Bloody Wrestling Online
Would you like to react to this message? Create an account in a few clicks or log in to continue.

Bloody Wrestling Online

The Number One Cyber Wrestling Online
 
บ้านPortalLatest imagesสมัครสมาชิก(Register)เข้าสู่ระบบ(Log in)

 

 Cataclysm: The Endless Hellfire I

Go down 
ผู้ตั้งข้อความ
Neferpitou
Moderators
Moderators
Neferpitou


จำนวนข้อความ : 552
Join date : 05/12/2012
Age : 27
ที่อยู่ : The Facility of Banned Organizer

Cataclysm: The Endless Hellfire I Empty
ตั้งหัวข้อเรื่อง: Cataclysm: The Endless Hellfire I   Cataclysm: The Endless Hellfire I EmptyFri Aug 05, 2016 4:05 am

Cataclysm: Endless Hellfire
Act I

------------

  มันก็เป็นเวลาช่วงบ่ายแล้วกับวันเดิมๆ แห่งสตอร์มโฮล์มแต่ความคิดในหัวของโครนอสมันก็ยังติดอยู่ในนั้น ความเป็นกังวลว่าชาวเมืองที่เริงร่า ทำมาหากินกันอย่างมีความสุขในราชอาณาจักรของตนถูกเพลิงแห่งโลกันต์ชะล้างวิญญาณถึงแก่ความตาย สภาพจิตใจของราชาผู้นี้ดูไม่เป็นสุขตั้งแต่เมื่อเช้าตรู่แล้ว จนถึงบัดนี้เขาก็ยังไม่รับประทานอะไรเลย แม้แต่เหล่าขุนนางข้ารับใช้ยังเป็นวิตกด้วยกับการกระทำของนายตน เขาดูลุกลี้ลุกลนจนแทบจะไม่นั่งอยู่บนบัลลังก์เลย ณ ตอนนี้เจ้าของปราสาทท่านนี้กำลังเดินวนไปตามสิ่งปลูกสร้างที่ตนพักอาศัยโดยมีเซรดริกคอยตามหลังอยู่ แน่นอนว่าข้ารับใช้ผู้นี้ย่อมรู้ถึงสิ่งที่ค้างคาในใจของฝ่าบาทเนื่องเพราะตนก็ได้รับรู้มัน แต่ในครั้งนี้มันต่างไปจากครั้งก่อนๆ เขาไม่เคยเห็นราชารู้สึกกังวลถึงขั้นนี้ ปกติแล้วสำหรับราชาแห่งสตอร์มโฮล์มผู้นี้นั้น เขาจะออกไปเดินตามสวนวังเพื่อระบายสิ่งที่มีอยู่ในใจ ว่ากันว่าสวนหลวงแห่งนี้น่าจะเป็นสวนที่งดงามที่สุดในดินแดนเอสซิโอนิคเลยก็ว่าได้

“จะว่าไป... เจ้าเห็นโบลท์บ้างหรือเปล่า?” ราชาเอ่ยถามขึ้นมา
“เอ่อ...” เซรดริกลากเสียงยาวอย่างกังวล “เกรงว่าจะไม่ขอรับ”
“แล้วเขาไปไหนกัน?”
“เท่าที่กระผมทราบ... คงไปฝึกซ้อมในเขตแดนไลท์ไมล์น่ะขอรับ”
“อีกแล้วงั้นหรอ?” ราชาเปล่งวาจาเหมือนเป็นการถาม แต่ถ้าพูดให้ถูก เขาคงถามมันกับตัวเองเสียมากกว่า

  สำหรับราชานั้น การปกครองดินแดนด้วยตัวคนเดียวนั่นเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยด้วยซ้ำจึงจำเป็นต้องมีขุนนางคอยรับใช้เสมอ ตัวราชานั้นจะมีผู้ที่ไว้ใจที่สุดเป็นมือซ้ายและขวา โดยตัวของเซรดริกนั้นจะจัดการดูแลเรื่องพระราชวังและข่าวสารที่ได้รับมาจากแหล่งข่อมูลต่างๆ ดูแล้วคงคล้ายคลึงว่าจะเป็นมือขวาของโครนอสมากที่สุด โดยมากนั้นเซรดริกจะทำหน้าที่ในปราสาทและคอยติดตามองค์ราชาอยู่ตลอด จึงเหมือนเป็นทั้งสมองที่สองและผู้ช่วยในเวลาเดียวกัน ส่วนสำหรับชายอีกคนที่พูดถึงไปเมื่อครู่ นามที่แท้จริงของเขาคือโบลทาห์ เฮเมอร์สันแต่ทั่วทั้งราชอาณาจักรต่างพากันเรียกเขาว่า “สายฟ้าสีทองแห่งซินโดร่า” ส่วนคนที่รู้จักกันดีจะเรียกว่า “โบลท์” เขาคือหนึ่งในอีกคนที่ได้รับความไว้วางใจจากโครนอสมากที่สุด คงราวๆ เดียวกับเซรดริกเห็นจะได้ สำหรับโบล์ทนั้นมีหน้าที่หลักในการคุมกองพลระดับสูงและทำงานที่เน้นไปทางเรื่องกำลัง มักจะเป็นประเภทการต่อสู้และรักษาความสงบในทั่วหล้าเอสซิโอนิค ว่ากันว่าเขาคือผู้ที่เร็วที่สุดในดินแดนนี้ สามารถวิ่งจากต้นทางแห่งเวสเทิร์น ไลท์ไมล์จนถึงอิสเทิร์นได้ในไม่กี่อึดใจ แต่ด้วยนิสัยที่ดื้อรั้นและหวังที่จะแข็งแกร่งขึ้นตลอด จึงยากที่จะเห็นชายผู้นี้ในปราสาท

  ด้วยเพราะมีเซรดริกที่เป็นสมอง มีโบลท์เป็นดั่งอาวุธตามดั่งใจและใต้ฟ้าแห่งอำนาจของโครนอสจึงทำให้ดินแดนแห่งนี้ถูกปกครองด้วยความมั่นคง สามบุคคลเหล่านี้ของแกนหลักสำคัญในการต่อกรกับเหล่าหมอผีปีศาจในปัจจุบัน ซึ่งในทุกวันนี้เหล่าหมอผีต่างออกมาเพ่นพ่านกันมากกว่าเดิมจากปกติ โดยอันที่จริงแล้วหลังจากสงครามเมื่อครั้งก่อนนั้นเหล่าหมอผีแทบจะเรียกได้เลยว่า “สูญพันธุ์” เสียด้วยซ้ำ เนื่องจากมีไซอาลอทเป็นแกนกลางของแหล่งพลังแห่งบาป เมื่อเหล่าหมอผีและมารร้ายไร้ซึ่งพลังนั้น ร่างชีวิตก็จะค่อนๆ สูบผอมเหลือเพียงแค่ร่างไร้วิญญาณ อีกทั้งยังสืบเนื่องมาจากที่ผู้ใช้พลังบาปจะมีปราณแตกซ่านอยู่ตลอด หากไม่ได้รับพลังอย่างสม่ำเสมอก็สามารถเสียชีวิตได้ง่ายดาย จึงเป็นหนึ่งในอีกเหตุผลที่ไม่ค่อยมีใครกล้าที่จะเรียนรู้พลังเหล่านี้เว้นเสียแต่ผู้ใช้พลังปราณจะบ้าจริงๆ

  จากการที่มีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น ทั้งหมอผีและดาบที่เปร่งประกายเหมือนส่งสัญญาณคำเตือนอยู่ตลอดจึงทำให้ราชาผู้นี้ไม่ได้หลับได้นอนหรือแม้กระทั่งกินมาได้พักหนึ่งแล้ว การที่สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นพร้อมๆ กันได้มันย่อมไม่ใช่เรื่องบัญเอิญอย่างแน่นอน แต่ใครกันล่ะที่จะเป็นคนที่ทำเรื่องแบบนี้ได้ มันไม่น่าจะใช่คนธรรมดาแหง แต่ว่าใครเป็นคนทำแบบนั้น ใครที่จะสามารถควบคุมพลังบาปที่มีระดับทัดเทียมกับมารเพลิงแห่งความตายได้ล่ะ คำถามเหล่านี้ผุดขึ้นในอยู่ในหัวขององค์ราชาอย่างไม่ขาดสาย ไม่นานนักเขาก็เดินไปตามทางเดินโล่งในปราสาทก่อนที่จะออกไปยังประตูใหญ่ของปราสาทเหมือนเขาจะเตรียมตัวไปสถานที่แห่งใดแห่งหนึ่ง เซรดริกยังคงเดินตามไปเรื่อยๆ ก่อนที่พวกเขาจะมุ่งตรงไปยังโรงม้าที่อยู่หลังปราสาทใกล้กับสวนวังแห่งสตอร์มโฮล์ม วันนี้ ณ ดินแดนแห่งสตอร์มโฮล์มแดดค่อนข้างแรงพอควร เมื่อพวกเขาเดินไปถึงโรงม้า อยู่ภายใต้หลังคาที่กำบังแสงอันร้อนระอุ พวกเขาสัมผัสถึงลมเย็นๆ เบาที่พัดเข้ามาในโรงม้า ทำให้คลายอากาศร้อนไปได้ในระดับหนึ่ง

“จะออกไปข้างนอกหรือขอรับ?” ข้ารับใช้เอ่ยถามต่อพระเจ้าแผ่นดิน
“ใช่” องค์ราชาตอบ “ข้ามีเรื่องที่ต้องคุยกับชายคนหนึ่งเสียหน่อย”
“ชายที่ว่านี่คือ....”
“เขามีความรู้เรื่องศาสตร์มืดน่ะ ข้าอยากจะคุยกับเขาเรื่องดาบเล่มนี้หน่อย”

  สิ้นวาจาจากองค์ราชา เขาก็ขึ้นขี่ม้าตัวโปรดของเขาทันใด มันเป็นม้าที่ดูสง่า มีขนสีขาวแลดูสะอาดอีกทั้งยังสวมใส่ผ้าคลุมและเครื่องยศบ่งบอกว่าเป็นอาชาแห่งสตอร์ม ครูเซเดอร์ เมื่อโครนอสสะบัดเชือกที่ผูกไว้กับม้าตัวนั้นลง มันก็เริ่มออกวิ่งทันที ประตูใหญ่ของปราสามถูกออกเปิดให้ราชาเสด็จโดยข้ารับใช้ที่ดูแลในส่วนนั้น เนื่องด้วยเมืองสตอร์มโฮล์มเป็นเมืองที่ใหญ่ การขี่ม้าในเมืองจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร โครนอสขี้ม้าไปได้สักพักจึงชะลอความเร็วลงเพราะเข้ามาอยู่ในย่านที่ผู้คนสัญจรแล้ว ภายในเมืองมีเหล่าชาวบ้านผู้อยู่อาศัยเดินตามทางอย่างคับคั่ง บ้างก็ออกไปจ่ายตลาด บ้างก็ไปสังสรรค์กับหมู่คณะหรือจะเป็นเด็กๆ ที่พากันวิ่งเล่นไปมา ตามทางที่เขาสัญจรไปเมื่อชาวเมืองเห็นผู้อยู่บนหลังม้าตัวนั้นก็ต่างแสดงความเคารพและกล่าวทักทายฝ่าบาทผู้นี้ โครนอสตอบรับคำทักทายบ้างไปตามทาง จนพอผ่านไปได้สักพักราชาผู้นี้ก็มาถึงสถานที่ๆ เขาต้องการ มันเป็นอาคารขนาดใหญ่มีลักษณะออกแบบเป็นรูปลักษณ์เหมือนกับโบสถ์ เขาจอดม้าไว้ตามทาง ผูกเชือกไว้เพื่อไม่ให้มันหนีไปก่อนที่จะเดินเข้าไปยังตัวอาคาร

  สมเด็จโครนอสเสด็จมาเยือนยังที่แห่งนี้ เขาเปิดประตูออกซึ่งภายในเป็นสถานที่ๆ รวมผู้คนที่แสวงหาความรู้ต่างๆ จากทั่วสารทิศ มันมีหนังสือจัดเรียงอยู่บนชั้นวางหนังสือที่ยาวสุดลูกหูลูกตา สถานที่แห่งนี้ถูกเรียนว่า “หอสมุดจักรวาลแห่งสตอร์มโฮล์ม” เขาเดินเข้าไปโดยได้รับการต้อนรับจากเหล่าผู้คนที่มาหาความรู้ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเด็กหรือผู้เฒ่าชรา โครนอสเดินยังไปจุดๆ หนึ่งซึ่งดูเหมือนจะเป็นจุดประชาสัมพันธ์หรือที่ทำงานหลักของเหล่าบรรณารักษ์ทั้งหลายในห้องสมุดนี้

“ขอต้อนรับสู่หอสมุดแห่งสตอร์มโฮล์มขอรับฝ่าบาท” บรรณารักษ์คนหนึ่งกล่าวต้อนรับ “มีอะไรให้กับผมรับใช้หรือขอรับ?” เขาถามต่อ
“เจ้าพอจะเห็นลูเซียสบ้างหรือเปล่า?” องค์ราชาเอ่ยถาม

บรรณารักษ์ผู้คนนั้นเหมือนจะหันไปมองด้านอื่นเหมือนหาตัวของผู้ที่ราชาต้องการ

“ถ้ากระผมจำไม่ผิด... ตอนนี้เขาคงจัดหนังสืออยู่ในหมวดความรู้พลังธาตุน่ะขอรับ”
“ขอบใจมาก”

  เมื่อนั้นราชาจึงถอยฉากออกไปจากจุดประชาสัมพันธ์ก่อนจะเดินไปตามทางหอสมุด มันเป็นสถานที่ๆ ใหญ่พอสมควรถึงจะไม่เท่ากับพระราชวังก็ตามที แต่มันก็ใหญ่พอที่จะทำให้การหาตัวชายคนนึงเป็นไปได้ยากหน่อย ภายในหอสมุดนี้มีหมวดหนังสือที่ถูกจัดอยู่หลายหมวดด้วยกัน โดยหมวดที่สำคัญๆ จะเป็นเรื่องเล่าจากอดีตกาล ความรู้จักรวาล นิยายที่ประพันธ์โดยนักปราชญ์หรือจะเป็นความรู้เรื่องพลังธาตุซึ่งเป็นดั่งความรู้ที่สำคัญที่สุดของการใช้ชีวิตในดวงดาวโพรโตเนี่ยนแห่งนี้ เขาเดินไปสักพักก่อนที่จะพบกลุ่มหมวดนั้นซึ่งมีผู้คนอยู่กันเยอะที่สุด ในหมวดความรู้พลังธาตุนั้นผู้อ่านจะถือว่าเป็นกลุ่มใหญ่มากที่สุดเพราะไม่ว่าใครก็ตามก็ต่างสนใจเรื่องนี้กันหมด สืบเนื่องเพราะพลังธาตุในปัจจุบันสำคัญต่อการใช้ชีวิตของมนุษย์ทั้งหลาย อีกทั้งยังสามารถใช้ในการต่อสู้ประลองหรือทำงานราชการได้ เพราะงั้นการที่จะเห็นเด็กหรือแม้กระทั่งโจรผู้ร้ายมาอ่านในหมวดนี้จะไม่ใช่เรื่องแปลกเลย โครนอสมุ่งตรงไปก่อนที่จะเห็นชายคนหนึ่งในชุดพนักงานบรรณารักษ์ เขาเป็นเด็กหนุ่มผมสีดำ อายุราวๆ น่าจะยังวัยรุ่นอยู่ สวมแว่นดูเหมือนพวกติ่มๆ ที่รักการอ่านการเรียน เหมือนว่าชายคนนั้นกำลังอ่านหนังสือเล่มหนึ่งอยู่อย่างเพลิดเพลินราวกับอยู่ในโลกส่วนตัวของตัวเองไปเลย

  โครนอสเดินไปหาชายคนนั้น แลดูเขาจะยังคงตกอยู่ในโลกแห่งหนังสืออยู่ก่อนที่จะทักทายกับชายนามลูเซียสผู้นั้น แต่แล้วชายผู้นั้นก็หันกลับมาเสียก่อน และแสดงความตกใจที่เห็นฝ่าบาทอยู่ต่อหน้าเขา เหมือนกับว่าตัวเองกำลังคิดว่าจะโดนอะไรอยู่ถ้ารู้ว่ากำลังอู้งานไม่ยอมจัดหนังสือแต่กลับมาอ่านแทน

“ขออภัยขอรับฝ่าบาท” ชายผมดำผู้สวมแว่นตาตอบ “ผมไม่รู้ขอรับว่าคุณมาที่นี่”
“ไม่เป็นไรหรอกลูเซียส” ราชาตอบกลับ “ไม่ยักกะรู้ว่าเจ้าสนใจพลังธาตุด้วย”
“นิดหน่อยน่ะขอรับ.. คือผมอยากจะรู้ว่าคนอื่นเขารู้สึกยังไงเวลาใช้พลังตามธรรมชาติ” ลูเซียสพูดพลางไปพร้อมกับมองที่ชาวเมืองที่เข้ามาใช้บริการ
“ต่างจากผม...” เขาพูดต่อแล้วมองที่ไปมือของตัวเอง “ที่มันประหลาด ขยะแขยง”

โครนอสเอามือวางบนไหล่ของลูเซียสก่อนจะพูด

“ข้าอยากให้เจ้ามองว่าพลังเจ้าคือของพิเศษ” โครนอสกล่าว “ทุกอย่างล้วนแล้วขึ้นอยู่กับว่าเจ้าจะใช้มันยังไงเสียมากกว่า”
“มันล้วนแต่มีบุญบาปคุณโทษกันทั้งนั้นล่ะ แต่เจ้า... อย่าลืมว่าชื่อเจ้าสื่อถึงอะไร”
“แสงสว่าง...” เขาตอบ

“แต่เรื่องนั้นเอาไว้ก่อนเหอะ” โครนอสแทรกขึ้น
“ข้ามีเรื่องให้เจ้าช่วยหน่อย ลูเซียส”
“เรื่องอันใดหรือขอรับ” ลูเซียสถาม
“เรื่องเดิมนั่นล่ะ” ราชาพูดเหมือนว่าลูเซียสจะรู้ว่าเขากำลังพูดถึงอะไรอยู่
“งั้นตามผมมาขอรับ”

  หลังจากคำพูดนั้นลูเซียสก็เดินนำทางองค์ราชาไปยังมุมสุดของหอสมุด มันเป็นจุดที่ไม่มีใครไปนั่งอ่านหนังสือหรืออะไรเลย แถมบรรยากาศโดยรอบดูเหมือนว่าจะเป็นสถานที่เก็บของเก่าเสียมากกว่า ลูเซียสดันที่วางหนังสือตัวหนึ่งซึ่งข้างหลังของมันก็มีห้องลับอยู่ พวกเขาเดินเข้าไปในนั้น มันเป็นห้องมืดห้องหนึ่งก่อนที่ลูเซียสจะเปิดไฟ ภายในนั้นมีพวกข้าวของที่ใช้ในการทดลองทั้งงานด้านวิทยาศาสตร์หรืองานพลังธาตุ รวมไปถึงหนังสือเก่าๆ ในห้องนั้นด้วย ซึ่งดูแล้วมันเหมือนกับห้องที่มีความรู้เก่าแก่และของต้องห้าม ที่กลางห้องมีโต๊ะขนาดใหญ่ เหมือนจะเอาไว้สำหรับทำการทดลองงานหรือสร้างอาวุธได้

“มันส่องแสงกี่ครั้งหรอครับ” ลูเซียสเอ่ยถาม
“วันนี้ก็ห้าครั้งเห็นจะได้แล้ว” โครนอสพูด “ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง...”
“เยอะที่่สุดเท่าที่มีมาสินะขอรับ” ลูเซียสตอบกลับแล้วเดินไปหยิบถุงมือ “งั้นขอเชิญท่านวางดาบลงบนโต๊ะด้วยขอรับ”

  ทันทีที่โครนอสได้ยินแบบนั้นเขาก็หยิบดาบออกมา ถอดปลอกมันออกแล้ววางลงไปบนโต๊ะ ลูเซียสใช้มือลูบไปตามคมดาบก่อนที่จะร่ายมนต์ ซึ่งทั้งตัวดาบเล่มนั้นและตัวของบรรณารักษ์ผมดำผู้นี้เปล่งวาจาแห่งศาสตร์มืดพร้อมเพรียงกัน เป็นคำพูดเดียวกันทุกประการ ผู้เป็นเจ้าของดาบเล่มนั้นก็จ้องมองมันด้วยสีหน้าที่แลดูจริงจัง ไม่นานนักก็มีปราณสีแดงค่อนๆ เอ่อล้นออกมาจากดาบ แต่มันหาใช่สีแดงที่น่าดูเท่าไหร่นัก มันเหมือนกับเป็นเลือดแต่แสดงออกมาถึงไอร้อนที่สามารถละลายร่างของใครก็ตามที่สัมผัสมันได้ ไม่นานนักก็มีปราณ ไม่สิ! เมือกสีดำที่แลดูเป็นของที่ไร้สัจธรรมไหลออกมาจากมือของลูเซียส มันหยดลงบนพื้นผิวของดาบก่อนที่จะค่อยๆ ระเหยหายไปราวกับน้ำเมื่อกระทบกับของที่ร้อนจัด แล้วทันใดนั้นชายสวมแว่นก็กระชากมือตนขึ้น นั่นทำให้ดาบเล่มนั้นลอยขึ้นไปจากโต๊ะด้วยเช่นกัน จากนั้นเมือกสีดำก็เริ่มพุ่งกระโจนใส่ดาบเล่มนั้นราวกับว่าจะกลืนกินมันจนในที่สุดพลังสีดำของเขาก็ปกคลุมไปทั่วทั้งดาบ

  ลูเซียสกำมือทั้งสองข้างของเขาและเมือกนั้นก็เหมือนจะทำงานภายใต้การควบคุมของชายสวมแว่น มันบีบรัดดาบเล่มนั้นอย่างแรง การกระทำนั้นทำให้ดาบของราชาครางครวญขึ้นอย่างทรมาณราวกับวิญญาณของผู้ที่ไม่ได้ไปผุดไปเกิดสิงสถิตในดาบเล่มนั้นร้องด้วยความเจ็บปวดเจียนตาย ร่างกายของผู้คุมเมือกดำเริ่มสั่นช้าๆ เหมือนกับว่ากำลังสู้กับพลังของดาบเล่มนั้น เขาเริ่มทรุดลงและทางด้านของราชาเองก็เห็นทีว่าเริ่มจะไม่เข้าท่าเสียแล้ว ทันใดนั้นก็มีออร่าสีแดงฉานไหลออกมาจากเมือกนั้นแล้วเหมือนกับจะรวมตัวเข้ากับเมือกด้วยกัน เมื่อสสารทั้งสองนั้นรวมกลายเป็นหนึ่งแล้วมันก็พุ่งเข้าไปหาผู้ที่พยายามจะควบคุมมันทันที มันเกาะร่างของลูเซียสซึ่งชายผู้นั้นก็ร้องด้วยความเจ็บปวด สสารเหล่านั้นทำให้ผิวหนังของลูเซียสเริ่มไหม้ ทันใดนั้นเองราชาก็หยิบหนังสือศาสตร์เล่มหนึ่งออกมาพร้อมกับมีดสั้น เขาร่ายมนต์จนมีดมีออร่าสีฟ้าสว่างไสว โครนอสใช้มีดเล่มนั้นตัดเมือกที่เกาะร่างของลูเซียสจนขาดแล้วท่องมนต์สร้างบาเรียแสงคุ้มกัน โครนอสกระชากมือไปจับดาบที่เมือกคลุมอยู่แล้วร่างเวทย์อีกครั้งจนเมือกสีดำและออร่าสีแดงนั้นค่อยๆ สลายไป

  ราชาก้มลงไปดูอาการของลูเซียสซึ่งดูไม่ค่อยสู้ดีนัก จับดูบาดแผลก่อนที่จะร่างคาถาให้แผลกลายเป็นแผลสดเนื่องเพราะยังมีเมือกดำกัดกินมันอยู่ ลูเซียสค่อยๆ ได้สติก่อนที่ราชาจะพยุงตัวขึ้นมา ชายผมดำใช้มือค้ำโต๊ะเอาไว้เพื่อพยุงตัวเองให้สามารถยืนขึ้นได้โครนอสไปลากเก้าอี้มาแล้วให้ลูเซียสนั่งลงไป ก่อนจะรับแก้วน้ำที่มีน้ำเกือบเต็มแก้วจากฝ่าบาท เขาขอบคุณก่อนที่จะดื่มมัน ถอนหายใจออกมาก่อนที่จะหันไปมองโครนอส ซึ่งโครนอสก็มองดูเหมือนกับว่าโอเครึเปล่า

“เจ้าเป็นไงบ้าง?” ราชาถาม
“ค่อยยังชั่วแล้วขอรับ” เขาตอบ
“เจ้าแน่ใจนะ?”
“คะ...ครับ” ลูเซียสตอบด้วยเสียงสั่นๆ

  ลูเซียสเหมือนจะสั่นๆ ก่อนจะสามารถลุกขึ้นมายืนได้ เขามองไปหาโครนอสที่กำลังเก็บดาบเล่มนั้นเข้าฝัก ชายสวมแว่นมองที่ดาบเล่มนั้นไปสักพักก่อนจะเริ่มพูดขึ้นมา

“กระผมเห็นนะ” เขาพูดขึ้น
“เห็นอะไรงั้นหรือ?” โครนอสตอบกลับโดยที่เก็บดาบเข้าฝักอยู่
“พลังน่ะขอรับ... แต่มันไม่เหมือนครั้งก่อนๆ” ลูเซียสตอบ “มันแรงกล้ากว่าทุกครั้งมาก... แล้วๆ... มันก็...”
“ใจเย็นๆ” โครนอสกล่าว “ค่อยๆ เล่า”
“มันมองมาที่ผมขอรับ”
“มองมาที่เจ้า...?” โครนอสพูดขึ้นด้วยความสงสัย

“มันเป็นมารตนนึง ผมไม่เคยเห็นหน้าเขาหรอก... ชายร่างเพลิงมองมาที่ผมด้วยสีหน้าที่โกรธแค้น” ลูเซียสเล่า
“สายตานั่นเหมือนกับจะดูดผมลงไปสู่มิติแห่งความตาย แล้วผมก็ควบคุมพลังตัวเองไม่ได้เลย” เขาเสริมขึ้น
“งั้นหรอ...” ราชากล่าว
“ท่านรู้ว่ามันคือตัวอะไรหรือขอรับ?” ลูเซียสถาม

โครนอสเดินไปที่ประตูห้องแล้วก็หันกลับมาหลังจากที่ได้ยินคำถามนั้น

“ไซอาลอท ไฟร์วอคเกอร์” เขาตอบ
“เขาคือใครหรอครับท่าน?”
“ข้า.... ไม่อยากให้เจ้ารู้เสียเท่าไหร่” ราชาตอบกลับไป “ข้าจะไม่บอกเจ้าว่าเขาเป็นใคร แต่ข้าก็จะไม่ห้ามเจ้าถ้าเจ้าอยากรู้”
“ยังไงก็ขอบคุณสำหรับวันนี้มากนะลูเซียส... มันทำให้ข้ามั่นใจแล้วว่าเรากำลังจะเจอกับปัญหาใหญ่”

  แล้วทันใดนั้นโครนอสก็เปิดประตูห้องนั้นแล้วเดินจากไป ลูเซียสยืนมองแผ่นหลังของราชาแห่งสตอร์มโฮล์มด้วยความคิดที่มีอยู่ในใจ ก่อนที่จะลุกขึ้นมาแล้วปิดห้องเก่านั้น ณ ตอนนี้โครนอสก็เดินออกมาจากหอสมุดตรงไปยังม้าของเขาแต่แล้วก็มีเสียงฝีเท้าวิ่งเข้ามาหาเขาและชายคนนั้นก็คือบรรณารักษ์คนเดิม เขาหายใจแฮกๆ ด้วยความเหนื่อยก่อนที่จะหันขึ้นไปมองราชาที่มองดูเขาอยู่

“ได้โปรดบอกกระผมเกี่ยวกับตัวเขาด้วยขอรับ!” ลูเซียสตะโกนขอร้องต่อราชา

โครนอสมองด้วยอาการที่สงสัยก่อนที่จะกล่าว

“ตามข้ามาสิ..” โครนอสกล่าว “ไปยังพระราชวังของข้า”

------------

  ณ ดินแดนแห่งโคลริม สถานที่ๆ ขึ้นชื่อว่าลึกลับที่สุดในทวีปเอสซิโอนิค ว่ากันว่าดินแดนแห่งนี้นั้นไม่ได้ถูกสร้างขึ้นด้วยน้ำมือของมนุษย์ มันถูกอาศัยด้วยสิ่งมีชีวิตอื่นอะไรสักอย่างจนสร้างอารยธรรมมาจนให้ประจักษ์ถึงทุกวันนี้ แต่เรื่องเหล่านั้นบางคนก็มองว่าเป็นเรื่องเหลวไหล แต่ถึงจะว่ายังงั้นแต่สิ่งปลูกสร้างบางอย่างมันก็ดูแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเป็นฝีมือของมนุษย์อย่างเราๆ สิ่งก่อสร้างที่ดูใหญ่โตผิดปกติ หินแร่ที่ดูแปลกไปจากปกติและไม่สามารถค้นพบได้นอกจากที่แห่งนี้ เหล่านักผจญภัยหลายๆ คนจะศึกษาความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์แห่งโพรโตเนี่ยนจากดินแดนแห่งนี้ เดิมทีนั้นดินแดนนี้มันมีชื่อว่า “เอ็คทาห์” แต่ว่าสถานที่แห่งนี้เป็นที่ก่อตั้งของกองทัพแห่งโคลริมตั้งแต่สมัยสงครามระหว่างมนุษย์และมารเพลิงไซอาลอทเมื่อนานมาแล้ว เนื่องเพราะศพของโคลริมถูกฝังอยู่ที่แห่งนี้ จึงสถาปณานามใหม่ว่า “โคล' ริม” ว่ากันว่าโคลริมสามารถอ่านตัวหนังสือที่จารึกอยู่บนสิ่งปลูกสร้างพวกนั้นได้และไขถึงความลับแห่งพลังธาตุ แต่ด้วยความที่เขากังวลว่าหากบอกใครไปจะกลายเป็นภัยมหันต์แทนที่จะเป็นบุญ เขาจึงไม่เคยบอกใครนอกเสียจากบุคคลคนหนึ่ง ผู้ที่เป็นดั่งมือขวาของเขา มีพลังทัดเทียมกับเขา แต่ไม่สามารถทราบได้ว่าเขาคนนั้นคือใครหรือไปไหนแล้ว

  สภาพอากาศของที่นี่มักจะมีกลุ่มพายุทรายปกคลุมอยู่บ่อยครั้ง เป็นเขตแดนที่แห้งแล้งไม่เหมาะในการเพาะปลูก คนส่วนมากในทวีปเอสซิโอนิคจะไม่ค่อยอาศัยในดินแดนแห่งนี้สักเท่าไหร่ เว้นแต่พวกชนพื้นเมืองเก่าแก่เท่านั้นที่สามารถปรับตัวและทนสภาพของการอยู่ในพื้นที่แห้งแล้งได้ คนเหล่านั้นบางส่วนก็สามารถอ่านศิราจารึกออกแต่ไม่สามารถสื่อสารกับมนุษย์ได้เนื่องเพราะใช้คนละภาษา แต่ยังดีที่นั่นเป็นส่วนน้อยเท่านั้น สำหรับคนที่นี่นั้นจะรับประทานแต่เหล่าพืชผักชนิดพิเศษ พืชชนิดนี้จะสามารถปลูกในใต้ดินได้ รับเพียงแสงอาทิตย์และน้ำอันน้อยนิดก็สามารถเติบโตได้ โดยปกติแล้วพืชนี้จะใช้เวลาเติบโตในไม่กี่สัปดาห์และผลผลิตออกมาเยอะ จึงทำให้พวกเขาสามารถอยู่ได้

  ณ ตอนนี้มีรถม้าคันหนึ่งกำลังแล่นอยู่ใจกลางทะเลทรายในดินแดนโคลริม ผู้โดยสารในนั้นเหมือนผู้เดินทางแสวงความรู้ คนหนึ่งเป็นหนุ่มรูปงามผมสีทอง เหมือนว่าเขาจะเหนื่อยกับการเดินทางหรือว่าเบื่อถึงได้ทำให้เขานอนโดยที่มีหนังสือที่ดูเหมือนหนังสือเก่าบังหน้าเอาไว้ ส่วนอีกคนเป็นคนอายุราวๆ เดียวกัน มีผมสีน้ำตาล เขาดูเป็นหนุ่มที่ไม่ค่อยใฝ่หาความรู้เท่าเพื่อนของเขาเหมือนว่าจะรักในการเที่ยวหรือเปิดหูเปิดตามากกว่า ในตอนนี้เขามองไปรอบๆ รถม้าของตัวเอง ตกตะลึงไปกับบรรยากาศที่เห็น พอผ่านไปสักพักรถม้าก็หยุดที่หน้าสถาปัตยกรรมชนิดหนึ่ง มันเป็นสิ่งปลูกสร้างที่แลดูต่างจากที่เห็นกันปกติหรือในเมืองหลวงสตอร์มโฮล์ม มันเหมือนกับอุโมงค์ขนาดใหญ่ที่นำพาไปสู่ใต้ดินแห่งดินแดน โคล' ริม ขนาดของอุโมงค์นั้นสูงพอๆ กับปราสาทแห่งสตอร์มโฮล์ม ทันใดนั้นคนขับรถม้าก็ลงมาจากตัวม้า เปิดประตูรถให้ผู้โดยสารออกเหยียบย่ำผืนทรายแห่งดินแดนนี้

“เนลเรี่ยน... เรามาถึงแล้ว” ชายผมสีดำปลุกเพื่อนของเขา
“ถะ... ถึงแล้วหรอ?” เนลเรี่ยนค่อยๆ สลึมสลือขึ้นมาพร้อมกับเสียงสั่นๆ

พวกเขาลงมาจากรถม้าก่อนที่จะหันไปหาคนขับ

“พวกเราจะกลับมาในอีกสักชั่วโมง อย่าไปไหนล่ะ” ชายผมสีน้ำตาลกล่าว
“ขอรับ” คนขับตอบ

  พวกเขาทั้งสองลงไปยังอุโมงค์นั่น มันมีบันไดที่ดูยาวลงไปเกือบร้อยขั้นเห็นจะได้ ข้างในมันแลดูมืดอยู่พอควรก่อนที่พวกเขาจะเดินลงไป แสงจากนอกอุโมงค์ค่อยๆ มืดลงจาการที่ทั้งสองเดินเข้าไปสู่ความมืดที่ละเล็กน้อย ดูเหมือนจะไม่มีทีท่าว่าบันไดจะหมดลงไปง่ายๆ ด้วย รอบข้างหาได้มีเสียงใดๆ นอกจากเสียงฝีก้าวของทั้งสองเท่านั้นบวกกับเสียงลมหายใจที่สามารถได้ยินได้เบาๆ ผ่านไปได้สักพักทางด้านชายผมน้ำตาลก็จุดไฟจากหัตถ์แห่งเพลิงของตน เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นผู้ใช้พลังธาตุเพลิง และแล้วพวกเขาเดินครบขั้นบันได มันเป็นทางแยกสองทางด้านซ้ายและขวาโดยที่ตรงกลางมีกำแพงสูงชันที่สลักรูปนักรบเก่าแก่ ผู้มาเยือนทั้งสองจ้องมองมันได้สักพักก่อนที่จะหันมาหากัน

“แกจะเอายังไง?” ชายผมสีน้ำตาลถาม
“งั้นแกเป็นซ้ายแล้วฉันไปขวาล่ะกัน” เนลเรี่ยนตอบ
“ได้”

  พวกเขาแยกทางกันไปตามที่ตกลงกันไว้โดยที่เนลเรี่ยนหยิบคบเพลิงมาจุดโดยใช้มือของเพื่อนของเขาเป็นตัวจุด ชายผมสีทองเดินไปตามทางด้านขวาที่ตนมอบหมายตัวเองไป มันเป็นทางเดินโล่งสนิท แทบจะไม่มีอะไรกีดขวางเลยสักนิดราวกับถูกทิ้งร้างไปนานแล้ว เขาสังเกตไปยังกำแพงโดยรอบที่ถูกแกะสลักเป็นลวดลายอย่างสวยงาม อีกทั้งยังมีตัวอักษรเก่าๆ อยู่เต็มไปหมด พอผ่านไปสักพักเขาไปสะดุดกับงานแกะสลักชึ้นหนึ่ง มันเกาะสลักอยู่ที่กำแพงของอุโมงค์นี้ มันเป็นรูปของเหล่าผู้พิทักษ์กำลังสู้กับอสูรกายที่ดูเหมือนเป็นสิ่งมีชีวิตที่ฝังอยู่กับผืนดิน ใจกลางของสิ่งมีชีวิตตนนั้นคือดวงตาขนาดใหญ่ที่จ้องมองลงมาหาเหล่าผู้พิทักษ์ด้วยความอาฆาต รอบๆ ของงานสลักนี้ก็มีตัวหนังสือโบราณเขียนไว้เต็มไปหมด เมื่อชายหนุ่มเพรสตันเห็นเช่นนั้นจึงหยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาจากกระเป๋าที่เขาเตรียมมา เขาพลางเปิดหนังสือด้วยมือข้างหนึ่งที่ยังว่างอยู่กับอีกข้างที่ถือคบเพลิง จนไปถึงหน้าหนึ่งมันแสดงถึงตัวอักษรที่คล้ายคลึงกันมาก และภาพของอสูรกายตนเดียวกัน แต่ภาพที่ปรากฏในหนังสือนั้นต่างออกไป มันเป็นภาพมารร้ายกำลังกลืนกินร่างของเหล่าผู้พิทักษ์เข้าไป เปลี่ยนแปลง จากดีสู่ชั่ว จากขาวสู่ดำ จากชีวิตเป็นความตาย

“ชีวิตสู่ความตาย... ผู้พิทักษ์แห่งแสงสู่พลังแห่งบาป ยังงั้นหรอ?” เนลเรี่ยนเอ่ยขึ้น

  เขาเริ่มลูบคลำกำแพงเหล่านั้นก่อนที่จะมองไปที่ตัวอักษรโบราณที่สลักอยู่ เขาเหมือนจะเริ่มครุ่นคิดถึงสิ่งที่มันพยายามจะสื่อ ทั้งในหนังสือที่เขามีและงานสลักที่ปรากฏอยู่ต่อหน้าของเขา

“อสูรกายตนนี้.. มันคืออะไรกัน?” เขาบ่น “ข้าไม่เข้าใจเลย”

  “อ๊าากกกกก!” เสียงของใครสักคนร้องดังขึ้นมาด้วยความเจ็บปวด เสียงนั่นดังเป็นเสียงสะท้อนในอุโมงค์ เหมือนว่าจะเป็นเสียงของมิตรสหายของเนลเรี่ยนเอง ชายหนุ่มผมสีทองรีบเก็บของวิ่งไปยังต้นเสียงนั้น ระหว่างทางเขายังคงได้ยินเสียงสหายของเขาร้องพลางให้เนลเรี่ยนไปช่วยอย่างเร่งด่วน เนลเรี่ยนวิ่งจนไปถึงจุดๆ หนึ่ง เขาไม่สามารถหาต้นตอของเสียงได้หลังจากมันเงียบลงและเหมือนกับว่าตัวเขาเองจะหลงทางด้วยเช่นกัน มันถูกปกคลุมไปด้วยความเงียบงัน เนลเรี่ยนหยิบมีดสั้นของเขาออกมา ค่อยๆ เดินย่องไปยังด้านหน้า เขาเริ่มพอจะได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง มันเป็นเสียงที่ดูแปลกพอสมควร แล้วจากนั้นก็มีเสียงเหมือนคนเดินอยู่ไม่ไกลจากเขานัก ชายผมสีทองยังคงกำมีดไว้แน่น ค่อยๆ ย่องไปโดยพยายามไม่ให้อะไรก็ตามที่ทำร้ายเพื่อนของเขาได้ยิน เบื้องหน้าของเขาเป็นห้องโถงใหญ่ห้องหนึ่ง เหมือนเอาไว้ใช้ในการประชุมลับๆ ด้านข้างถูกตกแต่งด้วยรูปปั้นต่างๆ ภาพวาดเก่าแก่หรือแม้กระทั่งอาวุธโบราณที่สภาพไม่น่าจะนำมาใช้งานได้ มันเป็นทางตัน เขาไม่เห็นใครเลย

“เฮมิส?” เนลเรี่ยนตะโกนเรียกเพื่อนของตน “เฮ้! อยู่รึเปล่า?”

  เขาเดินไปได้สักพักและเห็นเหมือนเงาของเขาสักคนต่อหน้า เงานั้นมีรูปร่างเหมือนกับมนุษย์ธรรมดา มันไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย เนลเรี่ยนยังคนเดินเข้าไปหาเบาๆ พยายามทำตัวให้ดูระมัดระวังมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เขายกคบเพลิงนั้นขึ้นเพื่อที่จะมองเจ้าของร่างนั้นซึ่งร่างนั้นก็เป็นเพื่อนร่วมทางของเขา แต่ต่างจากเดิมตรงที่ร่างกายทั่วทั้งร่างมีบาดแผลเต็มไปหมด บาดแผลที่เกิดจากอาวุธอะไรสักอย่างเหมือนกับโดนรัด

“เฮมิส? แกเป็นอะไรรึเปล่า?” เนลเรี่ยนเอ่ยถาม
“เนลเรี่ยน.... ระ.... ระวัง....”

  สิ้นสุดวาจาของชายผู้นั้น เขาก็ล้มลงไปกองกับพื้นทันที ทันใดนั้นบาดแผลทั่วร่างของเขาก็หลั่งโลหิตออกราวกับคลื่นทะเล ชายผมทองแสดงสีหน้าตกใจกับสิ่งที่เห็น เขาเช็คดูอาการเพื่อนของเขา แต่นั่นก็สายไปเสียแล้ว ชายคนนั้นสิ้นลม ก่อนที่เนลเรี่ยนจะได้ยินเสียงกึกๆ จากข้างหลังอีกครั้ง เขามองขวับกลับไปแต่ก็ไม่พบกับอะไรเลย ชายหนุ่มเริ่มแสดงอาการหวาดกลัวออกมาเล็กน้อยก่อนที่ใบหน้าของเขาจะได้รับบาดแผลเหมือนรอยฟันเล็กๆ เขาจับดูแผลนั้นซึ่งไม่สามารถรู้ที่มาของการโจมตีนั้นได้เลย และเขาก็ได้ยินเสียงเสื้อของเขาที่ฉีกขาดอีก ครั้งนี้รอยฟันมันดูใหญ่กว่าเดิมเป็นเท่าตัว เนลเรี่ยนตั้งรับด้วยมีดสั้นราวกับรู้สึกว่ามีอะไรอยู่ในสถานที่แห่งนี้นอกจากเขา มันคงจะเป็นสิ่งเดียวกันที่เพิ่งสังหารสหายของเขาไป ทันใดนั้นเขารู้สึกถึงปราณจากด้านหลัง เขาหันกลับไปแต่ก็ถูกพลังนั้นซัดเข้าใส่ มันเป็นพลังธาตุลม การโจมตีนั้นทำให้เนลเรี่ยนเกิดบาดแผลเล็กน้อย ถึงแม้ว่าเขาจะสามารถสัมผัสลมปราณได้ก็ตามที แต่ก็ยังไม่สามารถจับทิศทางของผู้ที่โจมตีมาได้ เนื่องด้วยสถานที่นี้ค่อนข้างมืดและคบเพลิงก็เพิ่งดับไปจากพลังลม ทำให้เขาต้องให้สายตาตัวเองปรับการมองเห็นให้ชิน

  ทันใดนั้นการโจมตีเดิมก็พัดกลับมาอีกครั้ง แต่ในครั้งนี้ชายผมทองไหวตัวทันทีจึงหลบไปได้ จังหวะพริบตานั้นก็มีบุคคลโผล่มาข้างหลังของเขา ใช้เท้าถีบร่างของหนุ่มผู้นี้จนกระแทกเข้ากับกำแพงห้อง เนลเรี่ยนค่อยๆ ลุกขึ้นมาพร้อมกับเลือดที่ไหลออกมาจากปากตัวเอง เขาเช็ดเลือดและหยิบมีดสั้นออกมาอีกเล่มหนึ่ง เขาตั้งท่าเตรียมรอการโจมตีต่อไปของบุรุษปริศนา ด้านซ้าย เขาสามารถรับรู้มันได้จากการเปล่งลมปราณเพื่อจับทิศทาง เขาจับขาของบุรุษผู้นั้นได้ก่อนที่จะใช้มีดเสียบเข้าไปจุดตาย แต่มือข้างที่ถือมีดเล่มนั้นก็ถูกรัดด้วยอะไรสักอย่าง แลดูเหมือนกับเถาวัลย์.... ไม่! เหมือนแส้! เนลเรี่ยนจึงใช้มือข้างที่จับขาของบุรุษเงานั้นเปล่งปราณน้ำแข็งออกมาเพื่อสกัดการโจมตีต่อไปของมนุษย์ปริศนา แต่แล้วเงานั้นก็ใช้ขาอีกข้างหมุนเตะคอของเนลเรี่ยนจนไถลลงไปกับพื้น เนลเรี่ยนค่อยๆ เซขึ้นมาก็ถูกแส้รัดร่าง แม้ว่าชายปราชญ์จะขยับร่างขนาดไหนก็ตาม แส้นั่นยิ่งรัดร่างเขาแน่นขึ้นกว่านั้น

“เจ้า! เจ้าใช้ปราณน้ำแข็งสินะ” เงาตนนั้นกล่าว แต่เสียงของมัน... เหมือนกับ...
“ผู้หญิง... งั้นหรอ?” เนลเรี่ยนเอ่ยด้วยความทรมาณจากการโดนพันธนาการแส้รัดไว้
“วันนี้ข้าจะได้ดื่มเลือดของชายชาตรีที่มีปราณหายากด้วยสิ ฟังแล้วน่าตื่นเต้นชะมัด” เธอกล่าว
“ชีวิตของเจ้า... ข้าขอล่ะ!”
ขึ้นไปข้างบน Go down
https://www.facebook.com/BillAlfenolf
 
Cataclysm: The Endless Hellfire I
ขึ้นไปข้างบน 
หน้า 1 จาก 1
 Similar topics
-
» Cataclysm: The Endless Hellfire XVI
» Cataclysm: The Endless Hellfire II
» Cataclysm: The Endless Hellfire XIX
» Cataclysm: The Endless Hellfire III
» Cataclysm: The Endless Hellfire XX

Permissions in this forum:คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
Bloody Wrestling Online :: BWO : Special Event :: BWO Novel-
ไปที่: