หากเปรียบความวุ่นวายเมื่อสักครู่ดังเช่นเมนูอาหาร ก็คงเปรียบเสมือนแค่ออร์เดิร์ฟเรียกน้ำย่อยเท่านั้น
เพราะความวุ่นวายที่แท้จริง มันกำลังจะเริ่มหลังจากนี้ต่างหาก
ผมชื่อซากุราอิ อิคุสะ นักเรียนมัธยมปลายปีหนึ่งแห่งโรงเรียนเอกชนชิบาซากิ
และผมเป็นผู้ชาย
แต่ตอนนี้ผมไม่ใช่...
ก่อนอื่นย้อนอดีตกันสักนิด ว่าผมถูกกลุ่มนักเลงตามล่า ผมจึงวิ่งหนีจนเกิดอุบัติเหตุปางตาย แต่ทว่าผมได้รับความช่วยเหลือจากคุณหมอทาจิบานะ ซึ่งได้ใช้ยาวิเศษที่เธออ้างว่ารักษาได้ทุกอย่าง โกงความตายทำให้ผมกลับมามีชีวิตอีกครั้ง
ปรากฏว่าผลข้างเคียงของยานั้นกลับทำให้ร่างกายผมเป็นผู้หญิงโดยสมบูรณ์ซะงั้น แม้ว่าอาการบาดเจ็บของผมจะหายดีจนเป็นปกติเลยก็ตาม แต่ถึงกระนั้นผมก็เป็นหนี้บุญคุณคุณหมออย่างใหญ่หลวง เพราะเธอทำให้ผมกลับมามีชีวิตอีกครั้งหนึ่ง
แน่นอนว่าหลังจากนี้มันย่อมส่งผลกระทบหลายๆอย่างกับชีวิตประจำวันของผมให้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
โดยเฉพาะชีวิตของผมในโรงเรียนเอกชนชิบาซากิ โรงเรียนชายล้วนแห่งนี้...
ด้วยความรีบร้อน ผมจึงไม่ได้เตรียมใจหรือแม้แต่ทำใจให้กับสภาพของผมในขณะนี้ ถ้ามองในแง่ของความเป็นจริง ผมควรจะหยุดพักทำใจและวางแผนอะไรหลายๆอย่างเพื่อที่จะดำรงชีวิตในร่างกายที่เป็นผู้หญิงให้ราบรื่น จนกว่าคุณหมอทาจิบานะจะสามารถคิดค้นยาที่ทำให้ผมกลับเป็นเหมือนเดิมได้เสร็จสมบูรณ์
แน่นอนว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการปกปิดเรื่องที่ผมกลายเป็นผู้หญิงให้มิดที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาอะไรหลายๆอย่างที่จะเกิดขึ้น รวมทั้งความปลอดภัยของตัวผมเองด้วย
ซึ่งบางทีถ้าผมหายไปซะเฉยๆ ผมอาจจะยิ่งเป็นจุดสนใจมากขึ้น ประมาณว่า ‘เฮ้! นายหายไปไหนมา’ อะไรแบบนั้น และนั่นอาจจะเพิ่มโอกาสที่จะทำให้ความลับแตกก็เป็นได้ ผมต้องเก็บความลับนี้กับทุกคนจนกว่าทุกอย่างจะกลับสู่สภาพปกติ
“โย่! อิคุสะ”
และโดยเฉพาะกับคนๆนี้
หลังจากที่ผมเดินทางมาถึงโรงเรียนโดยสวัสดิภาพ ไม่มีใครสงสัยหรือเอะใจใดๆในตัวผม ผมก็เข้าห้องเรียนของผมตามปกติ และเจ้านี่ก็มักจะทักทายผมเป็นคนแรกเสมอ
เด็กหนุ่มผู้มีสีผมทองหม่นๆราวกับแยงกี้ แววตาดุดัน ถ้ามองเผินๆอาจจะคิดว่าไอ้นี่นักเลงแน่นอน แต่ถ้ารู้จักจริงๆแล้วจะพบว่าไม่ใช่เลยสักนิด
หมอนี่คือเท็นโจอิน ริโตะ เพื่อนสนิทของผม เราสองคนรู้จักกันมานานมาก และเรียนที่เดียวกันมาตั้งแต่ประถมยันมัธยม เห็นดูเหมือนนักเลงแบบนี้ จริงๆหมอนี่เรียนเก่งสุดๆ ได้คะแนนท็อปมาโดยตลอด แถมยังสุภาพ เกลียดความรุนแรง ต่างจากผมโดยสิ้นเชิง ประมาณว่าหมอนี่ควรจะเอานิสัยชอบต่อยตีกับชาวบ้านของผมไปซะมากกว่าถึงจะเข้ากับหน้าตา
แม้ภาพลักษณ์ภายนอกจะดูน่ากลัว แต่สาวๆมาติดตรึมเลยล่ะ เนื้อหอมสุดๆ แบบผู้ชายเกือบทั้งโลกจะต้องอิจฉา แต่เจ้าหมอนั่นไม่ค่อยดีใจเท่าไหร่ที่ตัวเองเนื้อหอมแบบนั้น เพราะมันดันเป็นโรคกลัวผู้หญิงขั้นรุนแรงซะงั้น เป็นสาเหตุที่ทำให้เจ้าหมอนั่นหนีมาเรียนโรงเรียนชายล้วน
นั่นคือเหตุผลสำคัญเลยล่ะที่ทำให้ผมต้องเก็บความลับกับเจ้าหมอนี่ให้มากกว่าใครๆ เพราะถ้ามันรู้ว่าเพื่อนตัวเองเป็นผู้หญิงล่ะก็คงไม่ดีต่อโรคกลัวผู้หญิงของมันแน่ๆ
“งะ... ไง”
ผมทักทายมันกลับ รู้สึกได้เลยว่าเสียงผมสั่นนิดๆ อาจจะเพราะเกร็งหรืออึดอัดกับผ้าที่พันหน้าอกก็ไม่อาจทราบได้ ดีที่เหมือนริโตะจะไม่ได้สังเกต
“เมื่อคืนฉันไปหาแกแล้วแกไม่อยู่ห้อง โทรไปก็ไม่รับ แกไปไหนมา หรือไปมีเรื่องกับใครอีกแล้ว?”
“อ่า... เอ่อ ก็ประมาณนั้น”
จริงสิ เมื่อคืนผมพักรักษาตัวอยู่ที่คลินิกทาจิบานะนี่นา
“เอาอีกแล้วนะ ฉันบอกกี่ครั้งว่าให้เลิกทะเลาะกับชาวบ้านเขาสักที”
“อะ... เอาน่า ฉันเอาตัวรอดเองได้”
นอกจากจะไม่ชอบความรุนแรงแล้ว ริโตะก็มักจะคอยเตือนคอยห้ามผมเสมอๆเมื่อไปมีเรื่องกับใคร แต่ผมก็ไม่เคยฟังมันสักครั้ง เพราะด้วยความที่ผมอยากให้คนอื่นเห็นว่าผมก็เป็นผู้ชายคนหนึ่ง หลายครั้งที่ริโตะมักจะบอกกับผมว่ามันยังมีทางอื่นอีกตั้งมากมาย แต่ผมก็ยืนยันที่จะเลือกเดินอยู่บนเส้นทางนี้
“แกนี่มันไม่ไหวจริงๆ รู้ไหมเมื่อคืนไม่เจอแกที่ห้องฉันเป็นห่วงแทบแย่ นึกว่าจะโดนตีหัวโยนทิ้งแม่น้ำซะแล้ว แถมโทรไปก็ไม่รับอีก ทำตัวยุ่งยากชะมัด”
“อะ... อ่าขอโทษด้วยละกัน”
ผมพูดเออออไปตามน้ำเพื่อที่จะให้ริโตะเลิกพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน การที่โดนถามซอกแซกเข้าบ่อยๆก็อาจจะเพิ่มโอกาสที่ทำให้ความลับแตกได้เช่นกัน
“หืม... นี่แก หน้าอกแกมันใหญ่ขึ้นหรือเปล่า”
พรวด!!!นี่ความลับตรูจะแตกตั้งแต่วันแรกเลยเร้อ!!!
แม้ส่วนตัวผมเองก็ไม่มั่นใจนักว่าผ้าที่พันไว้มันจะปกปิดหน้าอกของผมได้ทั้งหมด คือ... ต้องยอมรับว่าหน้าอกของผมตอนนี้มันใหญ่จริงๆจากที่เห็นแบบเผินๆเมื่อตอนอยู่คลินิก แต่เพราะคิดว่าคงไม่มีใครมาจ้องหน้าอกของผมแน่ๆเลยคิดว่าจะพอเนียนๆไปได้
ใครจะรู้ว่าเจ้าริโตะมันจะสังเกตเห็นตั้งแต่วันแรกแบบนี้
“อะ... เอ่อ คงเพราะฉันเล่นกล้ามล่ะมั้งกล้ามหน้าอกมันเลยเยอะขึ้นไง ฮ่าๆ”
“อ่องั้นหรอ”
จะบอกว่ามันเป็นการแถที่เลวร้ายมาก... แถมการหัวเราะสุดเสแสร้งนั่นอีก เจ้าริโตะดันเชื่อซะงั้น แต่ก็ดีแล้วล่ะ
“คุณซากุราอิ”
หลังจากที่ผมโล่งใจไปได้นิดหนึ่ง เพื่อนร่วมห้องของผมอีกคนหนึ่งก็เดินมาทักผม
“มะ... มีอะไรหรอหัวหน้าห้อง?”
โฮซึเกะ มาซาโนริ หรือที่ผมมักจะเรียกว่า ‘หัวหน้าห้อง’ ก็อย่างที่ผมเรียกนั่นแหละ หัวหน้าประจำชั้นมัธยมปลายปีหนึ่งห้องบี หรือห้องที่ผมเรียนอยู่นั่นเอง
คุณสมบัติครบถ้วน เป็นคนดี มีความรับผิดชอบสูง เอาใจใส่เพื่อนร่วมห้องเป็นอย่างดี ชอบช่วยเหลือคนอื่น คอยสอดส่องดูแลความเรียบร้อยต่างๆภายในห้องได้อย่างยอดเยี่ยมไร้ที่ติ
แต่สำหรับผมแล้ว หมอนี่ก็ตัวน่ารำคาญดีๆนี่เอง
“เปล่าหรอก เห็นคุณดูหน้าซีดๆ ผมเลยมาถามว่าคุณเป็นอะไรหรือเปล่า?”
“งะ... งั้นหรอ?”
หน้าซีดๆงั้นหรอ? หรือบางทีอาจจะเพราะความอึดอัดกับผ้าที่พันตรงหน้าอกก็ได้ ส่วนตัวผมเองก็ไม่รู้สึกแย่อะไรขนาดนั้น ถ้าจะหน้าซีดก็คงซีดนิดหน่อย แต่ก็สมแล้วที่เป็นหัวหน้าห้อง สายตาของเจ้าหมอนั่นคงจะไม่เหมือนคนปกติทั่วไป เพราะต้องคอยสอดส่องดูแลความเรียบร้อยและความเป็นอยู่ของเพื่อนร่วมชั้นอยู่เสมอ
อย่างที่ผมบอกไว้ว่าเจ้าหมอนี่มันตัวน่ารำคาญ และในสภาพของผมที่เป็นแบบนี้ ก็ยิ่งทวีความน่ารำคาญ และอาจจะถึงขั้นเป็นอุปสรรคสำคัญของผมเลยล่ะ
เพราะตามที่ผมย้ำหลายครั้งว่า หากผมยิ่งเป็นที่สนใจ ความลับของผมก็จะมีโอกาสแตกมากขึ้นเรื่อยๆ แต่อย่างหัวหน้าห้องแล้ว ต่อให้อยู่เฉยๆเจ้าหมอนี่ก็จะคอยสอดส่องดูแลคนอื่นๆตามปกติอยู่แล้ว
ดังนั้น โฮซึเกะ มาซาโนริ ก็ถือว่าเป็นตัวอันตรายอีกคนหนึ่งที่ผมต้องระวังเป็นพิเศษเช่นกัน
“ถ้าไม่ไหวคุณควรจะไปห้องพยาบาลนะครับ ไม่งั้นอาการจะแย่ลงกว่าเดิมนะ”
“อะ... อ่า ฉันไม่เป็นไร ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”
“งั้นหรอกหรอ”
หัวหน้าห้องเดินกลับไปนั่งที่แต่โดยดี โชคดีแฮะที่ไม่โดนถามอะไรไปมากกว่านี้ หรืออาจจะเป็นเพราะใกล้คาบโฮมรูมแล้วก็ได้
เพียงชั่วอึดใจเสียงกริ่งก็ดังขึ้น แต่ละคนตรงไปนั่งที่ของตนเองอย่างพร้อมเพรียงกันโดยไม่ได้นัดหมาย ประตูห้องเรียนถูกเปิดออก พร้อมกับอาจารย์ประจำชั้นของผมที่ก้าวเข้ามา
อาสึกายะ เรียวเฮย์ อาจารย์หนุ่มผมทองและชอบสวมแว่นตากันแดดอยู่ตลอดเวลา ดูไม่สมกับเป็นอาจารย์เลยสักนิด จะว่าไปก็ค่อนข้างคล้ายริโตะ ต่างกันตรงที่ผมก็ไม่รู้นักว่านิสัยของอาจารย์อาสึกายะที่แท้จริงแล้วจะดูเหมือนที่เห็นภายนอกหรือเปล่า แต่ได้ยินมาว่าเป็นทายาทของแก๊งค์มาเฟียหรืออะไรซักอย่างไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า ซึ่งถ้าจริงล่ะก็คงโหดเอาเรื่อง
และอีกเรื่องที่ผมเคยแอบได้ยินเหล่าอาจารย์คุยกัน ว่าแท้จริงอาจารย์อาสึกายะไม่ได้อยากมาสอนที่โรงเรียนชิบาซากิเท่าไหร่ เพราะอาจารย์อยากจะสอนอยู่ในโรงเรียนหญิงล้วนมากกว่าแต่ดันส่งใบสมัครผิด จะว่าไปคิดว่าน่าจะมีมูลความจริงอยู่บ้าง เพราะแต่ละครั้งที่ผมเห็นอาจารย์รู้สึกได้เลยว่าดูไม่ค่อยเต็มใจที่จะมาสอนนักเท่าไหร่
“เอาล่ะ เช็คชื่อแล้วนะ”
หลังจากที่อาจารย์อาสึกายะพูดด้วยน้ำเสียงเนือยๆเหมือนโดนบังคับให้มาพูด ชีวิตในโรงเรียนของผมในฐานะ ‘ผู้หญิง’ ก็เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ
----------------------------------------------------
การเรียนในวันนี้จบด้วยดีโดยไม่มีปัญหาใดๆ
ผมถอนหายใจยาวด้วยความรู้สึกหลายๆอย่าง แต่หลักๆเลยคือโล่งใจที่วันนี้ไม่มีปัญหาอะไร ถึงเกือบจะซวยกับเจ้าริโตะที่สังเกตเห็นหน้าอกของผมเล็กน้อยแต่ก็ยังเนียนๆไปได้ วันนี้ขอตรงกลับหอเลยดีกว่า จะได้เริ่มวางแผนการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไปแล้วของผมด้วย
อีกหนึ่งเรื่องที่ผมโชคดีคือตั้งแต่เรียน ม.ปลาย ผมก็แยกมาอาศัยอยู่ตัวคนเดียวในหอพักที่อยู่ไม่ห่างจากโรงเรียนนัก ซึ่งถ้าผมอยู่ที่บ้านล่ะก็ คนที่บ้านต้องรู้ถึงความผิดปกติของผมในสักวันแน่นอน
“ไง อิคุสะ จะกลับเลยหรอ?”
“อ่า... ใช่ วันนี้ฉันจะกลับหอเลย แล้วแกล่ะ?”
“ไปห้องสมุดน่ะ จะอ่านหนังสือนิดหน่อย”
“แกนี่ขยันจริงๆเลยนะริโตะ งั้นแล้วเจอกัน”
ผมกล่าวลาเพื่อนสนิทโดยไม่พูดอะไรให้มากความเพราะอยากจะกลับถึงหอพักให้เร็วที่สุด ผมเดินออกจากห้องเรียนแล้วตรงไปตามเส้นทางที่จะกลับหอพักทันที ระยะทางนั้นไม่ไกลมาก เดินเท้าไปได้สบายๆโดยใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมงเท่านั้น
“เฮ้ย! เจอตัวแล้ว!!”
มีเสียงตะโกนเรียกจากด้านหลัง ผมหยุดทันทีตามสัญชาตญาณแม้ไม่รู้ว่าจริงๆเสียงนั้นเรียกใครกันแน่ แต่ดูจากรอบๆแล้วมีแต่ผมคนเดียวที่เดินอยู่ตรงนี้คงจะเรียกผมนั่นแหละ ไม่รู้ทำไมผมถึงรู้สึกเสียวสันหลังวาบแปลกๆ แต่ผมหันหลังกลับไป เมื่อเห็นเจ้าของเสียงแล้ว ผมก็หน้าซีดทันที
ที่หน้าซีดไม่ใช่เพาะผ้ามันรัดหน้าอกหรืออะไรนั่นอีกแล้ว แต่เพราะที่มาของเสียงนั้นมาจากกลุ่มเด็กนักเรียนกลุ่มหนึ่ง แต่ละคนแต่งตัวไม่เรียบร้อยจนดูไม่เหมือนนักเรียน ความจริงก่อนหน้านั้นผมก็รู้สึกคุ้นเสียงพวกนั้นเหลือเกิน เหมือนเคยได้ยินจากที่ไหนมาก่อน
หนึ่งในนักเรียนกลุ่มนั้นผมเองก็คุ้นหน้าเอามากๆ ผมจำได้ว่าเคยประเคนหมัดใส่เจ้าหมอนั่นตอนที่กำลังรังแกเด็ก ม.ต้น และวันต่อมามันก็พาพวกมาล้างแค้นผม
ใช่แล้ว... เป็นเสียงของเจ้าพวกนักเลงที่วิ่งไล่กระทืบผมเมื่อวานนั่นเอง
บรร-ลัย-ล่ะ