Bloody Wrestling Online
Would you like to react to this message? Create an account in a few clicks or log in to continue.

Bloody Wrestling Online

The Number One Cyber Wrestling Online
 
บ้านPortalLatest imagesสมัครสมาชิก(Register)เข้าสู่ระบบ(Log in)

 

 Cataclysm: The Endless Hellfire VII

Go down 
ผู้ตั้งข้อความ
Neferpitou
Moderators
Moderators
Neferpitou


จำนวนข้อความ : 552
Join date : 05/12/2012
Age : 27
ที่อยู่ : The Facility of Banned Organizer

Cataclysm: The Endless Hellfire VII Empty
ตั้งหัวข้อเรื่อง: Cataclysm: The Endless Hellfire VII   Cataclysm: The Endless Hellfire VII EmptySat Aug 27, 2016 1:37 am

Cataclysm: Endless Hellfire
Act VII

------------

  สายตาของหญิงสาวผมแดงที่แสดงถึงความงุนงงหลังจากที่หล่อนถูกเอ่ยถามโดยวาจาขององค์กษัตริย์ สีหน้าที่ตกใจกับสิ่งที่ประจักษ์เบื้องหน้าตนไม่แพ้กับเนลเรี่ยนที่ตกใจกับปฏิกริยาของทั้งสองเมื่อพบหน้ากัน การที่คนแปลกหน้าต่างดินแดนถูกราชาเรียกด้วยคำพูดที่ดูจะแสนธรรมดาแบบนั้นมันย่อมเป็นอะไรที่แปลกอยู่แล้ว แต่กับหญิงสาวคนนี้เธอเหมือนกับว่าเป็นสาวที่ไม่มีที่มามันสร้างความงุนงงให้กับชายหนุ่มผมทองเสียมากกว่า ถึงแม้ว่าเธอจะร่วมเดินทางมากับเขาจนถึงที่แห่งนี้ แต่สิ่งที่เขารับรู้ก็มีเพียงนามและพลังธาตุแห่งปราณเธอเท่านั้น แถมตัวเนลเรี่ยนเองก็ยังมิได้แนะนำตัวเธอเลยสักนิด แต่โครนอสกับเอ่ยปากออกมาด้วยนามที่ตรงกับที่เขารู้ ไม่นานนักหญิงสาวก็อุทานขึ้นด้วยเสียงดังราวกับว่านึกอะไรออก ดวงตาของเธอเบิกกว้างดั่งคนที่ตื่นถึงสิ่งที่ประจักษ์

“อย่าบอกนะ... ว่าท่านคือ?” เธอพูดด้วยเสียงสั่น
“ข้าโครนอสไง” องค์ราชากล่าว “ที่ร่วมสู้รบจากสงครามแห่งอสูรกายในครั้งนั้นน่ะ”
“แต่ทำไมเจ้าถึงไม่เปลี่ยนไปเลยล่ะ?” โครนอสถามต่อ “เธอดูไม่ต่างจากเมื่อครั้งนั้นเลย”

  ราวกับว่าทั้งสองเคยเป็นคนรู้จักกันมาก่อนจากวาจาของตัวองค์ราชาเองที่เพิ่งกล่าวไปเมื่อครู่ ซึ่งจากการวิเคราะห์ของชายผมทอง ดูเหมือนว่าหญิงผู้นี้จะไม่ใช่คนจากยุคปัจจุบันแน่นอน นั่นเป็นเพราะว่าสงครามอสูรกายเมื่อครั้งก่อนมันยาวนานพอควร น่าจะราวๆ ช่วงที่เขาเพิ่งเกิดหรือยังไม่คลอดออกมาจากครรภ์ของมารดาเสียด้วยซ้ำ แต่สิ่งที่ปรากฏต่อเขาเป็นอะไรที่ค่อนข้างซับซ้อน งุนงงและไม่สมเหตุผลเอาซะเลย เท่าที่ดูๆ แล้วชารอนน่าจะอายุไม่ต่างจากเขาเสียเท่าไหร่ เป็นวัยรุ่นช่วงก่อนเข้าวัยกลางคน ทั้งผิวพรรณที่ดูเต่งตึง สีหน้าที่ไร้รอยเหี่ยวย่นและสรีระเหมือนกับสาวในวัยเดียวกับเขา มันจะเป็นไปได้ยังไงถ้าเกิดเธอเคยร่วมรบสงครามและยังดูไม่แก่เลยสักนิด ต่างกับองค์ราชาที่อยู่ในช่วงวัยทอง ผิวหนังที่เริ่มเสื่อมไปตามอายุ เขาแลดูมีอายุมากกว่าเธอเกือบสองเท่าเสียด้วยซ้ำ ถ้าจะมองว่าเธอร่วมสงครามตั้งแต่ยังเด็กมันยิ่งเป็นไปไม่ได้เลย ถ้าหากเป็นเช่นนั้นเธอน่าจะดูแก่กว่านี้สักหน่อย ถ้าพูดกันตรงๆ เนลเรี่ยนมองว่าเธอเกิดในช่วงเดียวกับเขาเสียด้วยซ้ำ แล้วเหตุอันใดที่ทั้งสองถึงได้รู้จักกันได้ล่ะ แถมคำพูดของราชาที่กล่าวออกมาอีก ว่าเธอนั้นไม่ได้เปลี่ยนไปเลย ราวกับว่าเธอยังสง่าเหมือนครั้งคราก่อนไม่มีผิด แต่มันก็เป็นไปได้เยี่ยงไรล่ะ ในดวงดาวนี้หาได้มีพลังใดที่สามารถบำรุงร่างกายให้อยู่นานเช่นนี้มาก่อนเลยนิ

  ยิ่งคิดไปเท่าไหร่ก็ยิ่งไม่เข้าใจไปเท่านั้น ดูเหมือนในตอนนี้ความคิดของเขาหรือความรู้ที่มีทั้งหมดจะไม่สามารถทำให้เขาหยั่งรู้ถึงคำตอบที่ตนต้องการ จริงอยู่ที่ดวงดาวนี้มีอะไรที่เกินกว่าความคิดของมนุษย์จะเข้าถึงได้แต่ว่านี่มันก็ดูเกินไปหน่อย ชายหนุ่มสลัดความคิดเหล่านั้นออกจากหัว ในตอนนี้ดูเหมือนว่าพวกเขาทั้งสองจะดูเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าถ้าหากอยากจะเข้าใจในสิ่งที่ตนต้องการ ณ ตอนนี้ชารอนกำลังครุ่นคิดถึงองค์ราชาที่อยู่เบื้องหน้าเธออยู่ ตัวเธอดูนิ่งไปราวกับกำลังใช้ความคิดค่อนข้างมาก ไม่นานนักร่างที่นิ่งไปราวกับหินแข็งกล้าก็ขยับ แสดงท่าทางที่ต่างออกไปจากเมื่อครู่

“ข้าก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม” ชารอนกล่าวตอบโครนอส
“ดูเหมือนว่าจะเป็นอะไรสักอย่างที่ท่านโคลริมให้ข้าทำก่อนที่ท่านจะสิ้นชีพน่ะ” เธอพูดต่อ
“ว่าแต่ว่า... ตัวท่านตะหาก ท่านดูต่างไปจากเมื่อครั้งนั้นมากเลยนะโครนอส”
“ก็แหงสิ!” เขาลากเสียงประโยคท้ายขึ้นดัง “นี่มันผ่านไปยี่สิบเอ็ดปีแล้วนะ”

   ณ ตอนนี้เนลเรี่ยนเหมือนกับไม่ได้เป็นคนที่อยู่ในสถานที่แห่งนี้ ราวกับว่าทั้งสองคนกำลังพูดอะไรที่เข้าใจกันเองอยู่ แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ชายหนุ่มผมทองกำลังคำนึงถึงอยู่ ไอ้เหล่าวาจาที่ทั้งสองกล่าวอยู่ตะหากที่เป็นตัวชนวนให้ชายหนุ่มผมทองใช้สมองในการวิเคราะห์สิ่งที่ทั้งสองคนกำลังกล่าว สงครามอสูรเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน ไหนจะโคลริมที่ถูกเล่าขานกันว่าเป็นตำนาน เทพแห่งสงครามครั้งนั้นอีก มันเป็นอะไรที่ค่อนข้างเกินความคาดหมายของเนลเรี่ยนไปเลยที่ได้มาพบกับสองผู้รอดจากสงครามในครั้งนั้น ถึงกระนั้นก็เถอะ นี่มันไม่ใช่เวลาที่จะมาคิดอะไรแบบนี้หรอกนะ เพราะสิ่งที่เขาต้องการที่จะรับรู้คือสิ่งอื่นตะหาก ความเสียหายของเมืองที่เกิดขึ้นจากลูเซียสมันเกิดขึ้นได้ยังไงตะหาก ในหัวของเขาตอนนี้อยากจะได้คำตอบนี้มากที่สุดในบรรดาความคิดในสมองแล้ว เมื่อครู่ที่เขาเอ่ยถามไปก็ถูกขัดโดยราชาจากการที่พบเจอกับชารอนอีก เมื่อนั้นแล้วเนลเรี่ยนก็พูดขัดขึ้นมาทันที

“โว้วๆ เดี๋ยวก่อนนะ..” เนลเรี่ยนขัดขึ้น “ข้าไม่เข้าใจถึงสิ่งที่พวกท่านทั้งสองกำลังคุยกันหรอกนะ”
“แต่กระผมเกรงว่ามันมีอะไรที่สำคัญกว่าในตอนนี้มากกว่าจะมาพบปะกันข้างนอกนะ”
“อันที่จริง.. ถ้าหากองค์ราชาประสงค์ที่จะสนทนากับหญิงสาวผู้นี้ ข้ามองว่าในปราสาทเป็นสถานที่เหมาะเสียมากกว่า”
“และอีกอย่างตอนนี้ประเด็นหลักของเราน่าจะเป็นลูเซียสนะ”

เมื่อเนลเรี่ยนกล่าวไปแบบนั้น มันก็ทำให้องค์ราชาคิดได้

“จริงด้วยสิ..” ราชากล่าว “ข้าขออภัยด้วยที่เสียมารยาท”
“เพราะฉะนั้นขอเชิญทั้งสองเข้าไปยังคฤหาสน์ของข้าก่อน” โครนอสกล่าวเป็นการรับเชิญทั้งสอง

  เมื่อนั้นแขกที่มาเยือนและตัวขององค์ราชาเองก็ค่อยๆ พากันเดินไปยังปราสาทของเมือง พวกเขาเดินผ่านประตูใหญ่ที่มีผู้คอยเฝ้าสังเกตความสงบจำนวนหนึ่งยืนรอบอยู่ พวกเขาสวมเกราะสีทองพร้อมกับเครื่องแต่งกาย ยศ และผ้าคลุมที่บ่งบอกว่าเป็นทหารศึกแห่งสตอร์มโฮล์ม เบื้องหลังของประตูใหญ่ของปราสาทปรากฏเป็นห้องโถงกว้างซึ่งสามารถมองเห็นแท่นบัลลังก์ของโครนอส เมื่อนั้นทั้งสามคนก็เลี้ยวไปทางด้านขวา ภายในปราสาทถูกสร้างและตกแต่งอย่างสวยงาม ซึ่งสำหรับแขกรับเชิญที่ไม่เคยได้เห็นก็คงจะแสดงความตื่นเต้นและตกตะลึง ถึงกระนั้นภายในปราสาทก็เหมือนกับจะวุ่นวายพอควร เหล่าขุนนางระดับสูงที่รับใช้องค์ราชาต่างพากันรวมตัวกันเป็นกลุ่ม ซุบซิบนินทาอะไรสักอย่างโดยที่ส่งสายตาที่ไม่ค่อยเป็นมิตรไปหาแขกเท่าไหร่ อันที่จริงสายตาเหล่านั้นมันออกจะเพ่งตรงไปยังกษัตริย์แห่งทวีปทางตะวันออกเสียมากกว่า อย่างไรก็ตามโครนอสก็ไม่ได้สนใจอะไรมากเท่าไหร่

  พวกเขามุ่งตรงไปยังปราสาทส่วนที่ใช้ในการรับแขกจากต่างถิ่น ดูเหมือนมันจะเป็นจุดที่ไม่ค่อยมีผู้คนนัก มันจึงดูเงียบไปเลยหากเทียบกับเมื่อครู่ ที่เบื้องหน้าของพวกเขามีห้องๆ หนึ่งซึ่งมีประตูขนาดใหญ่ปิดกั้นไว้อยู่ราวกับไม่รับอนุญาตให้ใครก็ตามที่อยู่ในปราสาทเข้าไปทั้งนั้น เมื่อนั้นองค์ราชาก็หยุดตัวลงซึ่งเป็นสัญญาณให้ทั้งเนลเรี่ยนและชารอนหยุดเดินตาม เมื่อนั้นโครนอสจึงหันสายตาของเขาไปชายผมทอง

“ลูเซียสอยู่ในห้องนี้..” องค์ราชากล่าว “ข้าพยายามทุกอย่างแล้ว... แต่เหมือนว่าเขาจะไม่อยากพบใครเลย”
“ในตอนนี้เจ้าคงจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดหากเจ้าต้องการจะพบกับเขา” โครนอสพูดต่อ

  เนลเรี่ยนหาได้ตอบอะไรกลับไปด้วยวาจา เขาเพียงแค่มองหน้าของโครนอสและพยักหน้าแทนการตอบ เมื่อนั้นชายผมทองก็เคาะประตูใหญ่บานนั้นตามมารยาท เพราะถ้าเกิดเขาเข้าไปโดยพลการถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้ล๊อคก็ตามที มันก็เป็นอะไรที่ดูไม่ดีแน่สำหรับผู้ที่เป็นแขก หลังจากเสียงเคาะประตูดังไปได้สักพักแล้ว มันหาได้มีการตอบกลับใดๆ จากผู้อาศัยในห้องนั้นเลย ราวกับว่าเนลเรี่ยนกำลังเคาะกระจกที่ไม่การตอบกลับใดๆ แน่นอนว่าส่งที่เกิดขึ้นมันทำให้ชายผู้ที่เป็นแขกรู้สึกไม่ค่อยดีนัก คงมีความคิดในหัวว่าลูเซียสคงไม่อยากที่จะต้อนรับใครตอนนี้หรอก ทางด้านของโครนอสเองก็ไม่ได้มีปฏิกริยาใดๆ แต่ไม่นานนักเขาก็แตะไหล่ของเนลเรี่ยนก่อนที่จะเปล่งวาจา

“ตอนที่ข้าพยายามจะเข้าไป.. มันก็เป็นยังงี้ล่ะนะ” โครนอสกล่าว
“แต่ข้าเชื่อว่าหากเจ้าอาจจะทำได้ดีกว่าข้าก็ได้” เขากล่าวต่อ “งั้นเอาเป็นว่าข้าปล่อยให้เจ้าจัดการล่ะกัน”
“ข้ามีเรื่องต้องคุยกับแขกที่มากับเจ้า”

  เมื่อราชากล่าวจบก็หันไปมองชารอน เหมือนกับว่าพวกเขามีเรื่องที่ต้องคุยกันสักอย่าง ดูเหมือนว่าจะคุยกันเรื่องความหลังและเรื่องที่ค้างคาใจที่ยังไม่ได้คำตอบ คำถามที่ว่าเหตุไฉนหญิงสาวผมแดงจึงมีสภาพเฉกเช่นเดียวกับเมื่อครั้งคราก่อนและไม่มีการเสื่อมคลายไปตามกาลเวลาเลยสักนิด เมื่อนั้นทางด้านตัวของราชาและชารอนก็พากันเดินจากไป ดูเหมือนว่าเขาต้องการที่จะสนทนาโดยที่ไม่มีใครเข้ามาขัดจังหวะเช่นเมื่อครู่นั้น ทางด้านของชายผมทองก็ยังคงยืนอยู่หน้าห้องตามลำพัง เมื่อนั้นเขาก็เคาะประตูบานนั้นอีกครั้งหนึ่ง กล่าววาจาที่จะทำให้ตัวเองสามารถเข้าไปหาสหายของเขาได้

“ไม่เอาน่าลูเซียส..” เนลเรี่ยนกล่าว “รอบนี้ข้าพาสาวมาให้เจ้าด้วยนะ!”
“ข้าได้ยินนะคะ!” ชารอนตะโกนขึ้นถึงแม้ว่าหล่อนจะอยู่ในระยะที่ค่อนข้างไกล

วาจาของหญิงสาวผมแดงนั้นทำให้เนลเรี่ยนตื่นตกใจ หันไปมองแผ่นหลังของหญิงผู้นั้นด้วยความสงสัยว่าเธอได้ยินได้เยี่ยงไร

“ฟังนะลูเซียส..” ชายผมทองกล่าวขึ้นมา
“การที่นายทำแบบนั้นมันก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลยนะ ทั้งองค์ราชาและตัวฉันไม่ได้กล่าวว่าๆ มันเป็นความผิดของนายหรอกนะ”
“ความคิดที่นายกำลังมีในหัวน่ะ...”

  ชายผมทองยังไม่ทันได้กล่าววาจาของตนจนจบ เมื่อนั้นชายผมดำที่อยู่ในห้องก็เปิดประตูนั้นออก ภายในห้องนั้นมืดสนิท มีเพียงแสงแค่เล็กน้อยเท่านั้นที่สามารถเล็ดลอดจากผ้าม่านเข้ามายังห้องได้ สภาพของลูเซียสดูไม่ค่อยดีนัก ร่างกายของเขาดูเหมือนคนอ่อนแอไป สีผิวที่ซีดราวกับคนตาย สีหน้าของเขาราวกับกลายเป็นคนไร้จิตใจ เนลเรี่ยนเห็นสภาพของเพื่อนของตนก็แสดงถึงความตกใจออกมาอย่างชัดเจน ปราณอ่อนสีดำไหลรินออกมาจากร่างของชายหนุ่มผมดำอยู่ตลอด ทั่วห้องนั้นก็เต็มไปด้วยคราบเมือกปราณดำที่่แสดงถึงความตายติดอยู่เต็มไปทั่วแผ่นกำแพง พื้นหรือแม้กระทั่งเพดาน หนุ่มผมทองแทบจะพูดอะไรไม่ออกถึงสิ่งที่ตนประจักษ์ ราวกับว่าสิ่งที่เเขาเห็นอยู่ในตอนนี้ไม่ใช่สหายของเขาแต่เป็นร่างทรงของปีศาจร้ายที่รอวันตื่นขึ้นมาจากการหลับไหลเท่านั้น ลูเซียสใช้สายตาที่ไร้ถึงอารมณ์มองดวงตาของเนลเรี่ยน ราวกับจะมองทะลุเข้าไปในวิญญาณบริสุทธิ์ของหนุ่มผู้นี้ยังไงยังงั้น

“มะ... มันเกิดอะไรขึ้นกับเจ้ากันเนี่ย?”
ขึ้นไปข้างบน Go down
https://www.facebook.com/BillAlfenolf
Neferpitou
Moderators
Moderators
Neferpitou


จำนวนข้อความ : 552
Join date : 05/12/2012
Age : 27
ที่อยู่ : The Facility of Banned Organizer

Cataclysm: The Endless Hellfire VII Empty
ตั้งหัวข้อเรื่อง: Re: Cataclysm: The Endless Hellfire VII   Cataclysm: The Endless Hellfire VII EmptySat Aug 27, 2016 1:37 am

คำสั่งของหัวหน้ากลุ่มจากกลุ่มหมอผีแห่งบาปได้ถูกบัญชา ณ ดินแดนพรไพรแห่งมรกต คำบัญชาในการสังหารทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ ทุกคนที่เข้ามาขัดขวางเหล่านักบาปในการชิงตัวหญิงสาวผมสีน้ำตาลถือว่ามีโทษถึงความตายหากไม่ยอมสวามิภักษ์แต่โดยดี ถึงกระนั้นก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครเลยที่จะยอมทำตามอยู่แล้ว พวกเขาทุกคนปกป้องหญิงสาวผู้นั้นภายหลังของนักรบผู้กล้าแกร่งแห่งดินแดนสตอร์มโฮล์ม ในตอนนี้ยังไม่มีฝ่ายใดที่จะทำการเปิดฉากจู่โจมก่อน เพราะทุกการเคลื่อนไหวมันมีผลทั้งหมด ทางด้านโบล์ทเองก็ไม่สามารถที่จะโจมตีในทันทีได้ เนื่องเพราะจำนวนที่เสียเปรียบ ไม่สิต้องบอกว่าตัวเขาคนเดียวไม่อาจจะปกป้องครอบครัวนี้จากจำนวนผู้ใช้พลังบาปที่มีมากกว่าเขาหลายเท่าได้หรอก อีกประการนึงก็คือตัวเขาเป็นคนเดียวที่พอจะรู้วิธีการต่อสู้ รู้วิธีที่จะต่อกรกับคนเหล่านี้ ต่างจากครอบครัวของหญิงที่มีนามว่ามาเดียร่าโดยสิ้นเชิง ซึ่งดูยังไงๆ พวกเขาก็เป็นแค่สามัญชนธรรมดาที่หาเช้ากินค่ำเท่านั้น

  ถึงกระนั้นก็ตาม โดยความคิดทั้งหมดนี้แล้วมันทำให้โบล์ทคิดถึงอะไรอย่างหนึ่ง ถ้าหากว่าครอบครัวนี้เป็นคนธรรมดาจริงๆ แล้วทำไมคนพวกนี้ถึงต้องการตัวของเธอล่ะ การที่เหล่าผู้ใช้พลังบาปเหล่านี้จะเลือกสรรผู้คนมันมีอยู่เป็นปกติก็จริง โดยมากจะใช้ในการสังเวยเพื่อทำพิธีกรรมแห่งพลัง แต่ว่าคนเหล่านั้นที่ถูกเลือกสรรไปย่อมมีปราณที่บริสุทธิ์ สามารถที่จะแปลงคุณสมบัติให้กลายเป็นพลังบาปได้ นั่นคือระบบการทำงานของพลังบาป มันดูดกลืน แทรกซึม รวมตัวเข้ากับปราณอย่างอื่นจนในที่สุดก็สกัดพลังจนกลายเป็นปราณสีเขียวเรืองแสงแห่งความตาย ถึงกระนั้นก็เถอะแต่โบล์ทไม่สามารถสัมผัสพลังปราณของมาเดียร่าได้เลย ไม่แม้กระทั่งเศษเสี้ยว ซึ่งมันก็แปลกไปอีกเพราะว่าคนปกติทั่วทั้งดวงดาวโพรโตเนี่ยนย่อมมีปราณติดตัวอยู่แล้ว และเหล่าผู้ใช้ปราณระดับสูงที่แกร่งพอจะสามารถใช้ปราณในการตรวจว่าบุคคลนั้นๆ มีปราณระดับไหน พลังธาตุอะไร แต่มาเดียร่าผู้นี้ไร้ซึ่งปราณใดๆ เลย

   โดยหลักการที่โบล์ทสามารถคิดได้ในตอนนี้มันก็พอมีเหตุผลอยู่บ้าง คนที่ไร้พลังปราณที่สามารถมีได้อยู่ทั่วไปมันเป็นอะไรที่แปลก ต่อให้เป็นเทพจากฟากฟ้าดินแดนแห่งสวรรค์หรือมารร้ายจากก้นบึ้งนรกโลกันต์ก็ย่อมมีปราณปะปนในตัวอยู่แล้ว หรือว่าเธอจะเป็นอะไรที่ต่างออกไป... หนึ่งในผู้ถูกเลือกงั้นหรอ? ว่ากันว่าในโพรโตเนี่ยนจะมีหนึ่งในผู้ถูกเลือกที่มีสุดยอดพลังที่แกร่งพอจะเทียบเคียงกับมารเพลิงไซอาลอทได้เลย แต่มันจะเป็นแค่เด็กสาววัยรุ่นรูปลักษณ์แบบนี้งั้นหรอ ยิ่งคิดไปก็ไม่เข้าใจเท่านั้น เพราะสิ่งที่เป็นกังวลมากกว่าคือศัตรูที่อยู่เบื้องหน้าของโบล์ทตะหาก เมื่อนั้นแล้วเหล่าผู้ใช้พลังบาปจึงเริ่มขยับตัว พวกเขาเดินไปช้าๆ ไม่มีความเร่งรีบใดๆ ทั้งสิ้น จู่ๆ ปราณสีเขียวที่ไหลอยู่ทั่วร่างอ่อนๆ เหล่านั้นก็พุ่งสำแดงถึงพลังที่แท้จริงออกมา ออร่าที่เรืองแสงน่ากลัวเหล่านั้นทำให้ครอบครัวชาวนานั้นขวัญหนีดีฟ่อ โบล์ทตั้งท่าเตรียมที่จะรับมือกับสิ่งนั้นโดยที่สมองพลางคิดถึงเรื่องอื่นไป

“ท่าไม่ดีแล้วแฮะ” โบล์ทคิดในใจตนเอง “ขืนปล่อยไว้เราก็จะเสียเปรียบเป็นแน่”
“ถึงอย่างไรก็ดี.. เราจะไม่ปล่อยให้พวกนั้นหลุดรอดสายตาของเรา”
“มิเช่นนั้นโลหิตแห่งสามัญชนบริสุทธิ์คงได้นองแผ่นดินแน่”

  แม้โบล์ทจะคิดในใจด้วยเรื่องมากมายที่ถาโถมเข้ามาก็ตามทีแต่ถึงกระนั้นเขาก็มิได้แสดงอาการวอกแวกใดๆ ออกมาเลยสักนิด ทันใดนั้นเอง เหล่าผู้ใช้ปราณก็ปล่อยพลังแห่งบาปไปยังเป้าหมายซึ่งเป็นอัศวินแนวหน้าแห่งสตอร์มโฮล์มทันที แต่ชายผู้นี้ก็ไม่สามารถถอยฉากออกไปหลบพลังเหล่านั้นได้ เพราะหากทำเช่นนั้นครอบครัวของหญิงสาวผู้นี้จะตกอยู่ในอันตรายทันที เพียงชั่วพริบตาชายผมขาวก็ใช้ดาบที่เอ่อล้นไปด้วยปราณสีฟ้าแห่งสายฟ้าจากฟากฟ้าฟาดฟันปราณสีเขียวเหล่านั้นอย่างรวดเร็ว มันเร็วซะยิ่งกว่าการเคลื่อนไหวของหนึ่งฝีก้าวของมนุษย์เสียด้วยซ้ำ พลังปราณสายฟ้านั้นทำให้ปราณสีเขียวแห่งความตายหงุดชะงักจากการถูกสกัดกั้น เมื่อนั้นพลังแห่งบาปก็สลายไป เหล่าผู้ใช้บาปพากันตกตะลึงที่พลังของตนถูกสลายปราณได้อย่างง่ายดาย

  ผู้นำของกองทัพแห่งบาปหน่วยนั้นเองก็เช่นกัน เขาพยายามตั้งสติของตนให้ดีก่อนที่จะเรียกกำลังใจของลูกน้องตนกลับคืนมา ทันใดนั้นเขาก็พุ่งเข้าโจมตีโบล์ทด้วยหมัดที่เต็มไปด้วยปราณแห่งบาป แน่นอนว่าความเร็วเพียงเท่านั้นมิอาจจะเอาชนะสายฟ้าสีทองแห่งซินโดร่าที่ขึ้นชื่อว่าเร็วที่สุดในเอสซิโอนิคได้ ชายผมขาวหลบพลังนั้นไปอย่างง่ายดาย เมื่อนั้นปราณที่ดาบของเขาก็ส่องแสงจ้า มันสว่างไสวในระยะขอบเขตใกล้ตัวดาย

“ปิดตาไว้!” โบล์ทตะโกนบอกเหล่าสมาชิกในครอบครัวนั้น

  สิ้นสุดวาจานั้นปราณที่สะสมอยู่ที่ดาบของอัศวินผู้นี้ก็ระเบิดตัวออกราวกับเป็นสายฟ้าแลบในยามที่ห่าฝนไหลริน มันสว่างจ้าจนทำให้ตาของผู้ที่สัมผัสแสงนั้นมองอะไรไม่เห็น อีกทั้งร่างกายของผู้นำของกองทัพรวมไปถึงสมาชิกผู้ใช้พลังแห่งบาปก็มิอาจจะขยับได้ ราวกับเป็นอัมพาตจากพลังแห่งโบล์ท ชายผมขาวถอยฉากออกมาก่อนที่จะรวบรวมปราณแห่งสายฟ้าไว้ที่ดาบตน หวังจะปิดฉากในฉับเดียว ทันใดนั้นหนึ่งในสมาชิกของผู้ใช้ปราณแห่งบาปก็ขยับตัว พุ่งเข้าไปคว้าตัวของหญิงสาวผมสีน้ำตาลก่อนจะหายไปท่ามกลางพรไพร สิ่งที่เกิดขึ้นสร้างความตกใจให้แก่ครอบครัวของหล่อนและโบล์ทเองด้วยเช่นกัน มันจะเป็นไปได้เยี่ยงไรกัน เขาก็มั่นใจแล้วว่าเป้าหมายทุกคนตกอยู่ภายใต้พลังช๊อคของเขา หรือว่าเขาจะไหวตัวทันจากการส่งสัญญาณของโบล์ทไปยังครอบครัวเมื่อครู่นี้กัน

“มาเดียร่า!” ผู้เป็นบิดาตะโกนเรียกลูกสาวของตน ก่อนที่จะวิ่งตามผู้ใช้พลังบาปคนนั้นไป

  การกระทำของผู้เป็นพ่อทำให้คู่สมรสซึ่งเป็นภรรยาของเขาวิ่งตามหาลูกสาวเช่นกัน โบล์ทหันไปมองด้วยสีหน้าที่เครียดพอดู เหมือนกับเขาจะเห็นว่าท่าไม่ดีเสียแล้ว เมื่อชายผมขาวหันกลับมา เขาถูกหัวหน้าผู้ใช้พลังบาปรัดคอด้วยพลังปราณสีเขียว พลังนั้นเริ่มรัดไปทั่วกายของโบล์ททำให้เขาหายใจไม่ออก ลูกตาทั้งสองข้างเริ่มเปิดกว้าง กรอกขึ้นไปข้างบน ชายผู้ใช้พลังในการทำร้ายอัศวินกล้าแห่งสตอร์มโฮล์มยิ้มเริงร่าด้วยความพึงพอใจ ไม่นานนักเหล่าผู้ใช้พลังบาปที่เหลือก็คืนกลับสภาพเดิมราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“ตามสหายของเราไป!” หัวหน้าตะโกนขึ้น “แล้วเอาตัวผู้หญิงคนนั้นมาให้ข้า!”
“ส่วนที่เหลือ... ฆ่ามันให้หมด”
“ข้าจะจัดการกับเจ้าสายฟ้าสีทองนี่เอง!”

  สิ้นสุดคำบัญชาของผู้เป็นนาย เหล่าลูกน้องทั้งหลายก็พากันรวมตัวกันและตรงไปตามทิศทางที่มาเดียร่าถูกลักพาตัว ชายผมขาวพยายามจะสลัดตัวให้หลุดจากพันธนาการแห่งบาป แต่ด้วยแรงธรรมดาของมนุษย์มันก็มิสามารถที่จะคลายปราณที่พันร่างเขาไว้ได้ ผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มแห่งบาปที่ยืนอยู่ต่อหน้าของโบล์ทเริ่มประสานปราณตนเข้าที่มือ มันก่อเกิดเป็นกงเล็บสีเขียวที่เต็มไปด้วยปราณ ตามแขนข้างนั้นที่ผู้ใช้พลังบาปนั้นผสานปราณเข้าไปผุดออกมาซึ่งเส้นเลือดอย่างเห็นได้ชัด เหล่าเส้นเลือดเหล่านั้นส่องสว่างเป็นสีเขียว มันสามารถมองเห็นได้ราวกับว่าแสงนั้นทะลุออกมาจากร่างของชายผู้นั้น ดูท่าแล้วมันเหมือนกับจะเป็นกระบวนท่าที่ใช้สังหารเหยื่อภายในครั้งเดียวและทางด้านอัศวินกล้้าก็รู้ตัวเช่นกันว่าหากเขาไม่ทำอะไรสักอย่าง ผลที่จะออกมาคือความตายของเขาเสียเอง

  ด้วยร่างกายของมนุษย์ธรรมดาในตอนนี้ไม่สามารถที่จะหลุดออกมาจากกระบวนท่าคุมขังของมารร้ายได้แน่ เมื่อนั้นโบล์ทก็คำนึงถึงสิ่งที่ตนพอจะทำได้อยู่ หากเมื่อร่างกายไม่สามารถที่จะหลุดได้หากยังเป็นมวลแข็งที่สามารถจับต้องได้ มันก็มีหนทางเดียวเท่านั้นที่จะทำให้ตนพ้นจากพันธนาการนั่นก็คือการผสานตนเข้าสู่ปราณจนบรรลุเข้าสู่ร่างปราณระดับสูงสุด ทันใดนั้นเองทั่วทั้งร่างของชายผมทองก็เปล่งออกมาซึ่งแสงสว่างสีทอง มันทำให้ผู้ใช้พลังบาปตกใจกับภาพที่เห็น เพียงชั่วพริบตาเขาก็ออกหมัดแห่งบาปที่เต็มไปด้วยออร่าแห่งความตายหวังที่จะสังหารโบล์ทก่อนที่จะพลาดท่า แต่กายาของเจ้าของปราณสายฟ้าที่ติดอยู่ในพันธนาการนั้นก็พุ่งออกไปตามสายฟ้าที่ตรงขึ้นไปสู่ฟากฟ้า สายฟ้าสีทองเหล่านั้นรวมตัวกับเมฆา เมื่อนั้นทั่วทั้งฟากฟ้าดินแดนสวรรค์จึงเปลี่ยนสีจากที่สดใสกลายเป็นหมองหม่น ราวกับเมฆที่จะปลดปล่อยห่าฝน พายุที่จะซัดทุกอย่างออกไปในพริบตา และไม่นานนักสายฟ้าสีทองก็พุ่งลงสู่พื้นอีกครั้ง ปรากฏเป็นร่างของโบล์ทที่ดูเหมือนกับเทพพิทักษ์ที่จุติจากฟากฟ้า

  ทันใดนั้นเองมารร้ายแห่งบาปที่เป็นปรปักษ์ของอัศวินผมขาวก็รุดตัวเข้าโจมตีทันที หมัดแห่งปราณมรกตพุ่งออกไปด้วยความแกร่งกล้าไม่สามารถทำอะไรโบล์ทได้เลย ด้วยความเร็วที่เหนือกว่าเป็นเท่าตัวจึงทำให้เขาสามารถหลบการโจมตีเหล่านั้นอย่างสมบูรณ์ ไร้ซึ่งรอยขีดข่วนใดๆ จากการจู่โจม โบล์ทออกดาบของตนที่เร็วเสียยิ่งกว่ากระสุน ฟาดฟันเข้าไปกลางอกของผู้ใช้บาปคนนั้น มันถูกร่างของคนชั่วผู้นั้นเต็มๆ ชายผู้นั้นถอยออกไปตั้งหลัก เขาจับแผลที่อกของตัวเองที่มีโลหิตไหลรินออกมา หยดลงไปสู่พื้นจนเปลี่ยนพรไพรมรกตให้กลายเป็นสีแดงฉาน เมื่อนั้นชายผู้นั้นก็ซัดปราณออกไปเป็นวงกว้างด้วยความโกรธา ปราณที่ถูกซัดออกไปนั้นเกาะติดร่างของโบล์ท เหมือนมันจะพยายามดูดกลืนปราณสีทองบริสุทธิ์นั้น ในขณะเดียวกันแผลที่ก่อเกิดขึ้นบนอกของผู้ใช้ปราณแห่งความตายผู้นั้นก็เริ่มฟื้นฟูตัว ราวกับว่าได้รับการรักษาจากปราณแห่งชีวิต ชายผมขาวพยายามใช้ดาบแทงไปยังผู้เป็นศัตรู แต่เหมือนกับว่าความเร็วที่ทัดเทียมกับสายฟ้าจะลดลงอย่างเห็นได้ชัด เขาถูกลูกเตะของหัวหน้ากลุ่มพลังบาปเข้าอย่างจัง แล้วชายผู้นั้นก็ซัดเพลงเตะโจมตีโบล์ทไม่ยั้ง

  หนุ่มผู้ใช้ปราณสายฟ้าถูกการโจมตีนั้นจนปลิวไปกระแทกกับต้นไม้ขนาดใหญ่ เขาค่อยๆ ทรงตัวขึ้นมาก็เห็นหมัดสีเขียวของศัตรูของเขาพุ่งเข้าไปหา เขาหลบมันไปได้อย่างหวุดหวิดด้วยปราณสีทองแห่งตน หมัดนั้นกระแทกเข้ากับต้นไม้จนเป็นรูอย่างชัดเจน โบล์ทใช้อาวุธของตนโจมตีไปหาคู่ต่อสู้ด้วยปราณนั้น ปราณที่ถูกปล่อยออกไปพุ่งตรงเป็นทางยาวไปยังเป้าหมาย เมื่อนั้นชายผู้ใช้ปราณบาปก็ใช้แขนของตนป้องกันมันเอาไว้ ปราณที่กระแทกเข้าสู่ผิวหนังของหมอผีผู้นั้นสลายไปราวกับควันโดยที่แทบจะไม่ทำอันตรายใดๆ ต่อชายผู้นั้นเลยสักนิด ดูเหมือนว่าชายผมขาวจะเริ่มแสดงอาการเหนื่อยล้าออกมาอย่างชัดเชน ลมหายใจของเขาดูถี่ผิดปกติ ราวกับว่าต้องการอากาศเข้าสู่ร่างกายอย่างมาก แถมผู้เป็นปรปักษ์ในตอนนี้ดูท่าจะแข็งแกร่งขึ้น เคลื่อนไหวเร็วขึ้นอีกตะหาก ถ้าจะพูดให้ถูกคือตัวของโบล์ทเองตะหากที่มีความเร็วและพลกำลังที่ลดลงอย่างเห็นได้ชัด ปราณที่เอ่อล้นเป็นสีทองเมื่อครู่ก็ค่อยๆ หายไปตามอากาศจากการถูกดูดกลืนด้วยพลังแห่งบาป

“เป็นอะไรไป?” ชายแห่งบาปผู้นั้นกล่าวถาม “ความแกร่งกล้าของแม่ทัพแห่งสตอร์มโฮล์มีเท่านั้นรึไง?”

  คำเย้ยหยั่นสร้างความกดดันให้กับผู้ใช้ปราณสายฟ้า เขาพยายามที่จะรวบรวมพลังปราณอีกครั้ง เมื่อเขาเปล่งปราณสู่ดาบจู่ๆ เขาก็หยุดตัวลง ราวกับว่ากำลังสัมผัสถึงอะไรสักอย่างที่อยู่ใกล้ตัว แน่นอนว่าการที่เขามีพลังปราณระดับสูงจนสามารถตรวจจับพลังปราณที่อยู่ใกล้ตัวได้ มันทำให้เขาเริ่มรู้สึกว่าทำไมเขาจึงมีสภาพที่ดูอ่อนแอลงไปอย่างชัดเจน เขาเริ่มมองไปรอบข้างของปราณสีทองแห่งตน มันมีปราณสีเขียวรวมตัวอยู่อ่อนๆ ถึงจะไม่ชัดเจนแต่ก็สามารถมองเห็นได้

“มิน่าล่ะ” เขาอุทานขึ้นในใจ “นี่คือเหตุผลที่ทำไมเราจึงไม่สามารถที่จะใช้ปราณได้อย่างสะดวก”
“เราจะมาช้าแบบนี้ไม่ได้แล้ว! ทั้งมาเดียร่า... แล้วก็ปราณของเราที่ถูกกลืนกินอยู่ตลอด”
“แบบนี้ต้องจัดการด้วยการโจมตีครั้งเดียว!”

เขาครุ่นคิดถึงสิ่งที่เขาจะทำ การที่จะจัดการกับปรปักษ์ให้เบ็ดเสร็จโดยที่ตนเองสามารถทำได้สำเร็จ

“กระบวนท่านั้นมีความเสี่ยงกับร่างกายของเราเอง... แต่มันจำเป็นที่จะต้องใช้” เขายังคงพูดคุยอยู่ในหัวของตน

“ปราณสีทองระดับสอง!” เขาตะโกนขึ้น

  เมื่อนั้นเองปราณสีทองของเขาก็เริ่มเปลี่ยนสภาพอย่างชัดเจน มันดูแข็งแกร่งมากกว่าครั้งที่ผ่านมา นัยน์ตาของโบล์ทนั้นเริ่มเปลี่ยนสีจนกลายเป็นสีทอง ทั่วทั้งร่างที่กล้ามเนื้อเริ่มจับตัวกัน เกร็งตึงไปทั่วทั้งร่างจากการกระตุ้นด้วยปราณสายฟ้า ผืนดินที่ถูกอัศวินผมขาวเหยียบย่ำอยู่เกิดแตกออก ทะลุลงไปราวกับถูกยักษ์ใหญ่ใช้เท้าฟาดลงไปอย่างแรง แรงลมที่เกิดขึ้นจากปราณอันรุนแรงซัดให้สภาพแวดล้อมโดยรอบถูกวายุพัดอย่างแรง เมื่อนั้นชายผู้ใช้ปราณแห่งความตายก็รุดตัวเข้าไปโจมตีด้วยร่างกายอีกครั้งแต่แล้วโบล์ทก็หลบไปได้อย่างรวดเร็วโดยการพุ่งขึ้นไปยังอากาศ สายฟ้าที่พุ่งไปรอบๆ ชายผู้ใช้พลังบาปนั้นรวดเร็วจนเทียบเท่ากับเสียงได้เลย ว่าแล้วมารร้ายผู้นั้นก็ปล่อยพลังปราณสีเขียวลูกใหญ่ออกไป มันถูกโบล์ทฟันจนขาดเป็นสองท่อนก่อนที่ปราณสายฟ้าจะเริ่มพุ่งเข้ามาหาร่างของผู้ใช้พลังบาป ชายผู้นั้นรัวกระสุนปราณมรกตไม่ยั้งราวกับจะหยุดยั้งการโจมตีของโบล์ทด้วยพลังของเขา

  กระสุนปราณเหล่านั้นพุ่งใส่สายฟ้าสีทองไม่ยั้งแต่ถึงกระนั้นก็ดูเหมือนกับว่ามันจะระเบิดออกก่อนที่จะถึงเป้าหมาย ถึงแม้ว่าจะโจมตีมันปานใดก็ตามแต่ว่าก็ไม่สามารถทำได้สำเร็จ เนื่องเพราะอณูสายฟ้าที่วนรอบร่างของโบล์ททำให้ปราณที่พุ่งเข้าไปโจมตีถูกสกัดกั้นและแตกตัวออกไปในที่สุด ทางด้านของผู้ใช้ปราณบาปเริ่มรู้สึกตัวว่ากระบวนท่าของตนไม่ได้ผล เขาเริ่มถอยฉากออกไป ตั้งตัวเตรียมทำการโจมตีทางกายภาพ เขาใช้หมัดปราณของจนต่อยไปหาชายผมขาวอีกครั้งแต่โบล์ทก็หลบขึ้นไปเหนือหัวของผู้ใช้ปราณบาป ฟาดดาบลงไปใส่เป้าหมายอย่างรวดเร็ว

“ฉับ!”

  โบล์ทฟันร่างของผู้ใช้ปราณผู้นั้นจนขาดเป็นสองท่อน ก่อนที่จะลงมาตั้งตัวที่พื้น เขาค่อยๆ ลุกขึ้นมามองร่างที่ถูกสะบั้นจนขาดที่โลหิตพุ่งออกมาอย่างบ้าคลั่งก่อนที่ร่างที่ถูกฟันจะร่วงลงไปกับพื้น มันเป็นภาพที่ไม่ค่อยน่าดูเสียเท่าไหร่นัก เมื่อนั้นโบล์ทก็ทรุดตัวลงไปด้วยความเหน็ดเหนื่อย ออร่าสีทองที่อยู่ทั่วกายของเขาเริ่มหายไปจนสลายตัวไปในที่สุด เขารู้สึกเหนื่อยหอบ หายใจออกมาราวกับว่ารู้สึกไม่ดีนัก ถึงกระนั้นเขาก็พยายามที่จะฟื้นตัวขึ้นมา

“ข้าจะมาหยุดพักไม่ได้...” เขากล่าวขึ้น
“ต้องไปช่วย... พวกเขา...”

  ทันใดนั้นโบล์ทก็ฝืนร่างของตนขยับไปยังทิศทางที่มาเดียร่าถูกลักพาตัวไป มันแลดูเงียบผิดปกติต่างไปจากเมื่อก่อนสู้ ไม่มีแม้กระทั่งเสียงสัตว์ตามดงพรไพรเลยสักนิด ไม่นานนักก็มีเสียงดังจากเสียงของคนที่ร้องด้วยความเจ็บปวดดังขึ้นมาในที่ๆ ไม่ไกลเท่าไหร่ เมื่อโบล์ทได้ยินแบบนั้นแล้ว ด้วยความวิตกกังวลว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นกับครอบครัวนั้น เขาก็เดินไปด้วยแรงทั้งหมดที่มี พยายามจะเร่งฝีก้าวให้เร็วที่สุดเท่าที่ร่างกายจะอำนวย เมื่อนั้นแล้วเมื่อเขาเข้าไปใกล้จุดที่เป็นต้นตอของเสียงนั้น โบล์ทสามารถได้ยินเสียงการแทงจากของมีคมเข้าสู่ร่างของมนุษย์ มันเกิดขึ้นเป็นจังหวะถี่ๆ ราวกับเสียงกลองที่เป็นจังหวะไปตามเพลง เมื่อนั้นเสียงฉับของการเสียบแทงก็หยุดลง ถึงกระนั้นมันก็ไม่ทำให้โบล์ทรุดตัวเข้าไปในทันที เพราะว่าไม่รู้ว่าสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าของเขาหลังพุ่มไม้นี่มันคืออะไรกัน รอบคอบเอาไว้มันจะเป็นอะไรที่ดีที่สุด

  เขาค่อยๆ เดินทะลุพุ่มไม้ท่ามกลางความเงียบงัน ณ ตอนนี้มันไร้ซึ่งเสียงใดๆ แล้ว เขามองเห็นผืนดินที่เต็มไปด้วยโลหิตและร่างของเหล่าผู้ใช้ปราณแห่งบาป ดูท่าแล้วเหมือนจะเป็นศพที่เพิ่งจะสิ้นใจตายไปไม่นานนัก ผืนดินที่้เปลี่ยนจากดินแดนแห่งมรกตกลายเป็นทับทิมแห่งโลหิต โบล์ทแสดงสีหน้าที่ตกใจ ภาวนาของให้ครอบครัวนั้นปลอดภัย เมื่อนั้นที่เบื้องหน้าของเขาก็มีชายผู้หนึ่งในเครื่องแต่งกายของเหล่าหมอผีแห่งบาปถูกเสียบคากับต้นไม้หนึ่ง สิ่งที่แทงทะลุร่างของชายผู้นั้นเป็นหอกที่ทำด้วยไม้ทั้งสิ้น แต่มันต่างจากหอกทั่วไปที่ไม่มีการขัดเงาให้ดูสวยงาม มันดูเหมือนเป็นหอกที่ทำพอลวกๆ เพื่อใช้ในความอยู่รอดเท่านั้น

  ชายหนุ่มผมขาวยังคงเดินไปตามทางเรื่อยๆ เขาเริ่มเหยียบเศษไม้จนได้ยินไปตามทาง เขามองลงไปดูก็พบกับว่าเศษไม้เหล่านั้นมันไม่ได้เป็นไม้ที่อยู่ตามกิ่งไม้ธรรมดา มันเป็นไม้ที่เป็นรูปเป็นร่างที่เหมือนกับจะถูกสร้างขึ้นโดยเหล่าช่างไม้ นักศิลปะระดับโลก เพราะรูปร่างของไม้แต่ละอันเป็นเหมือนกับรูปปั้นอัศวินในรูปแบบไม้ บางส่วนก็แตกขาดเหลือแต่หัวบ้าง แขนบ้าง แถมยังมีอาวุธต่างๆ ที่อยู่ในสภาพไม้แข็งอีกด้วย ข้างหน้าของเขายังมีศพอื่นๆ อีกอยู่โดยศพเหล่านั้นเป็นทั้งหมอผีแห่งบาปและผู้เป็นบิดาและมารดาของมาเดียร่าที่นอนพิงอยู่กับต้นไม้ขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ร่างของผู้ปกครองเหล่านั้นถูกปราณบาปกัดกินจนเสียสภาพถึงกระนั้นก็ยังสามารถมองออกว่าคนเหล่านั้นเป็นใคร แต่มันกลับไร้วี่แววของหญิงสาวนามมาเดียร่า รึว่าเธอจะถูกผู้ใช้พลังบาปที่เหลือรอดลักพาตัวไปแล้ว

  เขาพยายามกวาดสายตาไปทุกทิศที่ตัวเองจะสามารถมองไปได้เพื่อหาร่างของหญิงสาวผู้นั้น ไม่นานนักที่ต้นไม้ขนาดใหญ่ที่มีร่างไร้ชีวิตของผู้ปกครองหล่อนนอนพิงอยู่ก็มีเหมือนกับรูขนาดกว้างเปิดออก มันปล่อยร่างของมาเดียร่าออกมาซึ่งหญิงสาวผู้นั้นเหมือนกับจะไร้สติ ไม่ว่าจะจากอะไรก็ตามแต่ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ตาย แถมร่างกายทุกส่วนยังไม่มีแผลใดๆ แทบจะพูดได้ว่าไม่มีรอยขีดข่วนใดๆ ที่เกิดขึ้นจากการต่อสู้เลยสักนิด โบล์ทอุ้มร่างของเธอขึ้นมาพร้อมกับความคิดที่มีอยู่ในใจตน แน่นอนว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันไม่ได้เกิดจากวิญญาณป่าไม้ที่สิงสถิตแน่ อีกทั้งตัวหล่อนยังไร้ปราณโดยสมบูรณ์อีก มันก็มีความเป็นไปได้ว่าสิ่งเหล่านี้อาจจะเป็น....

ฝีมือของเธอเอง!
ขึ้นไปข้างบน Go down
https://www.facebook.com/BillAlfenolf
 
Cataclysm: The Endless Hellfire VII
ขึ้นไปข้างบน 
หน้า 1 จาก 1
 Similar topics
-
» Cataclysm: The Endless Hellfire XLI
» Cataclysm: The Endless Hellfire IX
» Cataclysm: The Endless Hellfire XXV
» Cataclysm: The Endless Hellfire X
» Cataclysm: The Endless Hellfire XI

Permissions in this forum:คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
Bloody Wrestling Online :: BWO : Special Event :: BWO Novel-
ไปที่: