Bloody Wrestling Online
Would you like to react to this message? Create an account in a few clicks or log in to continue.

Bloody Wrestling Online

The Number One Cyber Wrestling Online
 
บ้านPortalLatest imagesสมัครสมาชิก(Register)เข้าสู่ระบบ(Log in)

 

 Rumble School : 10

Go down 
ผู้ตั้งข้อความ
ฟ้ามืด
Superstar Grade B
Superstar Grade B
ฟ้ามืด


จำนวนข้อความ : 504
Join date : 30/04/2013
Age : 31
ที่อยู่ : μ's

Rumble School : 10 Empty
ตั้งหัวข้อเรื่อง: Rumble School : 10   Rumble School : 10 EmptySun Mar 20, 2016 1:10 am

“รอนานไหม?”

หลังเลิกเรียน ไซโต้ นางิสะ เดินออกมาจากโรงเรียนเอกชนฮิริวในชุดกระโปรงสีขาว และมุ่งตรงไปหาเท็ตซึยะ ฮายาเตะ ที่ยืนรอเธออยู่

เขาสวมเสื้อหนังและกางเกงยีนส์สีดำล้วนทั้งชุดยืนอยู่ข้างๆรถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ มาดของเขาแลดูคล้ายหนุ่มเสเพลสุดเท่ที่เห็นได้ตามการ์ตูนญี่ปุ่น

เมื่อเห็นหน้านางิสะเขาก็ยิ้มให้แล้วพูดขึ้น

“ไม่เลย เอ้านี่”

ฮายาเตะปฏิเสธตามมารยาทแล้วส่งหมวกกันน็อคแบบครึ่งใบให้กับนางิสะ

“ขอบคุณค่ะ คุณเท็ตซึยะ”

เมื่อนางิสะรับหมวกกันน็อคไปแล้ว ฮายาเตะจึงขึ้นไปขี่บนมอเตอร์ไซค์แล้วคว้าหมวกกันน็อคแบบเต็มใบที่แขวนอยู่บนแฮนด์ขึ้นมาสวม

“ฉันจะขับเร็วสักหน่อยนะ เกาะแน่นๆล่ะ”

นางิสะพยักหน้า เธอสวมหมวกกันน็อคที่รับมาแล้วขึ้นซ้อนมอเตอร์ไซค์ของฮายาเตะพร้อมเกาะเอวเขาไว้แน่น ท่ามกลางสายตาที่มองมาจากคนเดินผ่านไปมาโดยเฉพาะผู้หญิง ซึ่งคงจะมองด้วยความอิจฉาที่เห็นนางิสะได้ซ้อนมอเตอร์ไซค์หนุ่มสุดเท่อย่างฮายาเตะล่ะมั้ง

เสียงสตาร์ทเครื่องมอเตอร์ไซค์ดังขึ้น ตามด้วยเสียงเร่งเครื่องดังกระหึ่ม ก่อนที่รถจะพุ่งออกตัวไปอย่างรวดเร็ว นางิสะเกือบหงายท้องจึงกอดฮายาเตะแน่นกว่าเดิมพร้อมแนบตัวเข้ากับแผ่นหลังของเขาไว้

เป้าหมายของทั้งสองคือโรงเรียนเอกชนฟุโซ

ซึ่งก่อนหน้านั้นฮายาเตะได้อธิบายให้ฟังโดยคร่าวๆแล้วว่าเพื่อนสาวของเขานั้นเรียนอยู่ที่นั่น โดยปกติหลังเลิกเรียนเธอมักจะอยู่อ่านหนังสือที่ห้องเรียนของตัวเองสักพัก ก่อนที่จะตรงไปยังหอสมุดประจำเมือง ซึ่งเป็นสถานที่ๆฮายาเตะมักจะเจอเธอที่นั่นเวลาเขาเข้าไปอ่านหนังสือ

ฮายาเตะจึงให้ความเห็นว่าควรจะรีบไปเตือนเธอตั้งแต่เนิ่นๆ เพราะบางที มิยาโมโตะ คิซารุ อาจจะกำลังจับตาดูอยู่ก็เป็นได้

และเพราะจะต้องไปเยือนโรงเรียนเอกชนฟุโซ นางิสะจึงตัดสินใจเปลี่ยนจากชุดนักเรียนเป็นชุดลำลองอย่างที่เห็น

แม้จากคำบอกกล่าวของฮาเซกาวะ ฟูจิ ที่เคยบอกไว้ว่าโรงเรียนเอกชนฟุโซนั้นไม่ได้สนใจเรื่องการต่อสู้สักเท่าไหร่ แต่การที่ตัวเองใส่ชุดเครื่องแบบของฮิริวไปเดินโทงๆที่นั่นคงไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก เพราะไม่ว่ายังไง สองโรงเรียนนี้ก็ถือว่าเป็นคู่แข่งกัน

ไม่นานนักทั้งคู่ก็มาถึง

โดยรวมแล้วโรงเรียนเอกชนฟุโซนั้นมีองค์ประกอบคล้ายคลึงกับโรงเรียนเอกชนฮิริว เพียงแต่สภาพของอาคารเรียนต่างๆนั้นดูใหม่กว่า ซึ่งก็แน่นอนอยู่แล้วเพราะที่นี่ถูกก่อตั้งมาทีหลัง

หลังจากที่จอดรถเรียบร้อยแล้ว ฮายาเตะกับนางิสะก็ลงจากรถแล้วเดินผ่านประตูรั้วเข้าไป

ระหว่างที่ทั้งสองเดินเข้าไปภายในโรงเรียน ฮายาเตะก็เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับเอกชนฟุโซเท่าที่เขาพอรู้ให้นางิสะฟังโดยคร่าวๆเพื่อเป็นการฆ่าเวลา

โรงเรียนเอกชนฟุโซขึ้นชื่อเรื่องคุณภาพของนักเรียนที่มีแต่ระดับหัวกะทิทั้งนั้น

สาเหตุที่โรงเรียนนี้รักสงบและมีแต่เด็กเรียนนั้น ว่ากันว่าเพราะมาตรฐานคะแนนในการสอบเข้าเรียนที่นี่นั้นสูงมาก

คาดว่านั่นคงเป็นนโยบายของผู้อำนวยการโรงเรียนนี้ ที่ไม่ต้องการเห็นการทะเลาะวิวาทภายในโรงเรียน จึงจำเป็นต้องกำหนดคะแนนไว้สูงๆ เพื่อรับเฉพาะนักเรียนที่ใฝ่เรียนจริงๆเท่านั้น

แม้ว่าจะมีบางครั้งที่ปัญหาวิ่งมาชนเองอย่างเช่นในตอนนี้ก็ตาม

นางิสะและฮายาเตะเดินอยู่ท่ามกลางความเงียบสงัดภายในอาคารเรียนเนื่องจากเป็นช่วงหลังเลิกเรียน จนได้ยินเพียงแค่เสียงฝีเท้าของทั้งสองเท่านั้น ทางฮายาเตะที่เดินนำมาตลอดได้สักระยะดูชะลอฝีเท้าลงเหมือนเริ่มจะไม่มั่นใจในเส้นทางเดินของตัวเอง นางิสะเลยต้องชะลอฝีเท้าตาม จนกระทั่งทั้งคู่หยุดเดิน

“...หลงทางใช่ไหมเนี่ย?”
“อืม... จริงๆเพิ่งเคยมาที่นี่ครั้งแรกน่ะ รู้สึกจะวางแผนผิดไปหน่อย คิดว่าห้องเรียนห้องเดียวมันไม่น่าจะหายากขนาดนี้ แถมเวลาแบบนี้ก็ไม่มีใครอยู่ให้ถามทางซะด้วยสิ”

ในระหว่างที่ทั้งสองกำลังหลงทางอยู่นั้น

“นี่! เจ้าพวกมนุษย์ที่ยืนอยู่ตรงนั้นน่ะ”

เสียงเจื้อยแจ้วแต่แฝงไปด้วยความแข็งกระด้างนิดๆก็ดังขึ้นจนทั้งคู่หันไปมอง

เผยให้เห็นเด็กสาวตัวเล็กน่ารักคนหนึ่ง ค่อยๆเดินมาจากทางเดินอีกฝั่ง เธอมีผมยาวตรงสีน้ำเงินเข้มดูคล้ายตุ๊กตาญี่ปุ่น และมีดวงตากลมโตสีอเมทิสต์*ที่แฝงไปด้วยความเฉียบคม

เรียกได้ว่าเป็นรูปโฉมอันงดงามในระดับหนึ่ง

แต่คำพูดของเธอเมื่อครู่นี้นั้นมันช่าง...

ทำให้นางิสะกับฮายาเตะหันไปมองหน้ากันแล้วพูดออกมาพร้อมกันด้วยความไม่เข้าใจว่า “มนุษย์งั้นหรอ?”

“เอ่อ... แต่คุณก็เป็นมนุษย์ไม่ใช่หรอครับ?”
“นะ... นั่นสิ”
“หยาบคายยิ่งนัก! ข้ามิได้เป็นพวกเผ่าพันธุ์ต่ำต้อยเช่นนั้น นามของข้าคือ โจเซฟิน แม่มดแห่งปาฏิหาริย์ผู้ดลบันดาลทุกสิ่งอย่างได้ดั่งใจนึก”

คำพูดที่ราวกับว่าหลุดออกมาจากนิยายแฟนตาซีนั่นมันอะไรกัน?

นางิสะกับฮายาเตะเลยหันกลับไปมองหน้ากันอีกครั้ง แล้วพูดออกมาพร้อมกันอีกรอบว่า “หา?”

ซึ่งนอกจากคำพูดและท่าทางจะแปลกแล้ว หลังจากที่ลองพิจารณาดูดีๆก็พบว่าเด็กสาวตรงหน้ายังมีลักษณะการแต่งตัวที่แปลกพอกัน

เธอสวมชุดโกธิคโลลิต้าโทนสีน้ำเงินเข้ม ซึ่งดูยังไงๆก็ไม่น่าจะใช่ชุดที่คนทั่วไปจะใส่เดินไปเดินมาในโรงเรียนหรือในชีวิตประจำวัน มันเหมือนพวกชุดคอสเพลย์ที่มักเห็นคนแต่งกันตามงานการ์ตูนหรือไม่ก็ในงานเกมซะมากกว่า

แถมข้างหลังยังมีหางแมวดุ๊กดิ๊กไปมาอีกต่างหาก

“...กำลังซ้อมบทละครอะไรทำนองนั้นอยู่สินะครับ?”
“นี่เจ้าเสียมารยาทกับข้าเป็นครั้งที่สองแล้วนะ ถ้าบังอาจพูดจาสามหาวเช่นนั้นอีกล่ะก็ ข้าจะสาปให้เจ้าเป็นทาสรับใช้ของข้าชั่วกัปชั่วกัลป์”
“...ถ้างั้นก็คงกำลังถ่ายแบบแฟชั่นสินะคะ?”
“ส่วนเจ้าข้าจะสาปให้เป็นสัตว์เลี้ยงของข้าชั่วนิรันดร์”
“หา? แล้วทำไมทีฉันถึงเป็นแค่สัตว์เลี้ยงล่ะเนี่ย?”

ในระหว่างที่ฮายาเตะกับนางิสะกำลังรับมือกับบทสนทนาที่เข้าใจยากจนน่าปวดหัวอยู่นั้นเอง

“อย่าใส่ใจเลยครับ ยัยนั่นเป็นโรค ม.2**น่ะ”

เสียงของเด็กหนุ่มคนหนึ่งก็ดังขึ้นจากทางเดินอีกฝั่ง

ปรากฏเป็นนักเรียนชายในชุดยูนิฟอร์มสีเขียวของเอกชนฟุโซผู้มีผมยุ่งๆสีขาวยาวประมาณหัวไหล่

“ได้ยินเสียงเอะอะจากข้างนอก ก็นึกว่าอะไร ทำตัวเพี้ยนๆใส่คนอื่นอยู่เรื่อยเลยนะเธอเนี่ย”

เขาเกาศีรษะแกรกๆพร้อมต่อว่าเด็กสาวสุดเพี้ยน (ที่เรียกตัวเองว่าโจเซฟิน) เหมือนกับว่ารู้จักกัน

“นี่เจ้า! กล้าเหิมเกริมกับข้าขนาดนี้เชียวรึ? เจ้าทาสรับใช้ของข้า อยากถูกข้าลงโทษนักสิน- โอ้ย! ทำอะไรของรุ่นพี่เนี่ย!!”

พอโดนมะเหงกจากเด็กหนุ่มเข้าไป เด็กสาวสุดเพี้ยนก็เริ่มจะหายเมากาว

“ต้องขอโทษแทนรุ่นน้องของผมด้วยนะครับ ยัยนี่ชอบทำตัวเลียนแบบตัวละครจากอนิเมะเรื่อง Miracle Witch น่ะครับ ถึงจะออกจะเพี้ยนๆไปหน่อยแต่ก็ไม่ได้เป็นคนไม่ดีอะไรหรอก”
“มะ... ไม่เป็นไรครับ/ค่ะ”

นางิสะกับฮายาเตะยิ้มตอบแหยๆ

“จริงสิ... ผมชื่ออิโตะ ทาคุมิ ม.ปลายปีสอง”

เด็กหนุ่มแนะนำตัว

“เอ่อ... ไซโต้ นางิสะค่ะ”
“เท็ตซึยะ ฮายาเตะครับ”
“เอ้า เธอก็แนะนำตัวด้วยสิ”

ทาคุมิใช้ศอกสะกิดใส่รุ่นน้องของเขาเบาๆ

“เจ้าทาสรับใช้! เจ้ามีสิทธิ์อะไรม- โอ้ย!!”

พอเธอพูดออกไปแบบนั้นก็เลยโดนจัดมะเหงกเข้าให้อีกที

“ชะ... ชื่อ อะ... อาคากิ ซาเอะ เรียนอยู่ ม.ปลายปีหนึ่ง... ค่ะ”

เด็กสาวแนะนำตัวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาเหมือนกำลังกล้าๆกลัวๆด้วยท่าทีเหนียมอาย ต่างจากเมื่อสักครู่ราวฟ้ากับเหว

“ทีแบบนี้ทำเป็นอาย ตอนเป็นโจเซฟินอะไรนั่นพูดน้ำไหลไฟดับเชี่ยว”

ทาคุมิพูดแซว

“ผมเป็นประธานชมรมวิจัยเกมน่ะ ส่วนยัยนี่เป็นประธานชมรมวิจัยอนิเมะ พวกเราสองคนใช้ห้องชมรมร่วมกันเพราะต่างคนก็ต่างมีสมาชิกแค่คนเดียว ตอนนี้กำลังเลยหาสมาชิกชมรมเพิ่มอยู่ สนใจจะเข้ามาเยี่ยมชมก่อนไหมครับ?”
“เอ่อคือว่า...”
“ไม่ต้องเกรงใจหรอกครับ เข้ามาดูได้เลย”

ทาคุมิดึงแขนฮายาเตะให้เดินเข้าไปในห้องชมรมด้วยกัน เช่นเดียวกับนางิสะที่ถูกซาเอะดึงแขนเสื้อเบาๆแบบเกรงๆ พร้อมช้อนสายตามองขึ้นมาแล้วเบือนหน้าหนีแบบเขินๆ แม้ไม่ได้พูดอะไรแต่ก็เข้าใจได้ว่าเธอก็ต้องการให้นางิสะเข้าไปในห้องชมรมด้วยเช่นกัน พอเห็นท่าทีเขินอายแบบน่าเอ็นดูของซาเอะแล้วมันก็ทำให้นางิสะปฏิเสธไม่ลงจึงจำต้องยอมเข้าไปในห้องชมรมด้วยคน

พอเข้าไปในห้องชมรมแล้วก็แทบเหมือนหลุดไปอีกมิติหนึ่ง

ห้องขนาดประมาณยี่สิบกว่าตารางเมตรนี้ถูกแบ่งออกเป็นสองฝั่งอย่างชัดเจน

โดยฝั่งทางซ้ายนั้นอัดแน่นไปด้วยตู้กระจกวางเรียงราย และมีคอมพิวเตอร์อยู่เครื่องหนึ่งวางตั้งอยู่บนโต๊ะ

สิ่งที่อยู่ในตู้นั้นคือเครื่องเล่นวิดีโอเกมมากมายหลายยุคตั้งแต่ยุคเก่าจนถึงยุคปัจจุบัน รวมทั้งยังมีแผ่นและตลับเกมมากมายที่ถูกจัดเรียงอยู่ในนั้นเป็นอย่างดี ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในสภาพดีและน่าจะใช้งานได้ คาดคะเนโดยคร่าวๆทั้งหมดนั้นน่าจะมีมูลค่ามหาศาล

ส่วนทางฝั่งขวานั้นก็อัดแน่นไปด้วยตู้กระจกเช่นเดียวกัน

แต่ที่อยู่ข้างในนั้นเป็นฟิกเกอร์และแผ่นการ์ตูนอนิเมะจำนวนมากจัดเรียงอยู่อย่างสวยงาม ซึ่งทั้งหมดน่าจะมาจากอนิเมะเรื่อง Miracle Witch ที่ซาเอะชื่นชอบไม่ผิดแน่ นอกจากนั้นยังมีโทรทัศน์จอยักษ์ที่น่าจะเปิดอนิเมะเรื่องเดียวกับที่กล่าวไว้ข้างต้นค้างไว้อยู่

เมื่อรวมทั้งสองฝั่งด้วยกันแล้ว

ราวกับย่อส่วนอากิบะมาอยู่ในห้องนี้ไม่มีผิด

“ถึงกับตะลึงไปเลยสินะครับ ผมมีเครื่องเกมทุกประเภทตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันเลยล่ะ ไม่ว่าจะเครื่องเล่นเกมตลับฟามิคอมหรือเครื่องยุคใหม่อย่างเพลย์สเตชันโฟร์และเอ็กซ์บ็อกซ์วัน แต่จริงๆผมหนักไปทางเล่นเกมคอมพิวเตอร์มากกว่าน่ะครับ อ๊ะ แต่เครื่องเกมที่อยู่ในนั้นก็ยังเปิดเล่นได้ทุกเครื่องนะ ถ้าอยากลองเล่นก็บอกได้เลยครับ”

ทาคุมิโฆษณาชมรมวิจัยเกมของตัวเองอย่างออกรสให้กับฮายาเตะที่กำลังยืนตะลึงอยู่ ส่วนทางนางิสะนั้นเดินดูชมรมวิจัยอนิเมะของซาเอะอีกฝั่งนึงด้วยความตะลึงไม่แพ้กัน เพราะฟิกเกอร์และแผ่นอนิเมะพวกนี้ก็รวมๆกันก็น่าจะมีมูลค่าสูงพอสมควร

“เอ่อนี่... คุณไซโต้ ผมว่าน่าจะรีบบอกพวกเขาไปนะว่าพวกเราไม่ได้เรียนอยู่ที่นี่”
“นั่นสิคะ...”

เมื่อเริ่มจะเลยเถิดเข้าไปเรื่อยๆ ทั้งสองจึงปรึกษากันเบาๆ

“ชมรมของผมกับซาเอะคงจะโดนยุบในไม่ช้านี้แน่เพราะไม่มีสมาชิกคนอื่นเลย ผมดีใจจริงๆที่ได้เจอพวกคุณ เท่านี้ก็น่าจะยื้อชีวิตชมรมออกไปได้อีกหน่อย เหมือนพวกคุณกดใช้สกิล Revive กับพวกผมเลย”

แบบนี้ก็ยิ่งบอกยากเข้าไปใหญ่

นางิสะกับฮายาเตะน่าจะคิดอยู่แบบนั้น

“อะ... อ่า.... คะ... คือว่า.... หึ!! ความจริงคนอย่างข้าไม่จำเป็นต้องมีทาสรับใช้คนอื่นอีกหรอกนะ แต่ถ้าเจ้าอยากจะขายวิญญาณให้กับข้าก็แล้วแต่เจ้า”
“นี่เธอจะไล่หรือจะเรียกคนอื่นเข้าชมรมกันแน่เนี่ยหืม? ซาเอะ?”
“ขอโทษนะครับ!!!”

ในที่สุดฮายาเตะก็โพล่งขึ้นมา

“ขอโทษด้วยครับ... คือจริงๆพวกเราไม่ได้เรียนอยู่ที่นี่น่ะ เรามาหาเพื่อนที่เรียนอยู่ห้อง 1-A แต่หลงทางน่ะครับ ต้องขอโทษด้วยจริงๆ”
“...งั้นหรอครับ”

พอได้ยินดังนั้น ทาคุมิก็หุบยิ้มลง

“ถ้าห้อง 1-A ล่ะก็ออกจากห้องเดินไปอีกหน่อยก็เจอแล้วครับ”
“ขอบคุณครับ/ค่ะ”

แม้จะแสดงออกชัดเจนว่ารู้สึกผิดหวัง แต่ถึงกระนั้นเขาก็บอกจุดหมายที่ฮายาเตะกับนางิสะต้องการจะไปให้รู้ ทั้งสองจึงโค้งขอบคุณ

“ผมก็นึกว่าจะได้สมาชิกเพิ่มแล้วซะอีก ทั้งผมกับซาเอะก็พยายามจะชวนนักเรียนคนอื่นๆมาเข้าชมรม แต่ทุกคนก็ปฏิเสธกันหมด เข้ามาดูชมรมก็ยังไม่เคยเลย จะว่าไปก็น่าจะมีพวกคุณสองคนแรกนี่แหละที่ได้เข้ามาในนี้”
“หึ! อย่างข้าน่ะมีทาสรับใช้อย่างเจ้าคนเดียวก็เพียงพอแล้ว”
“จะเอาอีกทีไหม?”
“ขะ... ขอโทษด้วย... ค่ะ”
“เฮ้อ... อ๊ะ ขอโทษด้วยครับที่พูดอะไรที่ชวนหดหู่แบบนี้”

ทาคุมิหัวเราะแห้งๆ

“ไม่เป็นไรครับ งั้นพวกผมขอตัวก่อนแล้วกัน โชคดีครับ”
“ขอให้ได้สมาชิกชมรมเพิ่มนะคะ”

ทั้งฮายาเตะกับนางิสะทำได้แค่พูดอวยพรให้กับเจ้าของชมรมทั้งสอง แล้วจึงกล่าวลาก่อนเดินออกจากห้องชมรมไป

“น่าสงสารเหมือนกันนะคะ”
“นั่นสินะ แต่เอาเถอะ เราไม่มีเวลามาคิดเรื่องแบบนี้หรอก”

อย่างที่ฮายาเตะบอก ทั้งสองยังมีเรื่องสำคัญมากกว่านั้นที่ต้องจัดการ ว่าแล้วทั้งคู่ก็รีบมุ่งหน้าไปยังห้อง 1-A ทันที

----------------------------------------------------

“ห้องนี้สินะ”

ในที่สุดทั้งสองก็มาถึง

ห้องเรียนที่มีป้ายระบุไว้ว่า 1-A อย่างชัดเจนบนเหนือประตูซึ่งถูกเปิดทิ้งเอาไว้จนมองเห็นข้างในห้อง ซึ่งมีเพียงเด็กสาวในชุดยูนิฟอร์มสีเขียวคนเดียวนั่งอยู่บนโต๊ะ

เธอน่าจะเป็นคนที่ทั้งสองกำลังตามหาไม่ผิดแน่นอน

“เธออยู่นั่นไง ดีจริงๆที่ยังอยู่”

ฮายาเตะเดินนำเข้าไปก่อนโดยที่มีนางิสะเดินตามหลัง เมื่อเด็กสาวในห้องรู้สึกได้ว่ามีคนกำลังเดินเข้ามาจึงเงยหน้าขึ้น

“อ๊ะ ฮายาเตะคุง”

เธอกล่าวทักทายฮายาเตะด้วยสีหน้ายิ้มแย้มทันที

นางิสะที่เดินตามหลังมาจึงชะโงกหน้าเพื่อที่จะทักทายและแนะนำตัว แต่เมื่อเห็นหน้าของเด็กสาวที่นั่งอยู่บนโต๊ะชัดๆ เธอกลับรู้สึกคุ้นเคยแบบแปลกๆ

โครม!!!

และเสี้ยววินาทีที่นางิสะรู้สึกเช่นนั้น เธอก็ถูกจู่โจมจนกระเด็นไปกระแทกกับโต๊ะเรียนใกล้ๆจนล้มระเนระนาด

แม้สัญชาตญาณนักสู้ของเธอจะช่วยไว้ทำให้เธอสามารถป้องกันการจู่โจมนั้นได้ทัน แต่ความรุนแรงมันก็มากพอที่จะทำให้ร่างของนางิสะกระเด็นไปแบบนั้น

ซึ่งผู้ที่จู่โจมเธอนั้น ก็คือเด็กสาวที่เคยนั่งอยู่บนโต๊ะนั่นเอง

คนที่ตกใจมากที่สุดก็คงหนีไม่พ้นฮายาเตะที่ยืนแข็งทื่อยู่อย่างนั้น

“นี่เธอทำบ้าอะไรของเธอเนี่ย?”

นางิสะตะโกนถามออกไปในขณะที่พยายามจะลุกขึ้น

“จำฉันไม่ได้หรือไง? ฉันอยากจะเตะเธอให้คว่ำแบบนี้มานานแล้ว จะว่าไปก็ขอบคุณฮายาเตะคุงด้วยนะ ที่ช่วยพาเธอมาให้เตะถึงที่”

น้ำเสียงที่ไม่เข้ากับหน้าตาถูกกล่าวออกมาจากปากของเด็กสาว

“ชะ... ชิโฮะ... จัง?”

ฮายาเตะไม่เคยเห็นฮามะคาเซะ ชิโฮะ ในลักษณะนี้มาก่อน เขาซึ่งทำอะไรไม่ถูกจึงได้แต่เรียกชื่อของเธอออกมาอย่างตะกุกตะกัก

“ชิโฮะงั้นหรือ? หรือว่าเธอคือ...”
“จำได้แล้วสินะ”

เมื่อได้รู้ชื่อของเด็กสาวจากฮายาเตะ ความรู้สึกคุ้นเคยแบบแปลกๆในตอนแรกของนางิสะก็เริ่มกระจ่างชัด

เมื่อเป็นเช่นนั้นชิโฮะจึงแสยะยิ้ม

“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ ราชินีปีศาจ”

----------------------------------------------------

*อเมทิสต์ (Amethyst) : ชื่อของอัญมณีชนิดหนึ่ง มีสีม่วง

**โรค ม.2 หรือจูนิเบียว (Chūnibyō) : แม้จะเรียกว่าเป็นโรคแต่จริงๆไม่ใช่โรค โดยเป็นพฤติกรรมของบุคคลที่มักจะเกิดขึ้นในช่วง ม.ต้น ปีสอง ซึ่งถือว่าเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ คำว่าจูนิเบียวนั้นมีความหมายหลายอย่าง แต่ปัจจุบันมักจะรู้จักกันฐานะคำที่ใช้เรียกบุคคลที่มักคิดว่าตัวเองเป็นอย่างนู้นอย่างนี้ หรือมีพลังพิเศษเหมือนในเกมหรืออนิเมะที่ตนชื่นชอบ ส่วนมากพฤติกรรมเช่นนี้มักจะหายไปเองเมื่อโตขึ้น (ที่ไม่หายก็มี)

ตัวอย่างตัวละครที่มีอาการจูนิเบียว : ฮาเซกาวะ โคบาโตะ จากเรื่องชมรมคนไร้เพื่อน ผู้ที่มโนว่าตัวเองเป็นตัวละครในอนิเมะเรื่อง “เนโครแมนเซอร์เหล็กไหล” ที่ตนเองชอบดู

Rumble School : 10 Tumblr_ltiukd0pWj1qzdpb9o1_500
ขึ้นไปข้างบน Go down
 
Rumble School : 10
ขึ้นไปข้างบน 
หน้า 1 จาก 1
 Similar topics
-
» Rumble School : 11
» Rumble School : 12
» Rumble School : 1
» Rumble School : 13
» Rumble School : 2

Permissions in this forum:คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
Bloody Wrestling Online :: BWO : Special Event :: BWO Novel-
ไปที่: