยุดหย่อน และเกิดพายุหิมะความเย็นอยู่บ่อยครั้งซึ่งนั่นทำให้ผู้คนในปัจจุบันที่ยังอาศัยอยู่ได้รับผลกระทบไปมาก และมันก็เกิดมาจากคาถามแห่งบาปเช่นเดียวกับดินแดนอื่น ๆ

แต่ที่แย่ที่สุดนั่นคือดินแดนวาชิน... เมื่อกาลก่อนมันเป็นเกาะโดดเดี่ยวที่แยกตัวออกจากพื้นที่ดินแดนเอสซิโอนิก ว่ากันว่าในดินแดนแห่งนี้เหล่าผู้คนที่มีพลังธาตุนั้นจะมีเฉพาะเพียงธาตุน้ำที่เป็นหลักเท่านั้น แน่นอนว่ามีเหล่าผู้ใช้พลังธาตุน้ำแข็งและพิษปะปนอยู่ด้วยเช่นกัน ผู้คนเหล่านี้ถูกขนานว่าเป็นลูกหลานทายาทแห่งตระกูลเทพแห่งวารีวาชินตามชื่อดินแดนแห่งนี้ แต่เมื่อดินแดนนี้ได้รับผลกระทบจากดินแดนแห่งบาป มันทำให้ทั่วทั้งเกาะถูกดึงจมดิ่งลงลึกจากสุดใต้มหาสมุทร โชคดีที่เวลานั้นผู้คนในเกาะที่กำลังจะจมน้ำตายกลับสามารถหายใจในน้ำได้อย่างปาฏิหาริย์ พวกเขาเล่ากันว่าในตอนนั้นพวกเขาได้รับความช่วยเหลือจากเทพวารีผู้ซึ่งน่าจะตายไปแล้วเมื่อพันปีก่อน จนในปัจจุบันผู้คนเหล่านั้นใช้ชีวิตอยู่ใต้พื้นผิวน้ำอยู่ร่วมกับสิ่งมีชีวิตใต้ดิน แต่ผู้คนเหล่านี้ก็เหมือนจะเป็นคนที่อยู่ในดินแดนปิดตายอีกดินแดนหนึ่งเช่นกัน เพราะพวกเขาโดยมากไม่กล้าที่จะขึ้นไปเผชิญเหนือผิวน้ำอีกต่อไปแล้ว เหตุเพราะการจะขึ้นไปบนนั้นต้องขึ้นผ่านทางกระแสน้ำวนแห่งวาชินเท่านั้น ซึ่งน้อยคนนักที่จะสามารถรอดจากการขึ้นฝั่งได้ บ้างก็ว่ากันว่าจะได้รับผลกระทบในช่วงขึ้นฝั่งหรือตายไปในที่สุด ทำให้มีน้อยคนนักที่จะกล้าเสี่ยงที่จะทำแบบนั้น

เมื่อดินแดนแห่งเอสซิโอนิกกลายสภาพจากหน้ามือเป็นหลังมือแล้ว.... เหล่ากองทัพโคล ริมที่หลบซ่อนตัวมานานแสนนานก็มิอาจจะทนต่อการเปลี่ยนแปลงได้อีกต่อไป พวกเขาจึงเริ่มลุกขึ้นสู้โดยนำทัพโดยชายชราผู้ที่เป็นดั่งแกนหลักของทัพแห่งนี้ จะว่าเป็นหัวใจหลักของทัพเลยก็ไม่แปลก เพราะชื่อทัพแห่งนี้ได้มาจากชื่อของชายผู้นี้ ''โคลริม เคลย์ทิวล์'' ว่ากันว่าชายชราผู้นี้ถือเป็นคนเดียวที่สามารถต่อกรกับปีศาจเพลิงตนนั้นได้ด้วยพลังที่แข็งแกร่งที่สุดในทัพ เขาถูกผู้คนในช่วงแต่ละยุคที่ตนหายใจอยู่เรียกว่า ''หัตถ์แห่งพสุธา'' ด้วยพลังของเขาที่แกร่งกล้าราวกับเป็นอวัยวะส่วนหนึ่งกับผืนดิน ด้วยวิชาธุลีดินของเขาได้ปราบผู้กล้า หรือนักสู้ฉกาจมานับต่อนับแล้ว นั่นจึงทำให้เขาดูเหมือนจะเป็นที่พึ่งสำหรับกองทัพ ไม่สิ.... มวลมนุษย์ในการต่อกรกับปีศาจตนนี้ในศึกนี้

แต่ถึงแม้ว่าโคลริมผู้นี้จะสามารถเอาชนะนักสู้มามากมายก็จริง... แต่นักสู้เหล่านั้นหาใช่ปีศาจที่ไร้หัวใจแบบที่เขากำลังเผชิญอยู่ ครั้งนี้มันต่างออกไปจากทุกครั้ง กองทัพแห่งมวลมนุษย์จะใช้วิธีไหนที่จะสามารถต่อกรกับปีศาจตนนี้ได้กัน...

-----------------------

ชายผู้ใช้มีดสั้นและธนูประกาศตนว่าจะเป็นผู้กระชากหัวชายผู้นั้นไปขึ้นเงิน เขาตั้งท่าเตรียมรอที่จะจู่โจมในชุดต่อไป เมื่อคู่ต่อสู้ของเขาได้ยินเช่นกันก็ไม่ได้รู้สึกถึงความกลัว ตกใจหรือสับสนเลยแม้แต่น้อย เขาแสยะยิ้มราวกับว่ารู้ตัวและมีความสุขไปกับมัน ยกดาบคาตานะของตนขึ้นพาดบ่าทำท่าเย้ยหยั่นต่อชายผมสีทองผู้ซึ่งเป็นปรปักษ์ต่อเขา

''อยากจะเอาหัวนี้ขึ้นเงินก็เชิญ !! ถ้าแกคิดว่าสามารถตัดมันออกจากคอด้วยมีดของเล่นนั่นได้ล่ะนะ...'' ชายผมดำผู้ถือดาบเอ่ยขึ้น ''แต่ฉันก็จะเอาปากของแกไปไว้กับคณะตลกด้วยเหมือนกัน''

ฟลาบิลัสดูท่าทางจะหงุดหงิดกับสิ่งที่ตนได้ยินอีกทั้งยังถูกคู่ต่อสู้ทำท่าเหมือนหยามตนเองอีกด้วย แต่เขาก็พยายามจะเก็บอารมณ์ตนไว้และคิดหาโอกาสที่จะโจมตีครั้งต่อไป การโจมตีโดยมั่วสุ่มท่าทางจะไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่ในตอนนี้ ทั้งผู้คนที่อยู่รอบตัวอีกทั้งยังไม่สามารถจับความสามารถหมอกของชายผู้นั้นออก เขากำลังคิดแผนการอยู่... แต่เหมือนคิดเท่าไหร่มันก็คิดไม่ออกเสียที เหมือนกับครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งก่อน ๆ ที่เขาเคยพบเจอมา ครั้งนี้เหมือนกับเขากำลังเผชิญอยู่กับปีศาจที่ถูกคนเรียกว่าเป็นหนึ่งในคนที่แข็งแกร่งที่สุดในเอสซิโอนิก มันจึงไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่นักสู้ไร้นามเช่นเขาจะต่อกรได้ง่าย ๆ แต่ทำไมเขาถึงตัดสินใจที่จะต่อสู้กับชายผู้นี้ล่ะ...

''เป็นอะไรไป ? ไม่รู้จักวิธีตัดหัวหรอกหรอ... มันไม่เหมือนกับการตัดหัวหมูหรอกนะไอ้บ้านนอก'' ชายผู้นั้นพูดแซวฟลาบิลัสที่ยืนนิ่งกับที่ แถมเครื่องแต่งกายของหนุ่มผู้หวังเงินค่าหัวนั้นดูไม่เหมือนกับพวกมีฐานะเลยด้วยซ้ำ ต่างจากเขาที่แต่งตัวเต็มยศราวกับนักสู้ตัวจริงเสียงจริง

ว่าแล้วชายผู้นั้นก็เริ่มย่างก้าวเข้าไปหาชายผู้ถือมีดสั้นช้า ๆ เขาสะบัดดาบไปมาเหมือนกับว่าตนเองก็รอการโจมตีจากคู่ต่อสู้เช่นกัน... ไม่นานนักก็เกิดแผลจากการถูกของมีคมบาดจำนวนมากเกิดขึ้นทั่วตัวของฟลาบิลัส เขาสงสัยไปกับมันว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร ชายผมดำผู้นั้นยังดูเฉยชาและสะบัดดาบไปมาเช่นเคย ชายผมสีทองเริ่มสังเกตที่รอบข้างอย่างสุขุม เขาปล่อยพลังออร่าอ่อน ๆ คลุมกลายเพื่อตรวจจับถึงอะไรบางอย่าง เขาพบกับว่าที่รอบข้างนั้นมีออร่าลมกระจัดกระจายอยู่รอบตัวเขาแล้ว เขารู้ดีว่าถ้าตอนนี้ใช้วิชารักษาแผลบาดเล็ก ๆ น้อย ๆ แค่นี้ถือว่าไม่ใช่เรื่องที่ยากเลย แต่มันก็เหมือนกับว่าเขากำลังก่อทรายแล้วคลื่นซัดมาใส่ปราสาททรายของเขาทุกครั้งก็เท่านั้น เขาตัดสินใจที่จะโจมตีชายผู้นั้นอีกครั้งหนึ่งโดยที่ตนเองใช้ความรวดเร็วของพลังธาตุแสงของตนเข้าช่วย เหมือนดั่งหายไปในชั่วพริบตา ฟลาบิลัสกลับไปโผล่ที่หลังของชายผู้นั้นซึ่งดูท่าว่าจะเป็นช่องโหว่สำหรับเขาเต็ม ๆ ชายผมสีทองใช้มีดสั้นทั้งสองเล่มแทนลูกศรและใช้คันศรยิงมันออกไปทันที

มีดสั้นทั้งสองเล่มถูกยิงออกไปด้วยความเร็วที่เหนือยิ่งกว่ากระสุนปืน มันพุ่งตรงไปที่กระดูกสันหลังส่วนกลางของชายผู้นั้นหมายปองที่จะทิ่มเข้าทะลุร่างนั้นให้กระจุย แต่ชายผู้นั้นก็เปลี่ยนท่าการจับดาบของตนอย่างฉับพลันและฟาดดาบเป็นพายุหมุนวนรอบทำให้การโจมตีนั้นถูกดีดกลับออกไป ชายผู้นั้นเริ่มมองหนุ่มผู้ยิงธนูด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป เหมือนกับว่าในตอนนี้จะมามัวเล่นกวนประสาทกับมันไม่ได้แล้ว ที่ใบหน้าของเขามีรอยบาดจากมีดหรืออะไรสักอย่างสองจุดใกล้เคียงกัน ที่น่าแปลกคือในตอนนี้เขากลับมีเลือดไหลไม่ใช่การแปลงสภาพเป็นหมอกควันเหมือนเมื่อครั้งแรก ชายหนุ่มผมสีทองเมื่อเห็นการตอบโต้จากชายผู้นั้นแล้วก็หาที่จะโจมตีชุดต่อไปเลย เขายืนนิ่งราวกับว่านั่นไม่ใช่จุดจบของการโจมตีเสียด้วยซ้ำ ว่าแล้วมีดสั้นทั้งสองที่ถูกดีดออกไปก็พุ่งเข้าโจมตีที่ชายผู้ถือดาบอีกครั้ง ครั้งนี้มันดูรวดเร็วกว่าเดิม ทั้งยังดูเหมือนจะเจาะทะลวงได้รุนแรงกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ แต่ชายผู้นั้นก็ยังสามารถปัดป้องมันออกไปได้ แต่ยิ่งเขาสะท้อนการโจมตีเท่าไหร่มันก็พุ่งกลับเข้าหาเขาด้วยความเร็วที่เพิ่มพูลยิ่งกว่าเดิมเป็นเท่าตัวอีก

เหมือนสิ่งที่ถูกเล่นซ้ำไปซ้ำมา... แชนเดรียผู้นั้นไม่สามารถโจมตีกลับไปสู่ฟลาบิลัสได้เลย ถึงแม้เขาจะใช้พลังที่ฟาดฟันมีดสั้นนั้นจนเริ่มแตกทีละนิด นั่นก็ไม่ทำให้การโจมตีวนเวียนของฟลาบิลัสดูเสื่อมคลายเลย ในช่วงจังหวะที่มีดสั้นทั้งมองเล่มกำลังจะพุ่งโจมตีครั้งต่อไป ชายผู้ใช้ดาบได้ใช้ดาบของตนปักลงไปกับพื้นไม่นานนักก่อนที่มีดจะพุ่งเข้าสู่ตัวเขามันก็ได้เกิดแรงกดแปลก ๆ สักอย่างทำให้มีดทั้งสองเล่มดึ่งลงปักสู่พื้น แรงกดดันนั่นทำให้มีดทั้งสองเล่มแตกเป็นเสี่ยง ๆ หลังจากที่มันดึ่งลงพื้นได้ไม่นานและชายผมสีทองก็ถูกแรงกดนั่นดันตัวลงไปกับพื้นเช่นกัน ดูเหมือนนั่นจะเป็นความสามารถอะไรสักอย่างที่ใช้ในการควบคุมแรงโน้มถ่วง แต่ชายผู้นั้นกลับไม่สะทบสะท้านเลยแม้แต่น้อย เขาเดินไปหาฟลาบิลัสหยั่งกับเดินเล่นอยู่สวนหลังบ้านตัวเองเลยด้วยซ้ำ ว่าแล้วชายผู้นั้นก็กำหมัดที่เต็มไปด้วยพลังแห่งลมพุ่งกระแทกเข้าใส่ใบหน้าของชายผมสีทองทันที

''ปั๊ก !!'' เสียงหมัดดันขึ้นมาพร้อมกับคราบเลือดที่ติดอยู่กับหมัดของผู้ใช้วิชาลม

''ปั๊ก !!'' ''ปั๊ก !!'' ''ปั๊ก !!'' ''ปั๊ก !!''

เสียงหมัดกระทบยังดังขึ้นต่อเนื่องโดยไม่รู้ทีท่าว่าจะหยุดลงเมื่อไหร่ และแล้วเขาก็จิกผมของชายที่ดูทีท่าเหมือนจะหมดสติไปแล้วขึ้นมา ทันใดนั้นเขาเหวี่ยงชายผู้นั้นขึ้นไปบนฟ้าและใช้พลังลมผลักชายผู้นั้นขึ้นไปสูงเหนือฟ้า แต่ไม่นานนักที่ชายผมสีทองจะล่องลอยขึ้นสู่ฟากฟ้า เขาก็ถูกดึงลงมาด้วยพลังของแรงโน้มถ่วงแรงกล้านั่น ชายผู้ใช้พลังลมผู้นั้นชักดาบของตนเพื่อเตรียมที่จะฟาดฟันร่างของฟลาบิลัสให้ขาดเป็นเสี่ยง ๆ ที่ดาบนั้นเต็มไปด้วยออร่าแรงกล้าที่พร้อมจะสังหารเหยื่อ เมื่อชายที่กำลังร่วงลงสู่พื้นรู้สึกตัวแล้ว เขาพยายามใช้พลังตนเองทั้งหมดเพื่อสะบัดตัวให้หลุดจากห้วงแรงโน้มถ่วงนี้.... จู่ ๆ เขาก็สามารถดีดตนเองออกมาจากห้วงพลังนั่นได้อย่างน่าเหลือเชื่อ แต่ทิศทางที่ชายผู้นั้นพุ่งออกไปอาจจะไม่ไช่ที่ ๆ ดีที่สุดสำหรับเขา ไม่นานนักเมื่อนักดาบได้รวบรวมปราณวายุลงไปที่ใต้ฝ่าเท้าและดีดตัวออกตามไปด้วยความเร็วที่เหนือกว่าชายผมสีทองเป็นเท่าตัว ด้วยความเร็วที่เหนือกว่าเขาจึงสามารถเข้าถึงตัวของฟลาบิลัส ภายในไม่กี่ชั่วพริบตาเขาฟาดฟันดาบที่เต็มไปด้วยออร่าแห่งลม ด้วยความคบกริบที่เปล่งออกมาจากดาบจึงสร้างบาดแผลให้กับปรปักษ์ของเขา ชายผู้รับการโจมตีได้ร่วงลงทะลุผิวของหลังคาอาคารแห่งหนึ่ง ร่างกายของชายผู้นั้นกระแทกลงกับพื้นของห้อง ๆ หนึ่ง... ท่ามกลางฝูงควันตลบจากการพังของหลังคานั้น ที่เบื้องหน้าของนักธนูก็ถูกจ่อด้วยปลายดาบแหลมคมเสียแล้ว

''คราวนี้ล่ะ... ฉันจะสาธิตการตัดคอมนุษย์แกให้ได้ลิ้มลอง'' ชายผู้นั้นเอ่ยขึ้นพร้อมกับแสยะยิ้ม ''แต่หน้าอย่างแกคงเอาไปขึ้นเงินไม่ได้หรอกใช่ไหม ?''

''แต่ฉันว่า.... ฉันสามารถเอาหัวแกไปขึ้นเงินได้นะ'' ฟลาบิลัสเอ่ยตอบโดยไม่มีทีท่าที่แสดงถึงความกลัวเกรง

หลังจากนักธนูเปล่งวาจาแล้ว... นักดาบหนุ่มก็สามารถสัมผัสได้ถึงของมีคมที่สัมผัสอยู่หลังคอตน ของมีคมชิ้นนี้แลดูเย็นเยือกยิ่งกว่าอาวุธชิ้นไหน ๆ ที่เขาเคยสัมผัส มันทำให้แม้แต่หนึ่งในชายผู้ที่ถูกกล่าวว่าเป็นนักสู้ที่แกร่งที่สุดถึงกับขนลุกได้ ผู้ถือมีดนั้นคือสหายของนักธนู... เพรสตันคือผู้ที่จ่อมีดตนเตรียมจะสังหารชายผู้นั้นถึงแม้ว่าชายหนุ่นนักมีดจะอ่านหนังสือไปด้วยก็ตาม แต่นักดาบรู้ตัวดีว่าหากตนขยับเพียงแม้แต่นิดเดียวก็อาจถึงความตายได้ พลังปราณจากมีดเล่มนั้นดูต่างออกไปจากพลังของนักธนูที่สู้ด้วยเมื่อครู่ มันดูน่ากลัวกว่า สยดสยองยิ่งกว่าและเยือกเย็น ไร้ปราณี

''ทิ้งดาบนั่นลง... แล้วยกมือขึ้นซะ !!'' เพรสตันกล่าวต่อผู้หวังจะสังหารสหายตน

ไม่นานนักชายผู้นั้นก็ยอมวางดาบลงกับพื้นแต่โดยดี เขายกมือทั้งสองข้างขึ้นโดยที่ไร้การขัดขืนเป็นสัญญาณยกธงขาว แต่ถึงกระนั้นก็ไม่ได้แสดงถึงความตื่นตระหนักหรือความกลัวออกมา สุขุม เยือกเย็น นั่นคือสิ่งที่เขาแสดงออกมาต่อชายผู้ถือมีด ไม่รู้ว่าเขาเก็บความกลัวเพื่อปิดบังความคิดที่จะถูกอ่านออกโดยศัตรูหรือพบเจอกับเหตุการณ์เสี่ยงตายมามากกันแน่ เขาดูนิ่งเกินไปสำหรับคนที่อยู่เบื้องหน้าความตาย

สถานที่แห่งนี้เป็นเหมือนกับห้องสมุดขนาดใหญ่สำหรับผู้ค้นคว้าความรู้ตัวยง... รู้สึกเหมือนว่าเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นนี้สร้างแรงกดดันและนำพาซึ่งความเงียบงันต่อผู้คนรอบข้าง นอกจากเสียงลมหายใจและเปล่งวาจาของนักสู้แล้วมันก็หลงเหลืออยู่เพียงเสียง ๆ เดียวที่ดังแผ่ว ๆ ตลอดเวลา... เสียงลมปราณที่กระจัดกระจายไปทั่วบริเวณรอบที่นักสู้ทั้งสามเหยียบย่ำเท่านั้น ทันใดนั้นจู่ ๆ ก็ได้เกิดเสียงดังกระหึ่มของผู้คน เสียงร้องคำราม เสียงฝีเท้าที่มุ่งตรงมาใกล้ตัวของเหล่านักสู้ ไม่นานนักเหล่าทหารรักษาความสงบก็โถมเข้ามารุมล้อมเหล่านักสู้ ยุทโธปกรณ์ของพวกเขาดูสง่างาม แข็งแกร่ง เห็นได้ชัดว่าผู้คนเหล่านี้คือทหารส่วนกลางของสตอร์ม ครูเซส...

''วางอาวุธของพวกเจ้าลง... คุกเข่าลงไปกับพื้นและอยู่ให้นิ่ง ๆ'' ชายที่แลดูเหมือนหัวหน้ากลุ่มทหารเอ่ยขึ้นมา

''เคร้ง !!''

นักปราญช์ผู้ใช้มีดแสดงถึงความร่วมมือด้วยการทิ้งมีดลงไปกับพื้น... ปิดหนังสือเล่มที่เขาอ่านและคุกเข่าลงไปกับพื้นตามคำสั่งของชายผู้นั้น ทุกอย่างดูสงบลงเมื่อทหารเสือได้เข้าปราบปราม ผู้คนภายนอกอาคารเริ่มแห่ตรงมามุงดูด้วยความสงสัยถึงสิ่งที่เกิดขึ้น เห็นได้ชัดว่าเหตุการณ์แบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นง่าย ๆ กับเมืองใหญ่แบบนี้เสียเท่าไหร่ แต่มันได้จบลงด้วยอำนาจทางทหารแล้ว

''พวกเจ้าถูกจับกุมแล้ว !!''

-----------------------

''เจ้ายังทำได้ดีเหมือนเคยเลยนะ... แม้นเวลาจะผ่านไปนานแล้วก็ตาม ปาสกวาล'' นั่นคือสิ่งที่ชายชราร่างเทียมเอ่ยขึ้นมาหลังจบการต่อสู้ของชายผู้ใช้แส้หนาม

''ขอรับท่านโคลริม... แต่ว่าที่นี่มันคือที่ไหนกัน และเกิดอะไรขึ้นกันแน่ครับ ?'' ชายผู้ถูกขนานนามว่าปาสกวาลคุกเข่าลงเคารพและถามด้วยความสงสัย

''ที่นี่คือฐานทัพแห่งกองทัพโคลริม... แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่ในยุคสมัยของพวกเราเสียแล้วล่ะนะ'' ชายชราร่างเทียมผู้นั้นตอบกลับไป

''ฐานทัพแห่งโคลริม ?!!'' ชายผู้นั้นตะโกนขึ้น ''แต่ว่า... มันดูสภาพไม่เหมือนครั้งล่าสุดที่กระผมได้อยู่รับใช้ท่านนี่ครับ''

''ตอนนี้มันกลายเป็นแค่ซากปรักหักพังที่ถูกทิ้งร้างไปเมื่อสิ้นสุดมหาศึกสงครามแห่งอสรูกาย... เหมือนเวลาจะผ่านไปแล้วสักสี่สิบปีจากเหตุการณ์นั้น ผู้คนใช้ชีวิตกับอย่างสงบสุข ปราศจากสงครามหรือมารตนใดที่ย่างก้าวเข้าสู่เอสซิโอนิกเป็นเวลานาน'' ชายชรากล่าว

''แต่ข้าเกรงว่ามันกำลังจะเกิดรอยเดิมซ้ำอีกครั้งในไม่ช้านี้'' เขาพูดต่อถึงชายหนุ่มผู้แสดงความเคารพต่อเขา ''ดังนั้นข้าจึงปลุกเจ้าขึ้นมา... จากการหลับใหลเป็นเวลานาน''

''สี่สิบปี... มิน่าล่ะท่านถึงได้สั่งให้กระผมเข้าจำศีลใต้สถานที่แห่งนี้หลังสงครามครั้งนั้น แต่ถึงแบบนั้นผมก็ยังมีคำถามค้างคาใจว่าทำไมต้องเป็นกระผมด้วย ?''

''เจ้าคือชายที่แกร่งที่สุดรองลงมาจากตัวข้าปาสกวาล... ข้าจึงอยากฝากภารกิจที่ตัวข้ามิอาจสามารถจะทำได้ ด้วยความชราภาพของข้าเมื่อกาลก่อนได้กัดกินกายข้าจนถึงแก่ความตาย ตัวข้าที่เจ้าเห็นอยู่เบื้องหน้าก็เป็นแค่ปราณที่ข้าทิ้งไว้เท่านั้น รวมถึงการปลุกเจ้าก็เป็นฝีมือของปราณข้าที่ตั้งเวลาไว้เช่นกัน'' โคลริมกล่าว

''เพราะงั้นการที่ให้หนุ่มเช่นเจ้าทำภารกิจนี้แทนตัวข้าจึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุด'' เขาพูดต่อ

''ภารกิจอันใดขอรับ ?''

''ข้าเคยกล่าวแก่สหายแห่งกองทัพโคลริมทุกคนเมื่อครั้งสุดท้ายที่ข้าพบกับพวกเจ้า... ถึงแม้เราสามารถจัดการกับกองทัพปีศาจได้ก็ตามที แต่นั่นก็มิอาจจะชำระล้างพลังความมืดที่ครอบงำเอสซิโอนิกลงได้ และเมื่อเวลามันมาถึง.. จะมีผู้ปลุกมันขึ้นมาก่อหายนะครั้งใหญ่อีก''

''แล้วข้าจักต้องทำเยี่ยงไรขอรับ ?'' ชายหนุ่มผมสีทองยาวสลวยซักถามอีกครั้ง

''ศูนย์กลางของพลังแห่งบาปถูกปลดปล่อยออกมาจากหอคอยแห่งซินโดร่า ข้าจำเป็นต้องให้เจ้าเดินทางไปยังที่แห่งนั้นเพื่อปกป้องมันจากเหล่าน้ำมือผู้ชั่วร้าย และเจ้าจงจำไว้ให้ดี... ว่าพวกมันอาจจะเป็นหนึ่งในปีศาจที่เราเคยต่อกรกับมันมาก่อน'' ชายชราอธิบายถึงสิ่งที่ต้องอีกทั้งยังเตือนแก่ชายหนุ่มผู้นั้น

''เข้าใจแล้วครับ''

วาจานั้นของชายหนุ่มเป็นการสิ้นสุดการสนทนา ร่างปราณของชายชราได้จางหายไปพร้อมกับฝุ่นควันที่กระจัดกระจายทั่วทั้งห้องเก่า ๆ นี้... ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนและก้าวเดินออกจากห้อง ๆ นั้น เขาเริ่มเดินไปตามห้องโถงที่เต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมเก่าแก่ เมื่อเดินไปได้สักพัก เขาพบกับบันไดสูงชันขึ้นไปประมาณสองชั้นตึกเห็นจะได้ เขาย่างก้าวขึ้นไปตามขั้นบันได ไม่นานนักแสงสว่างจากภายนอกก็จ้าขึ้น เขาเดินออกสู่ภายนอกซึ่งมันเป็นแดนรกร้างที่เต็มไปด้วยอารยธรรมเก่าแก่ ดูเหมือนสถานที่แห่งนี้จะอยู่ใต้ผืนดิน เป็นเหมือนถ้ำที่ใช้สำหรับหลบซ่อนหรืออะไรสักอย่าง เมื่อปาสกวาลผู้นี้เหยียบย่างสู่ผิวดินภายนอก สภาพท้องฟ้าเริ่มแปรเปลี่ยนไป... มันดูมืดครึ้มเหมือนกับกำลังมีอะไรสักอย่างปกคลุมเหนือเมฆเหล่านั้น เขาพอจะเดาออกว่ามันคืออะไร เพราะนอกจากท้องฟ้าที่เริ่มแปรปรวนแล้ว เหล่าสัตว์ปีกมากมายก็พากันบินวนอยู่รอบนภาแต่ไม่สามารถทราบได้ว่านั่นคือนกหรือตัวอะไรกันแน่ เขาเพียงแค่จดจ้องดูถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น นิ่งเงียบและครุ่นคิดกับสิ่ง ๆ นั้น

''มันเริ่มขึ้นแล้วสินะ...''
ขึ้นไปข้างบน Go down
https://www.facebook.com/BillAlfenolf
jeckcrows
Jobber
Jobber
jeckcrows


จำนวนข้อความ : 59
Join date : 22/11/2014

Cataclysm : Act III Empty
ตั้งหัวข้อเรื่อง: Re: Cataclysm : Act III   Cataclysm : Act III EmptySat Apr 18, 2015 4:44 am

น่าตืดตาม มาเร็วๆนะครับ
ขึ้นไปข้างบน Go down
 
Cataclysm : Act III
ขึ้นไปข้างบน 
หน้า 1 จาก 1
 Similar topics
-
» รับสมัครตัวละครเรื่อง Cataclysm
» Cataclysm : Act I
» Cataclysm : Act II
» Cataclysm : Act IV
» Cataclysm : Act V

Permissions in this forum:คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
Bloody Wrestling Online :: BWO : Special Event :: BWO Novel-
ไปที่: