Bloody Wrestling Online
Would you like to react to this message? Create an account in a few clicks or log in to continue.

Bloody Wrestling Online

The Number One Cyber Wrestling Online
 
บ้านPortalLatest imagesสมัครสมาชิก(Register)เข้าสู่ระบบ(Log in)

 

 Cataclysm: The Endless Hellfire IX

Go down 
ผู้ตั้งข้อความ
Neferpitou
Moderators
Moderators
Neferpitou


จำนวนข้อความ : 552
Join date : 05/12/2012
Age : 27
ที่อยู่ : The Facility of Banned Organizer

Cataclysm: The Endless Hellfire IX Empty
ตั้งหัวข้อเรื่อง: Cataclysm: The Endless Hellfire IX   Cataclysm: The Endless Hellfire IX EmptyWed Sep 07, 2016 8:28 pm

Cataclysm: Endless Hellfire
Act IX

------------

  ณ ทางเดินโล่งของคฤหาสน์แห่งสตอร์มโฮล์ม ผู้ซึ่งเป็นเจ้าของสถานที่กำลังเดินไปตามเส้นทางพร้อมกับหญิงสาวผมแดงผู้เป็นแขก ในตอนนี้เป็นเวลาช่วงบ่ายของวันแต่แสงแห่งสุริยันจากผืนฟ้าหาได้สาดส่องลงมาไม่ มันถูกเมฆปลุกคลุมจึงทำให้เวลานี้มืดครึ้ม เนื่องด้วยสภาพอากาศเช่นนี้มันทำให้ปราสาทแห่งนี้ตกอยู่ในความมืดไม่ต่างจากสถานที่อื่นๆ ในเมือง จึงทำให้สามารถมองเห็นอะไรได้ยากนิดหน่อยแต่ก็ไม่ถึงกับว่าจะไม่สามารถเห็นอะไรได้เลย เบื้องหน้าของโครนอสและชารอนนั้นมีเงาของชายคนหนึ่งซึ่งผู้นั้นก็หาใช่ใครที่ไหนนอกเสียจากนักปราชญ์ผมทองนามเนลเรี่ยน ตัวเขายืนอยู่หน้าห้องของบรรณารักษ์ผมสีดำอยู่เหมือนกับเมื่อชั่วโมงที่แล้ว ในสภาพของเนลเรี่ยนกลับดูต่างออกไป เขาแสดงสีหน้าที่ไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่ ที่จริงน่าจะบอกว่าเขานิ่งไปเลยเสียมากกว่า เมื่อนั้นองค์ราชาก็เดินเข้าไปหาเขา ก่อนที่จะเอ่ยถามขึ้น

“เจ้านั่นไม่ยอมให้เจ้าเข้าไปยังงั้นหรือ?” โครนอสถาม
“เปล่า..” เนลเรี่ยนตอบ “เขาเปิดประตูต้อนรับข้า”
“แต่ว่า..”
“แต่อะไรยังงั้นรึ?” องค์ราชาถามต่อ

  หลังจากคำถามนั้นเนลเรี่ยนก็เงียบไปทันที ราวกับว่าเขาไม่อยากจะพูดถึงมันหรือกำลังหาคำพูดที่ดีเพื่อให้มันฟังแล้วเข้าหูมากกว่าการพูดไปแบบดื้อๆ เมื่อนั้นนักปราญช์หนุ่มผู้นี้ก็หันไปมารอบๆ ก่อนที่จะกล่าวขึ้น

“ท่านเห็นมันรึเปล่า?”
“เห็นอะไร?” โครนอสถามด้วยสีหน้าที่สงสัย
“ดูบาร์นของลูเซียสน่ะ...” เนลเรี่ยนตอบ “ดูท่าว่ามันจะแรงกล้ามากเลยล่ะ”
“มันไหลรินออกมาทั่วห้องราวกับว่าเขาไม่สามารถควบคุมมันได้”
“แถมสีหน้าของบุตรบุญธรรมของท่านเหมือนกับคนไร้สติไปแล้ว” เขาพูดต่อ

  วาจาเหล่านั้นที่ไหลเข้าสู่จิตขององค์ราชา เมื่อเขาได้ยินเช่นนั้นเขาก็แสดงสีหน้าที่ดูไม่ค่อยจะยินดีกับสิ่งที่ได้ยินเสียเท่าไหร่ ก่อนที่เขาจะถอนหายใจออกมาอย่างดังขนทำให้ทั้งสองผู้เป็นแขกที่ยืนรอบข้างได้ยิน แน่นอนว่าเนลเรี่ยนย่อมรู้อยู่แล้วว่ามันทำให้โครนอสรู้สึกไม่ดีแน่ แต่การที่จะโกหกไปมันก็ไม่ได้ช่วยอะไรให้มันดีขึ้นมาหรอก องค์ราชาแห่งดินแดนแห่งนี้ยังคงยืนนิ่งราวกับถูกสาบให้กลายเป็นหิน ไร้ปฏิกริยาใดๆ เมื่อนั้นเขาก็ค่อยๆ ใช้สายตามองไปหาเนลเรี่ยน ก่อนที่จะพูดกับชายผมทองผู้นี้

“ข้าขอบใจเจ้ามากที่ชี้แจงข้าเกี่ยวกับลูเซียส”
“ส่วนที่เหลือข้าจะจัดการเอง” เขากล่าวต่อ

  สิ้นสุดวาจานั้นเขาก็เดินจากแขกทั้งสองไปทันที ทางด้านของเนลเรี่ยนและชารอนเองก็สามารถรับรู้ได้ว่า ณ ตอนนี้องค์กษัตริย์กำลังหงุดหงิด พวกเขาจึงหาได้กล่าววาจาใดๆ ออกไปเพราะมันอาจจะทำให้สถานการณ์จากตอนนี้ที่เรียกได้ว่าไม่ค่อยสู้ดีแล้วกลายเป็นแย่เสียกว่าเดิมก็ได้ เมื่อนั้นหญิงสาวผมแดงก็หันไปมองข้างหลังของเธอราวกับว่ารู้สึกถึงอะไรสักอย่าง มันหาได้มีอะไรที่แปลกปลอมไปนอกเสียจากมีชายหนุ่มผู้หนึ่งยืนมองเธออยู่ มันทำให้เธอรู้สึกแปลกๆ จากสายตาของชายผู้นั้นที่มองมาหา ชายผู้นั้นก็คือข้ารับใช้คนสำคัญของโครนอส ผู้จัดการดูแลปราสาทแห่งนี้นามเซรดริก ซึ่งสายตาที่ชายผู้นั้นกำลังจ้องมองเธอนั้นราวกับว่ามีความรู้สึกอะไรสักอย่าง และเหมือนเธอจะรู้ความรู้สึกว่านั่นคืออะไรด้วย แต่ที่แน่ๆ มันทำให้หล่อนรู้สึกสะอิดสะเอียนน่าดู

  เมื่อนั้นเธอจึงหันกลับไปหาชายผมทองที่กำลังหันไปมองอะไรอย่างอื่นอยู่ จู่ๆ เธอก็สะกิดร่างของชายผู้นั้นทำให้เขาหันกลับมามองที่หล่อน เธอทำสายตาชี้ไปทางข้างหลังว่าพวกเขากำลังถูกมองอยู่ เนลเรี่ยนหรี่ตาดูผู้เป็นข้ารับใช้ที่กำลังจ้องมองนั่นทำให้เซรดริกรู้สึกตัวว่าเขาถูกจับได้ และทันใดนั้นเขาก็เดินจากไปทันที เมื่อนั้นชายผมทองก็มองกลับไปหาหญิงสาวผู้นั้นที่ทำสีหน้าแลดูหงุดหงิด

“อะไร?” เขาถาม
“ท่านเห็นข้ารับใช้คนนั้นหรือเปล่า?” เธอถามขึ้น
“ใช่.... ข้าเห็น” เนลเรี่ยนตอบกลับ “ดูเหมือนว่าท่านผู้นั้นกำลังจะมองเจ้านะ”
“ว่าไงนะคะ?”

จู่ๆ เนลเรี่ยนก็ยักไหล่ขึ้นพร้อมกับกล่าววาจาของเขาต่อ

“ไม่รู้สิ! สายตาแบบนั้นมันเหมือนกับสายตาที่ผู้ชายกำลังมองผู้หญิงที่ชอบยังไงยังงั้น”
“ห๊ะ?!” เธออุทานขึ้นมาอย่างตกใจพร้อมกับสีหน้าที่เริ่มแดงก่ำ
“เห็นมะ?” เนลเรี่ยนอุทานขึ้นมาด้วย “รู้สึกเหมือนเธอจะมีปฏิกริยาตอบรับเขานะ”

คำพูดนั้นทำให้หญิงสาวให้หมัดต่อยเข้าไปกลางท้องของเนลเรี่ยนอย่างจัง ด้วยความเร็วของหมัดนั้นทำให้ชายผมทองทรุดลงไป กุมท้องของเขาด้วยความเจ็บ

“จะ... เจ้าทำอะไรของเจ้าเนี่ย?”
“ก็ท่านพูดเรื่องพิเลนออกมาก่อนนิคะ”

ไม่นานนักเนลเรี่ยนก็ค่อยๆ ลุกขึ้นมาดูเหมือนเขาจะตั้งตัวได้แต่ยังรู้สึกเจ็บๆ ที่ท้องของเขาอยู่

“ข้าเจ็บนะเนี่ย”
“ข้ารู้” เธอตอบกลับทันที

  ชายหนุ่มผมทองหันไปมองใบหน้าของหญิงสาวผมแดงอีกครั้ง หน้าของเธอดูแดงก่ำไม่ต่างไปจากสีผมของหล่อนเองเลย เหมือนกับว่าเธอจะรู้สึกเขินอายกับสิ่งที่เนลเรี่ยนพูดไปเมื่อครู่นี้ หากดูจากภายนอกแล้วเธอก็เป็นสาวสวยเหมือนกันแต่ดูคล้ายกับจะเป็นพวกที่ไม่ค่อยสนใจอะไรแบบนี้เสียเท่าไหร่จากดูเพียงแค่ผิวเพินจากรูปลักษณ์ที่เห็น สายตาที่ดูเหมือนกับว่าจะโมโหใครอยู่ตลอด คิ้วขมวดอยู่ตลอดเวลา ดูๆ แล้วหล่อนก็เป็นเหมือนพวกที่เดาทางได้ยากเหมือนกันว่ากำลังคิดอะไร ไม่นานนักเธอก็มองมาหาเนลเรี่ยนด้วยสายตาแบบเดิมมันทำให้ชายผู้นั้นหันหน้าไปอีกทางทันที น่าจะเหตุผลเพราะว่าเขากลัวที่จะโดนต่อยเข้าไปอีกหมัดที่จู่ๆ ไปมองหล่อนด้วยสายตาแบบนั้นก็ได้ เมื่อนั้นแล้วเนลเรี่ยนก็ค่อยๆ เดินถอยฉากออกไป

“ข้าไปล่ะ” เขากล่าวขึ้น

  จากวาจาของนักปราชญ์นามเนลเรี่ยนดังขึ้นหลังจากที่เขาเริ่งย่างกรายห่างไปจากชารอนนั้น มันทำให้หญิงสาวผู้นี้เกิดความสงสัยว่าชายผู้นั้นจะไปที่แห่งใด เมื่อนั้นเธอจึงเดินตามเข้าไปด้วยความที่อยากรู้ อันที่จริงมันก็ไม่ใช่ความรู้สึกนั้นซะทีเดียวหรอกที่ทำให้หล่อนเดินตามเข้าไป แต่เธออาจจะรู้สึกดีกว่านี้ก็ได้หากว่าไม่ได้ถูกจับตามองจากข้ารับใช้ผู้นั้นคนเดียว เพราะถ้าเป็นแบบนั้นสิ่งที่เนลเรี่ยนพูดหยอกล้อไปเมื่อครู่อาจจะเป็นยังงั้นจริงๆ ก็ได้ ชายหนุ่มผมทองเริ่มเดินไปตามทางโดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่าหญิงสาวผมแดงกำลังตามเขาอยู่ หนุ่มผู้นี้ยังคงเดินไปเรื่อยๆ ท่ามกลางทางยาวโล่งก่อนที่จะหยุดตัวลงไปที่หน้าต่างของพระราชวังก่อนที่จะพิงตัวลงไปกับผืนล่างของหน้าต่างนั้น เขารับลมเย็นจากภายนอกปราสาท หยิบหนังสือเล่มเล็กของเขาขึ้นมาอ่าน

“นี่ท่านจะอ่านหนังสือทุกเวลาที่ว่างเลยรึไงคะ?” เธอทักขึ้นมา

  เสียงจากลมปากของหญิงสาวผู้นี้มันทำให้ชายหนุ่มตกใจ เขาสะดุ้งตัวขึ้น มือข้างหนึ่งที่หยิบหนังสือเล่มเล็กที่ตนใช้อ่านหลุดลงจากมือ มันร่วงลงไปนอกหน้าต่างกระทบลงกับผิวน้ำด้านล่าง จุดที่หนังสือร่วงลงไปนั้นเป็นเหมือนกับอ่างน้ำพลุขนาดใหญ่ที่ใช้ตกแต่งสวนวังของปราสาท เสียงน้ำที่ดังขึ้นจากวัตถุที่หล่นลงไปกระแทกใส่จนจมลงไปทำให้เนลเรี่ยนช็อคอย่างชัดเจน สีหน้าของเขาดูไม่ค่อยดีนัก ลูกตาที่เบิกโพลน ปากที่อ้ากว้างราวกับว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันมีผลกับเขามาก ณ ตอนนี้เขานิ่งไปราวกับหินที่ถูกสาบโดยเวทย์ของมารร้าย หญิงสาวผมแดงไม่รู้ตัวว่าเธอทำอะไรลงไป เธอพยายามหันไปมองเนลเรี่ยนว่าเขาโอเคหรือเปล่า ไม่ทันไรชายผู้นั้นก็หันมาหาหล่อนทันทีพร้อมกับอาการที่ดูโมโหน่าดู

“เจ้ารู้ตัวไหมว่าเมื่อกี้เจ้าทำอะไรลงไป?”

  เธอยกไหล่ขึ้นโดยที่ไม่กล่าววาจาใดๆ กลับไปราวกับกำลังยั่วโมโหชายผู้นี้อยู่ยังไงยังงั้น แน่นอนว่าการทำแบบนั้นมันทำให้เนลเรี่ยนรู้สึกโกรธขึ้นมาอย่างแรง มันย่อมทำให้เขารู้สึกไม่พอใจอยู่แล้วเพราะว่าดูจากลักษณะของชายผู้นี้แล้วเขานั้นเป็นคนที่ชื่นชอบในการอ่านหนังสือเอามากๆ แล้วยิ่งมาเกิดอะไรแบบนี้กับตัวอีก ต่อให้เป็นใครเขาก็สามารถตวาดใส่ด้วยความโกรธาตามอารมณ์ร้อนแรงของผู้เป็นชายหนุ่ม เมื่อหญิงสาวผู้นั้นเห็นสภาพของชายหนุ่มผมทองที่กำลังรู้สึกโกรธต่อเธอ หล่อนจึงใช้สายตาของตน แสดงถึงความน่ารักของตนเพื่อทำให้หนุ่มเนลเรี่ยนรู้สึกใจเย็นลง แต่เหมือนมันกลับจะกลายเป็นพลิกหลังมือเสียมากกว่า มันยิ่งทำให้เนลเรี่ยนรู้สึกโมโหเสียยิ่งกว่าเดิม นั่นไม่ทำให้เธอรู้สึกแปลกใจเสียเท่าไหร่นัก ก่อนที่จู่ๆ เธอจะเดินไปยังหน้าต่างบานนั้นราวกับเมินนักปราชญ์ผู้โกรธาอยู่ ยืนมือออกไปนอกหน้าต่าง หันกลับไปหาเนลเรี่ยนผู้เป็นเจ้าของหนังสือที่อยู่ใต้ผืนบาดาล

“ก็ได้ๆ” เธอกล่าว “เลิกส่งสายตาแบบนั้นให้ข้าเสียที..”

  สิ้นสุดวาจานั้นจู่ๆ ก็มีวัตถุจากผืนดินพุ่งขึ้นสู่มือของหล่อน มันเป็นหนังสือเล่มเดียวกับที่เนลเรี่ยนเพิ่งทำหล่นลงไปเมื่อครู่นี้ เธอรับหนังสือเล่มนั้น กำมันไว้แน่น ชายผู้เป็นเจ้าของยื่นมือจะไปหยิบหนังสือที่อยู่ในกำมือของสตรีแต่เธอก็ดึงมือออกไป มันทำให้เนลเรี่ยนตบะแทบแตกเลยทีเดียว ถึงกระนั้นเขาก็สูดหายใจเข้าลึกๆ ราวกับกำลังควบคุมอารมณ์ตน

“หากท่านอยากจะได้มันคืน.. ก็ขอโทษข้าเสียก่อนสิ”
“เรื่องอะไร?” เนลเรี่ยนท้วงขึ้น “เจ้าตะหากที่ควรจะขอโทษข้า”
“ก็เรื่องที่เจ้าพูดหยอกล้อข้าไปเมื่อครู่ไง” เธอกล่าว
“อะไรนะ?” ชายหนุ่มแทรกคำถามเข้ามา “ก็ข้าพูดในสิ่งที่เห็นนี่หน่า”

ชารอนทำท่าเหมือนจะทิ้งหนังสือลงไปอีกครั้ง

“โอเคๆ” เนลเรี่ยนกล่าวขึ้นมาโดยทันที “ข้าขอโทษที่กล่าวอะไรที่เจ้าไม่พอใจไป”
“ขอหนังสือคืนได้ยัง?”

  ไม่นานนักหล่อนก็ยื่นหนังสือเล่มนั้นให้กับเนลเรี่ยน ทันทีที่ชายผู้นั้นสัมผัสกับหนังสือเล่มนั้น เขาก็รู้สึกถึงปราณแห่งวายุที่ไหลเวียนอยู่รอบๆ มือของหญิงสาว มันดูไม่แรงกล้าเท่าไหร่แต่เหมือนกับว่าพลังนั้นถ้าหากกดพลังปราณลงไปอีกนิดมันก็สามารถตัดผิวหนังของผู้มีปราณขั้นต่ำได้เลย เธอมองเนลเรี่ยนด้วยสายตาที่ราวกับส่งคำเตือนไปให้กับเขา ชายผู้นั้นก็ค่อยๆ รับหนังสือมา เขาเริ่มลูบคลำผิวหน้าปกหนังสือเล่มนั้น มันดูแห้งสนิท แต่มันจะเป็นไปได้เยี่ยงไร ทั้งที่มันน่าจะเปียกจากการดูดซึมน้ำในคราที่ตกลงไปยังบ่อน้ำตกนั้น แถมกระดาษข้างในหนังสือเองก็แห้งเช่นกัน มันเหมือนกับทำให้แห้งด้วยเวลาอันสั้นจากอะไรสักอย่าง นักปราชญ์ผู้นี้หันไปมองหญิงสาวผู้นั้น แน่นอนว่ามันย่อมก่อให้เกิดคำถามที่เขาอยากจะได้คำตอบแน่ เพราะเรื่องแบบนี้ต่อให้มีพลังปราณมันก็ยังดูเหนือธรรมชาติอยู่ดี

“เจ้าทำอะไรกับหนังสือของข้า?”
“ผสานปราณไง” เธอตอบอย่างหน้าเฉย
“เรื่องนั้นข้ารู้” เขาท้วงขึ้นมา “ข้าหมายถึง... ต่อให้เจ้ามีปราณลมก็ตามที แต่มันเป็นอะไรที่...”
“เป็นไปไม่ได้ใช่ไหมล่ะ?”
“ใช่”

แต่เธอก็ไม่ทันได้ตอบคำถามของชายผมทองผู้นั้น จู่ๆ หล่อนก็เริ่มเดินห่างออกไป

“ข้าก็แค่เปล่งพลังแห่งข้าลงเท่านั้นล่ะ” เธอตอบ “เหตุใดที่ข้าทำได้น่ะหรอ?”
“นั่นเพราะข้าไม่ใช่คนธรรมดาไง”

  สิ้นเสียงวาจาแห่งผู้เป็นผู้พิทักษ์แห่งโพรโตเนี่ยน หล่อนก็เริ่มเดินจากนักปราชญ์ผมทองผู้นี้ทันที ชายหนุ่มผมนั้นมองแผ่นหลังเรียวของหล่อนพร้อมกับความคิดที่อยู่ในหัวของตน ความคิดที่ผุดขึ้นมาต่อหญิงสาวผมแดง อีกทั้งท่าทางที่ชายผู้นี้กำลังแสดงอออก มันราวกับว่าหญิงผู้นี้ก็เหมือนจะไม่ใช่พวกธรรมดาเหมือนกัน เขารู้ตัวดีว่าเธอเป็นคนที่แกร่งหลังจากที่ได้สู้กับหล่อนไปครั้งนึง แต่การที่จะทำอะไรแบบนี้มันเหมือนกับอยู่ในระดับที่เหนือกว่าตอนที่พวกเขาประจัญหน้ากันครั้งนั้นเสียอีก แม้ว่าในครั้งนั้นผู้กำชัยจะเป็นนักปราชญ์ก็จริง กระนั้นการห่ำหั่นกันในครั้งนั้นตัวของหล่อนเองก็ยังไร้สติอีกด้วย หากว่าพวกเขาจะได้สู้กันอีกครั้ง เนลเรี่ยนย่อมรู้ตัวว่าเธอจะเป็นฝ่ายชนะแน่ ในตอนนี้เขาดูระแวงในตัวหล่อนน่าดู ด้วยพลังที่ประจักษ์อยู่เบื้องหน้าเขาเมื่อครู่ มันสามารถทลายร่างน้ำแข็งของตนได้โดยง่าย

  หลังจากที่คิดไปเสียนานจนตัวเองยืนนิ่งราวกับโดนแช่แข็งด้วยปราณอันหนาวเหน็บแห่งตน เขาหลุดจากภวังค์นั้น สบัดใบหน้าเพื่อคืนสติกลับมาจากนั้นก็เริ่มเปิดหนังสือของเขาเอง สีหน้าของเขาแสดงอาการที่ไม่ค่อยสู้ดีเท่าไหร่ ดูนิ่งไปอีกครั้งไม่ต่างจากเมื่อครู่นี้เลยสักนิด นั่นคงเป็นเพราะหน้าหนังสือเหล่านั้นที่เขาเปิดออกเต็มไปด้วยคราบหมึกที่เขียนลงแผ่นกระดาษ แม้ว่ามันจะถูกทำให้แห้งก็จริงแต่คราบหมึกเหล่านั้นเลอะเทอะกระดาษไปหมดแล้ว สิ่งที่ประจักษ์เบื้องหน้าของเขาสร้างความโมโหอย่างชัดเจน เขาไร้วาจาที่จะกล่าวขึ้นก่อนที่จะกุมหัวตนเองด้วยความโทสะ ถอนหายใจออกและสบถคำหยาบออกมาเบาๆ เป็นการพูดคนเดียว เมื่อนั้นเขาก็เดินไปด้วยความเซ็งโดยที่มีข้ารับใช้ผู้นั้นแอบจ้องมองด้วยสายตาที่ดูไม่เป็นมิตรเสียเท่าไหร่ ท่ามกลางความมืดที่ไม่มีใครสามารถมองเห็นได้ มันเหมือนเป็นความอาฆาต ความริษยา ราวกับจะฆ่าฟันหนุ่มผมทองผู้นั้นก็มิปาน

------------

  ณ สิ่งปลูกสร้างแห่งความตายจากดินแดนของเหล่าทูตผีผู้ใช้พลังบาป เชตเตอร์เรท ฟิโยด ในหอคอยแห่งบาปนั้นมีมารร้ายตนนึงสถิตอยู่ เขายืนที่ใจกลางห้องโถงแห่งหอคอย เดินไปเดินมาพร้อมกับบ่นพึมพำอยู่ตลอดเวลา แลดูเหมือนว่าเขารู้สึกไม่ค่อยจะอารมณ์ดีเสียเท่าไหร่นัก มารผู้นั้นมีร่างที่กำยำ ผิวหนังที่แผ่ออกมาซึ่งปราณแห่งความตายเรืองแสงอย่างน่ากลัว แววตาที่เปล่งแสงสีเขียวออกมา เขี้ยวที่แหลมคนสามารถสะบั้นคอของคนธรรมดาให้ขาดออกได้เพียงแค่แรงกัดกระชากเพื่อครั้งเดียว นั่นคือตัวตนของมารร้ายนามเบลล์ ผู้ซึ่งเป็นหัวหน้ากลุ่มของเหล่าหมอผีแห่งความตาย ฝีก้าวของเขาที่ย่างกรายด้วยความหนักแน่นในห้องโถงกว้างที่ไร้แม้แต่แสงใดๆ ดังก้องกังวานอยู่เป็นจังหวะตามฝีเท้าที่ย่ำพื้นอยู่ตลอด เมื่อนั้นมารร้ายตนนี้ก็หยุดตัวลง มองออกไปนอกหน้าต่างที่แม้กระทั่งแสงยังไม่อาจสาดส่อง เขามองเห็นอะไรสักอย่าง

  มันเป็นเงาของบุคคลหนึ่งจากที่ไกลบางฟากฟ้า มันพุ่งเข้ามาด้วยความเร็วผิดมนุษย์แต่ด้วยสรีระของร่างจากทัศนวิสัยที่เขามองมันแสดงเป็นร่างของมนุษย์อย่างแน่แท้ มันพุ่งเข้ามาในหน้าต่างอย่างเร็วพลัน กระทบลงสู่ผิวของพื้นแห่งหอคอยปรากฏเป็นชายผู้หนึ่งในคราบของหมอผี เสื้อผ้าของเขาแสดงเป็นหน่วยที่เพิ่งไปบุกโจมตีเพื่อแย่งชิงหญิงสาวที่เบลล์ต้องการ แต่เหมือนว่าพวกเขาจะล้มเหลวเพราะอะไรสักอย่างที่ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ ทั่วทั้งผิวใยผ้าทั้งหลายถึงแม้ว่าจะมีปราณแห่งความตายปะปนอยู่อย่างมาก แต่มันก็มีคราบสีแดงมรกต มันคือคราบโลหิตจากการต่อสู้ ทั่วทั้งร่างของเขามีแผลอยู่ไม่น้อย ล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นจากการกระแทก การแทง ซึ่งมีวัตถุชึ้นหนึ่งที่ดูโดดเด่น ลักษณะมันเหมือนกับหอกที่ไร้การขัดเกลาให้สวยงามราวกับเป็นการทำลวกๆ เพื่อใช้ในยามจำเป็นด้วยไม้

  ชายผู้นั้นคุกเข่าเบื้องหน้าต่อมารด้วยความกลัว ร่างกายของเขาเริ่มสั่น ไม่รู้ว่านั่นเป็นเพราะความเกรงต่อมารแห่งบาปหรือว่าเพราะอาการบาดเจ็บของเขาที่ได้รับมาจากการต่อสู้ ทั่วทั้งร่างกายที่มีแผลนั้นเริ่มมีเลือดไหลรินลงสู่พื้นหินของสิ่งปลูกสร้าง เบลล์ผู้นั้นเมื่อเห็นคราบเลือดเหล่านั้นก็แสยะยิ้มออกมา ราวกับว่าเขากำลังโหยหิวกลิ่นโลหิตและอยากจะดื่มมัน เมื่อนั้นผู้เป็นหัวหน้าผู้ใช้ปราณแห่งความตายก็ย่างกรายเข้าไปหาชายผู้นั้น ชายที่มีแผลฉกรรจ์หาได้สบหาเบลล์เลยแม้แต่น้อย เขาก้มศีรษะลง ไม่คิดแม้จะเงยขึ้นมา เบลล์เดินไปก่อนที่จะวางมือข้างขวาที่มีเล็บที่สีทมิฬที่แหลมคมบนหัวของชายผู้นั้น

“น้อมรับนายท่าน...” เสียงของผู้เป็นลูกน้องแลดูสั่นๆ
“เจ้ามีเหตุอันใดยังงั้นหรือ?” มารร้ายตั้งข้อสงสัยขึ้น “พลังแห่งชีวิตที่ข้าต้องการอยู่ไหน?”

  ชายผู้นั้นหาได้ตอบคำตอบอันใด เขากลืนน้ำลายอึกลงจนสามารถได้ยินอย่างชัดเจนภายในห้องโถงที่เงียบงัน มันทำให้เบลล์นั้นไม่รู้สึกปลาบปลื้มเสียเท่าไหร่นัก เขายกมือข้างนั้นของตนขึ้น มันทำให้ชายผู้นั้นเกิดความสงสัยว่านายของตนคิดจะทำอะไร แต่ที่แน่นอนเลยคือมันย่อมไม่ใช่เรื่องที่ดีเสียเท่าไหร่แน่ ถึงกระนั้นเขาก็ไม่กล้าที่จะเงยหน้าขึ้นเพื่อจะดูว่ามารมรกตแห่งความตายนั่นจะทำอะไรอีก

“ลุกขึ้น” เบลล์กล่าว

ชายผู้ได้รับบาดเจ็บผู้นั้นนั่งคุกเข่านิ่งอยู่ราวกับไม่กล้าที่จะลุกขึ้นมา แต่เขาก็ไม่สามารถขัดคำสั่งได้ เขาจึงค่อยๆ ลุกขึ้นมา ก้มหัวลงมองพื้นเหมือนกับยังคงหวาดกลัว

“มอง! หน้า! ข้า!” เบลล์กล่าวขึ้น

วาจานั้นทำให้ผู้เป็นลูกน้องค่อยๆ เงยหน้าของตนขึ้น

“กล่าวต่อหน้าข้า... ตอบคำถามของข้า” เบลล์กล่าวต่อ
“ขะ.... ขออภัยด้วยขอรับนายท่าน...”
“พวกเรา... สบประมาทพลังของหล่อน... เกินไป”
“หน่วยของ..”

“ฉึก!”

  เสียงของมีคมแทงเข้าสู่เนื้อของชายผู้ตอบคำถามนั้น เขาร้องออกมาอย่างทรมาณอย่างกับคนที่กำลังจะใจขาดตาย เบลล์ใช้พลังปราณมรกตแห่งบาปก่อเป็นรูปดาบขนาดใหญ่แทงลงกลางอกของลูกน้องของตน มันทะลุร่างของชายผู้นี้ไป ซึ่งถ้าเป็นคนปกติแล้วจะถึงตายได้ในทันที แต่เนื่องด้วยปราณแห่งบาปที่ปกคลุมกายาของผู้ถูกทำร้ายนี้มันจึงทำให้เขายังสามารถเปล่งลมหายใจออกมาได้สักพัก ถึงกระนั้นเขาก็ไม่น่าที่จะมีชีวิตที่ยืนยาวไปเสียเท่าไหร่ ด้วยบาดแผลที่มีอยู่แล้วบวกกับการแทงเข้าสู่จุดตาย ชายผู้นี้คงอยู่ได้โดยประมาณไม่กี่นาทีโดยแน่ เมื่อนั้นผู้ใช้ปราณนั้นก็ยกดาบปราณขึ้น มันเป็นการยกร่างของชายผู้นั้นขึ้นเหนือผิวดินด้วยเช่นกัน เบลล์มองตาของข้ารับใช้ของตนด้วยตาที่เต็มไปด้วยปราณสีเขียวที่เรืองแสงออกมาอย่างน่ากลัว สายตานั้นจ้องทะลุสู่วิญญาณราวกับจะกลืนกินจิตใจของชายผู้นั้นให้กลายมาเป็นพลังงานของเขา

  ชายผู้ถูกดาบแห่งปราณแทงเข้าสู่อกเริ่มใช้มือทั้งสองข้างของตนจับดาบเล่มนั้นไว้แน่น ราวกับว่าจะดึงมันออก แม้จะเป็นเช่นนั้นก็ตามแต่ ดูเหมือนว่าชายผู้นี้กำลังสูญเสียปราณแห่งตนไปเรื่อยๆ ร่างกายของเขาเริ่มอ่อนแอ ซูบผอม สีผิวเริ่มซีดเผือกราวกับคนที่กำลังจะตาย เหล่าปราณสีเขียวที่เคยเป็นของเขาก็เริ่มไหลผ่านสู่ดาบปราณและเข้าไปสู่ร่างของมารร้ายร่างใหญ่นี้ ไม่ทันไรผู้คุมพลังดาบก็ฟาดร่างของชายผู้นั้นลงสู่พื้น ดึงดาบของตนออก ผู้เป็นข้ารับใช้สะอักเลือดออกมา ไอเป็นจังหวะก่อนที่มารนามเบลล์จะเดินเข้ามาใกล้ร่างนั้น ปราณสีเขียวที่ผุดเป็นดาบก็ค่อยๆ สลายไปตามอากาศ เขาเดินไปใกล้ชายผู้นั้นเข้าเรื่อยๆ และผู้นั้นก็รู้สึกถึงอันตรายที่เข้ามาหาตัว แต่เขาก็มิอาจจะทำอะไรได้ ด้วยสภาพในตอนนี้มันดูเหมือนกับว่าเขากำลังรอความตายที่เหยียบย่ำเข้ามา แม้มันจะเป็นเพียงเสี้ยววินาทีที่เบลล์เดินต่อก้าว มันกลับทำให้ชายผู้นั้นรู้สึกว่ามันเป็นเวลานานยิ่งกว่านาฬิกาทรายหนึ่งครั้งเสียอีก

“เจ้า...” ชายผู้ได้รับบาดเจ็บกล่าว
“ข้าไม่ต้องการพวกคนล้มเหลวทำงานให้ข้า” เบลล์กล่าว “ในเมื่อเจ้าทำงานที่ข้ามอบหมายให้ไม่สำเร็จ”
“การรับใช้ของเจ้าก็จบลง ณ ที่นี้!”

“โผล๊ะ”

  เสียงกระทืบลงสู่กะโหลกของร่างมนุษย์ผู้นั้นดังขึ้นมาก้องกังวานทั่วห้องโถงกว้างที่มืดมิด ร่างของผู้ถูกสังหารนิ่งไปหลังจากการโจมตีในครั้งนั้นทันที โลหิตของนักบาปสาดกระเซ็นไปทั่วผืนห้องอย่างสยดสยอง มันเป็นภาพที่ไม่ค่อยน่าดูเสียเท่าไหร่ อีกทั้งเหล่าโลหิตผู้ตายติดอยู่ที่ร่างของมารเบลล์ มันทำให้ผู้ใช้ปราณแห่งบาปรู้สึกขยะแขยงกลิ่นคาวเลือดของมนุษย์ เขาใช้มือปัดถูคราบเลือดแต่มันก็ไม่ออกอยู่ดี เขาแลดูหงุดหงิดพอควรก่อนที่จะเปล่งปราณเป็นไอร้อนจนทำให้เหล่าคราบโลหิตที่ติดอยู่บนผิวของตนระเหยหายไป เมื่อนั้นเขาก็หยุดปราณแห่งตนก่อนที่จะสงบอารมณ์คลั่งของตนไว้ เมื่อนั้นเขาก็เริ่มมีอาการสั่นไปมา คอของเขาหมุนไปตามที่มันจะสามารถขยับได้ มิทันไรเขาก็กลับไปสู่สภาพเดิมอย่างที่เป็นเมื่อครู่นี้ เขาพูดคนเดียวอีกครั้งภายในจิตของตน พร่ำบ่นท่ามกลางที่โล่งเฉกเช่นเมื่อครั้งนั้น

“ข้าต้องขออภัยด้วยนายท่าน” เขากล่าวขึ้น “ที่ข้าทำให้ท่านต้องผิดหวัง”
“ถึงกระนั้นท่านมิจำเป็นต้องห่วงไปใย... ข้ามีแผนรองรับไว้เสมอ”
“ท่านอาจจะมิชอบใจเสียเท่าไหร่ แต่มันก็จำเป็นที่จะต้องทำ”

เบลล์พร่ำบ่นราวกับกำลังคุยกับ “นายท่าน” ของเขา ซึ่งผู้ที่จะเป็นนายท่านของเขาได้มันก็มีอยู่เพียงผู้เดียวและเขาคนนั้นก็คือมารเพลิงไซอาลอท

“ข้ารู้นายท่าน” เขากล่าวขึ้นมาต่อ
“ข้ามิอาจที่จะกล้าขัดคำสั่งท่านได้หรอกขอรับ”
“แต่จากที่ข้าดูดกลืนพลังและความทรงจำของเจ้านั่นไปเมื่อครู่ มันก็ทำให้ข้าประจักษ์ถึงสิ่งหนึ่ง”
“ในตอนนี้พลังแห่งชีวิตได้ตกอยู่ในกำมือของอัศวินกล้าแห่งสตอร์มโฮล์มแล้ว”
“เช่นนั้นมันก็เป็นหนทางเดียวที่ข้าจำเป็นต้องทำ”

  หลังจากที่เบลล์พร่ำบ่นคนเดียวโดยเป็นการพูดผ่าน “จิต” ไปสู่ผู้เป็นนายของตน เขาก็เงียบไปหลังจากที่เอ่ยคำกล่าวเหล่านั้นไปซะมากมาย ท่าทางของเขาดูไม่เหมือนคนที่นิ่งไปจากการที่หยั่งคิดถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่ง แต่มันเป็นเหมือนกับเขากำลังรับฟังอะไรสักอย่างจากจิตของไซอาลอทเข้ามาสู่สมองของตนและสื่อสารกันผ่านทางพลังแห่งบาปนี้ เขาน้อมรับฟังคำเหล่านั้นจากมารเพลิงโดยหาได้มีปฏิกริยาที่จะแสดงถึงความขัดแข้งแต่อย่างใด เขาน้อมรับฟังราวกับผู้ซื่อสัตย์ที่ยอมทำทุกอย่างเพื่อนายท่านแห่งตน เช่นนั้นแล้วเขาจึงนั่งลงไปยังบัลลังก์กลางห้องโถงของหอคอยแห่งบาป หาได้กล่าววาจาอันใด ซึ่งมันก็เป็นเวลาสักพักแล้วที่เขาไม่เอ่ยคำพูดใดๆ ออกมาผิดวิสัยที่จะชอบพร่ำบ่นคนเดียวอยู่ตลอด ไม่สิ... ต้องบอกว่าเป็นการสื่อสารถึงจะถูก

  ระหว่างที่ปีศาจร้ายผู้นั้นยังคงนั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้หินตัวนั้น ไม่นานนักก็มีปราณสีแดงฉานไหลออกมาจากไหล่ของเขา มันพุ่งไปยังเบื้องหน้าของเบลล์ก่อตัวเป็นดวงตากลมสีมรกต มันจ้องมองชายผู้นั้นด้วยสายตาอันแรงกล้า เบลล์ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมามองดวงตานั้นก่อนที่จะลุกขึ้นจากบัลลังก์ ก้มตัวลงน้อมรับต่อดวงตานั้นราวกับว่านั่นคือนายของตน แถมด้วยปราณสีแดงนั้นมันดูคล้ายคลึงกับปราณของมารเพลิงชั่วร้าย สิ่งที่ปรากฏจึงไม่เป็นเรื่องที่น่าแปลกใจ มันดูไม่ต่างจากเบลล์ที่กำลังน้อมรับคำบัญชาต่อมารเพลิงผู้เป็นนายของเขา

“เจ้ารู้ตัวดีว่าข้าเกลียดวิธีนี้มากขนาดไหน”

  เสียงคำกล่าวนั้นถูกเปล่งออกจากมาจากดวงตาสีแดงฉานนั้น ดูเหมือนว่าการสื่อสารนี้จะผ่านการใช้ปราณโดยทั้งหมดในการก่อเสียงจนประติดประต่อเป็นคำพูด เป็นภาษาที่ใช้ในการสื่อสารของดวงดาวแห่งนี้ เสียงๆ นั้นดูคล้ายคลึงกับมารเพลิงแต่กระนั้นมันก็ดูแหบแห้งกว่า เสียงโทนต่ำกว่าที่ควรจะเป็น นั่นเป็นเพราะว่าพลังปราณมิอาจจะสร้างเสียงให้กลายเป็นเสียงสมบูรณ์ตามโทนคนปกติได้ มันจึงดูเหมือนกับว่าเป็นการใช้โทรโข่งป่าวประกาศสู่ผืนดินมากกว่า ถึงกระนั้นการที่สามารถกำหนดเสียงได้ดีถึงเพียงนี้ก็ถือว่าอยู่ในระดับสุดยอดแล้ว เนื่องด้วยพลังปราณทุกแขนงนั้นไม่ได้ใช้พลังเสียงเป็นต้นตอพลังงาน มันจึงไม่สามารถสร้างเสียงที่เพอร์เฟคได้ เว้นแต่ธาตุเสียงโดยตรงเองที่สามารถทำได้อย่างสมบูรณ์แตกต่างจากปราณแขนงอื่น ถึงแม้ว่าเสียงนั้นจะดูไม่ชัดก็ตามทีแต่เหมือนว่าเบลล์จะรู้ตัวดีว่านั่นคือเสียงของใคร เขาไม่มีคำพูดใดๆ เป็นการขัดแย้งโดยสักนิด ดูเหมือนจะรับฟังโดยไร้ปฏิกริยาไม่ชอบใจ

“นี่เป็นโอกาสเดียวของเจ้าที่จะพิสูจน์ให้ข้าประจักษ์ว่าเจ้ายังเหมาะสมที่จะเป็นข้ารับใช้แห่งข้า” เสียงนั้นกล่าวขึ้นมาต่อ
“เพราะหากเจ้าทำไม่ได้ล่ะก็นะ...”
“ข้านี่ล่ะ... จะกลืนกินเจ้าสู่ความว่างเปล่าเอง!”

“ขอรับนายท่าน” เบลล์ตอบกลับไป

“ไปซะ!” มารเพลิงในร่างนิมิตกล่าว “อย่าทำให้ข้าต้องผิดหวัง”
“หากเจ้าทำสำเร็จ... โพรโตเนี่ยนจะได้รับรู้ถึงกาลอวสานที่แท้จริง!”
“เมื่อนั้น เจ้าและข้าจะได้บรรลุสิ่งที่ต้องการ”

  สิ้นสุดวาจาของมารเพลิงในร่างจำลอง ปราณที่ก่อเป็นดวงตาขนาดใหญ่นั้นก็ค่อยๆ ไหลกลับไปหาร่างของมารเบลล์ร่างมรกต ออร่าสีแดงดั่งโลหิตเหล่านั้นไหลเข้าสู่รูขุมขนของปีศาจตนนั้นดั่งการผสานตัวให้กลายเป็นหนึ่ง เมื่อนั้นแล้วเบลล์จึงลุกขึ้นยืน ย่างกรายไปตามทางเดินของหอคอยก่อนที่ประตูใหญ่ที่ทำด้วยหินกล้าจะถูกเปิดออกโดยอัตโนมัติ แสงอาทิตย์ในยามบ่ายสาดส่องเข้าสู่ภายในสิ่งปลูกสร้างนั้น โดยมีมารร่างใหญ่ผิดมนุษย์นี้บดบังในบางส่วน หากมองในจากภายในหอคอยแล้วจะปรากฏเป็นร่างเงาของมารที่ไม่สามารถมองเห็นใบหน้าได้นอกจากเงามืดโดยมีแสงจากภาณุเป็นพื้นหลังแสดงถึงความยิ่งใหญ่เหนือฟ้า มิทันไรที่แผ่นหลังของเบลล์ก็มีอะไรสักอย่างผุดออกมา มันเป็นเหมือนดั่งกระดูกที่เริ่มก่อตัวจนเป็นโครงในสภาพอะไรสักอย่าง ดูจากรูปการณ์แล้วมันเหมือนกับโครงกระดูกที่เป็นปีกของค้างคาวรัตติกาลในยามค่ำคืน และเหล่าปราณสีเขียวของมารร้ายตนนี้ก็เริ่มเอ่อล้นรอบๆ โครกระดูกเหล่านั้นจนก่อเป็นเนื้อเยื่อ มีสภาพกลายเป็นอวัยวะที่เป็นปีกโดยสมบูรณ์

  เมื่อนั้นมารร้ายตนนี้ก็สยายปีกของตนออกราวกับเป็นครุฑแห่งความตาย ปีกที่ใหญ่จนสามารถโอบล้อมร่างกายของผู้ใช้ได้นั้นมีปราณไหลรินโดยรอบอยู่ เท่าที่เดาๆ ดูแล้วแรงพัดปีกครั้งหนึ่งนั้นก็สามารถก่อแรงลมที่สะบั้นร่างของมนุษย์ได้เลย มันดูเป็นดั่งเครื่องมือที่ช่วยในยามจำเป็นและอาวุธในการต่อสู้ในเวลาเดียวกัน ณ เวลานี้เบลล์ตั้งท่าเตรียมตัวที่จะออกบินด้วยตัวเอง เหมือนกับว่าเขากำลังจะทำในสิ่งๆ ที่ตนได้รับคำสั่งมาจากมารเพลิงให้ลุล่วงตามความต้องการ ความประสงค์ที่จะสร้างความยุ่งเหยิงแก่ดวงดาวแห่งนี้...

ความพินาศ.. แห่งโพรโตเนี่ยน!
ขึ้นไปข้างบน Go down
https://www.facebook.com/BillAlfenolf
 
Cataclysm: The Endless Hellfire IX
ขึ้นไปข้างบน 
หน้า 1 จาก 1
 Similar topics
-
» Cataclysm: The Endless Hellfire I
» Cataclysm: The Endless Hellfire II
» Cataclysm: The Endless Hellfire XIX
» Cataclysm: The Endless Hellfire III
» Cataclysm: The Endless Hellfire XX

Permissions in this forum:คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
Bloody Wrestling Online :: BWO : Special Event :: BWO Novel-
ไปที่: